“ฉันเปล่า” อารดาตอบกลับ
รสิกามองหน้าศรัณแล้วยิ้มเยาะมุมปาก
“ฉันตกใจนะ ที่เธอมีสามี...เด็ก...ขนาดนี้”
คนถูกว่ากระทบปรายหางตามองลูกพี่ลูกน้องของภรรยาอย่างเอาเรื่อง
“คุณอุ่นเปล่าท้องครับ แต่อีกหน่อยก็ไม่แน่ อย่างที่เห็น ผมยังเด็กและผม ฟิต มากครับ” ตอบแล้วยิ้มอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก ทุกคนรอบโต๊ะหันมองเขาอย่างตื่นตะลึง “ผมหมายถึงร่างกายแข็งแรงน่ะ เลี้ยงลูกแฝดสามสบายเลย” ไม่เพียงแค่พูด แต่ยังทุบอกตัวเองด้วยกำปั้นทำเอามัดกล้ามตรงนั้นสะเทือนแรง สาวน้อยสาวใหญ่เลยได้มองตาค้าง
“ศรัณ!?” อารดาเรียกเขาอย่างอยากจะปราม เขาทำเกินหน้าที่ไปแล้วนะ บอกว่าอย่าหาเรื่องให้เธอปวดหัวไง
“พูดจาเหมือนมาจากชนชั้นรากหญ้านะแม่อุ่น สามีหล่อนน่ะ”
อรดีจีบปากจีบคอประชด ลูกสาวอย่างรสิกายิ้มเยาะสำทับคำมารดา ในขณะที่ลูกเขยของนางเอาแต่นิ่งเงียบ และลอบมองศรัณเป็นระยะ
“ขอโทษค่ะ ศรัณเพิ่งมา ยังไม่รู้อะไรมากนัก หนูจะคุยกับเขาเองค่ะ”
“คุณอุ่น?” ศรัณไม่พอใจ เริ่มโมโหกับความยอมคนของศรีภรรยา
“กินข้าวเถอะค่ะ” อารดาตัดบท จะตักข้าวเข้าปาก แต่อรดีกลับวางช้อนลงแรงๆ
“อะไรอีกคะคุณพี่” โฉมชบาเรียกขานพี่สาวของสามี นางอรดีนั้น ยังนับว่าแข็งแรงดีทั้งที่อายุมากแล้ว แน่ล่ะ นางไม่เคยต้องทำงานหนักใดๆ นี่นา
“ฉันกินไม่ลงหรอก กลิ่นยัยรุ้งทำฉันปวดหัว”
“หือ?” โฉมชบาทำเป็นใคร่รู้ ทั้งที่รู้เรื่องนั้นตั้งแต่อยู่บนรถกับสามีแล้ว
“ไหนล่ะโอภาส คำขอโทษที่ยัยอุ่นต้องพูดกับยัยรุ้งน่ะ”
พอพี่สาวเอ่ยทวง โอกาสก็ขยับกายอย่างอึดอัด ท่านไม่ได้พูดออกมา แต่มองตรงไปที่บุตรสาวคนโต
อารดาวางช้อนลงที่เก่า มืออันเย็นเฉียบกุมกันแน่นอยู่บนตัก เธอนิ่งเงียบชั่วอึดใจแล้วอ้าปากเตรียมจะเอ่ยคำขอโทษ ทว่าเสียงของเธอมิอาจเปล่งออกจากริมฝีปาก เพราะจู่ๆ มืออันเย็นเฉียบก็ถูกกุมแน่นด้วยมือของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เธอตกใจที่เขาทำอย่างนั้น พยายามดึงมือออก แต่ศรัณกุมมันไว้แน่นเหลือเกิน เธอจ้องเขาอย่างคาดโทษ แต่เขาทำหน้าทะเล้นไม่แยแสต่อสิ่งที่เธอสื่อ
“คำขอโทษอะไรกันครับ คุณยาย!”
“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะของอรุณฉาย หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างมารดา ดังลั่นขึ้นมาเมื่อได้ยินพี่เขยวัยละอ่อนเรียกป้าของเธอว่ายาย
“ยัยออม เงียบไปเลยนะ” โฉมชบาปรามลูก
“ก็มันขำนี่คะคุณแม่ ขอโทษนะคะป้าอร หนูอดขำไม่ได้จริงๆ” ว่าแล้วจะหัวเราะอีกแต่ถูกมารดาหยิกขาเข้าให้
อรดีหน้าม้าน อับอายที่ถูกเรียกว่ายาย อันที่จริงในวัยหกสิบต้นๆ นางมั่นใจมากว่าตัวเองยังผิวพรรณดีและไม่ได้ดูชราขนาดนั้น
โอภาสส่ายหัวให้เหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้า
“หัดปรามคนของตัวเองบ้าง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะพูดทุกอย่างตามที่ใจคิดได้นะ” บอกลูกสาวแล้วถอนหายใจแรงๆ
อารดาก้มหน้ารับ หันมองคนของตัวเองแล้วเหนื่อยใจเหลือเกิน
“ผมยังเด็กครับ ขอโทษจริงๆ บางทีผมก็พูดอะไรโดยไม่คิด โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นเกี่ยวกับเมียผม”
“แต่เมียของเธอมาทำร้ายยัยรุ้งของฉัน!”
“อา...ทำไมคุณยาย...โอ๊ะๆๆ ไม่ใช่ๆ ทำไมคุณป้าที่เป็นผู้ใหญ่แล้วถึงมายุ่งกับเรื่องเด็กๆ ละครับ ตอนผมอยู่อนุบาล ต่อยกับเพื่อนปากแตก ผมยังไม่ฟ้องแม่เลย หรือว่า...คุณรุ้งไปฟ้องหรือครับ โอ...อย่างนี้นี่เอง...”
ศรัณทำหน้าเหมือนรู้ดี พยักหน้าหงึกๆ ราวกับกำลังให้อภัยในนิสัยเด็กน้อยของรสิกา
“ก็ยัยอุ่นทำฉันจริงๆ จริงๆ นะคะน้า” รสิกาฟ้องโอภาส
ชายสูงวัยได้แต่นิ่งอยู่ มองลูกสาวแล้วเฝ้าดูว่าอารดาจะจัดการเช่นไร ทว่าท้ายที่สุดแล้วเจ้าตัวก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำแก้ต่างให้ตัวเอง
“เปล่าซะหน่อย คุณอุ่นไม่ได้ทำอะไร คุณรุ้งต่างหากที่ตบคุณอุ่นก่อน ผมเห็นเข้าก็ต้องปกป้องเมียสิ อะไรใกล้มือผมก็โยนใส่คุณนั่นแหละ รวมถึงน้ำหมักชีวภาพถังใหญ่ที่ทำให้คุณตัวเหม็นเมื่อตอนหัวค่ำด้วย แต่ผมว่าผมขอโทษคุณแล้วนะ เหลือแต่คุณนั่นแหละ เมื่อไหร่จะขอโทษคุณอุ่นสักที”
ความเงียบงันดังกระหึ่มขึ้นมาเมื่อความจริงถูกไขให้รู้แจ้ง โอภาสมองสามีของลูกสาวเสียใหม่ เด็กคนนี้น่าสนใจทีเดียว
“พอแล้ว เลิกพูดเถอะน่า”
อารดาปราม แต่ศรัณไม่ยอมหยุด มือเขาที่จับเธอไว้ ยิ่งจับแน่นกว่าเดิม ไออุ่นจากมือเขาช่างอุ่นนัก มันฟังดูประหลาดแต่เธอรู้สึกจริงๆ ว่าไออุ่นนั้นกำลังแล่นลิ่วสู่หัวใจในอกเธอ
“ไม่จริง! ไม่จริงนะคะพี่ธี รุ้งเปล่านะ ยัยอุ่นหาเรื่องรุ้งก่อน” รสิการีบแก้ต่าง คนเป็นสามีส่ายหัวอย่างผิดหวัง
“เงียบๆ หน่อยยัยรุ้ง ช่างมันเถอะ ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็แล้วกัน” อรดีจีบปากจีบคอหาทางออก รู้สึกเหมือนโดนถอนหงอกอย่างไรก็ไม่รู้ ทุกคราวไม่ใช่อย่างนี้หรอกนะ มันมักจบด้วยคำขออภัยที่อารดาจะเอ่ยออกมาอย่างง่ายดาย น่าขัดใจที่ครั้งนี้ไม่ใช่อย่างนั้น
“กินข้าวเถอะค่ะ กับข้าวเย็นหมดแล้ว”
“อือ...”
โอภาสรับคำลูกสาวคนโต ศรัณมองท่าทีของชายสูงวัยแล้วเคืองใจเหลือเกิน
“ปกติ ถ้ามีคนรังแกลูกเรา เราต้องปกป้องไม่ใช่หรือครับ คุณพ่อ”
“ศรัณ!?” อารดาตาเบิกโต เขาพูดอย่างนั้นกับบิดาเธอได้อย่างไร
“ขอโทษครับ ผมมันพวกปากเปราะน่ะ คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น อีกอย่าง ทุกคนมองว่าผมยังเด็ก คนยังเด็กก็พูดจาไม่คิดอย่างนี้แหละ”
อารดาฟังคำแก้ต่างของสามีแล้วนึกกลัวว่าบิดาจะโกรธเคือง แต่ไม่เลย บิดาที่เคารพเพียงแค่ยิ้มที่มุมปากแล้วลงมือตักกับข้าวกับปลาใส่จาน
“คุณพี่คะ ทำไมถึงได้...”
โฉมชบาเคืองแทนสามี แต่โอภาสโบกมือห้าม
“ช่างเถอะ นานๆ มีคนพูดขึ้นมาก็ตำใจดำๆ ของฉันได้ดีเหลือเกิน นายอยากรู้หรือศรัณ”
“ครับ คุณพ่อ”
“ทำไม...ฉันต้องปกป้องคนที่ไม่ยอมปกป้องตัวเองด้วยล่ะ ลูกสาวฉันโตแล้ว เวลาถูกรังแกจะให้ฉันวิ่งไปปกป้องทุกทีไม่ได้หรอกนะ เนื้อตัวเราแท้ๆ ไม่มีใครปกป้องได้ดีเท่าตัวเราเองหรอก จริงไหมยัยอุ่น”
น้ำเสียงอย่างนั้นอารดาเข้าใจดี จริงอย่างที่บิดาพูดนั่นแหละ แต่ถ้าปกป้องตัวเองแล้วบิดาต้องมานั่งกลุ้มด้วยเรื่องที่เธอเป็นต้นเหตุ เธอขออยู่เงียบๆ ทนได้เท่าที่ทนจะดีกว่า อย่างไรเสีย เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างจบลง ต่อให้เธอเป็นคนที่ถูก บิดาก็ยังเป็นคนสุดท้ายที่ต้องกล่าวคำว่าขออภัยกับป้าอรอยู่ดี มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว นาน...จนกลายเป็นความชินชา...
[16]คือความรับผิดชอบ___________________เครื่องไล่ยุงอันน้อยถูกเสียบเข้ากับปลั๊กตรงต้นเสาที่กลางกระท่อม พุดตานถอนหายใจรอบที่ร้อย มองไปที่หลานเจ้านายแล้วจำต้องถอนหายใจอีกครา“ไปคุยกับย่าอีกรอบเถอะนะคะ คุยกันดีๆ เดี๋ยวท่านก็หายโกรธ”พุดตานแนะด้วยหวังดี อรุณฉายมาหาย่าพร้อมข่าวคราวที่ชวนให้หญิงชราตื่นตะลึง ทั้งสองมีปากเสียงกันไม่น้อย ย่าแค่ต้องการรู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้องของหลานสาว แต่เจ้าตัวใจแข็งนัก ใจแข็งเกินกว่าจะยอมปริปาก สุดท้ายเลยถูกย่าไล่ลงเรือนไม่ต่างจากบิดามารดา แต่ว่า...เจ้าตัวจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร กระท่อมท้ายสวนมันไม่สะดวกสบายสักนิด“ไม่เอาแล้วจ้ะน้า แค่มาบอกเรื่องวุ่นวายนี่ ย่าก็เป็นลมไปหลายรอบแล้ว” บอกน้าพุดตานอย่างสำนึก เรื่องมันช่างน่าเศร้านัก ย่าพร้อม...ที่พึ่งสุดท้ายของเธอไม่ยินยอมให้เธอพึ่งพา ตอนนี้ เธอคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว“น้าจะช่วยพูดนะคะ ตอนนี้ย่ายังโกรธอยู่”หญิงสาวยิ้มให้สาวใหญ่ด้วยความขอบคุณยิ่ง แต่เธอทำอย่างนั้นไม่
คนเป็นมารดาเริ่มสติแตก ทำไมลูกที่เฝ้าฟูมฟักดูแลถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ไม่ได้นะ อรุณฉายคือความภาคภูมิใจของเธอ จะมาเป็นแบบนี้ไม่ได้!คนเป็นลูกส่ายหน้าอีกครา เธอไม่รู้จะตอบมารดาอย่างไรดี“หมายความว่าไง ออม...บอกมาลูก ท้องกับใคร ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ” โอภาสยังคุยดีกับลูกสาว ตอนนี้ท่านมั่นใจว่ามีสติมากกว่าโฉมชบา“หนู...หนูไม่รู้ เราเจอกันที่บาร์ หนู...ไม่รู้จักเขา ไม่รู้ชื่อเขาด้วยซ้ำ”“ออม!? นังลูกบ้า! นังลูกไม่รักดี! แกพูดอะไรออกมาฮะ!?”โฉมชบามิใช่แค่ร้องด่าแต่แลหาของใกล้มือ เจอขวดน้ำหอมของอรุณฉายก็คว้ามาปาใส่ร่างเจ้าตัว อรุณฉายไม่ลุกหนี ไม่ตอบโต้ด้วยซ้ำ“ไปเรียกมันมา ไอ้ผู้ชายคนนั้น มันต้องมารับผิดชอบแก ฉันไม่ยอมให้แกท้องโย้ประจานตัวเองหรอก ฉันอายชาวบ้านเขาได้ยินไหม!?”“แม่คะ หนูแค่ท้องนะคะแม่ หนูไม่ได้ฆ่าใครสักหน่อย แม่...ช่วยหนูเลี้ยงแกได้ไหม...ฮึกๆ หนูไม่มีใครแล้ว เขาไม่รับผิดชอบ เขาไม่รับผิดชอบหนู แม่รู้บ้างไหม!?”“กรี๊ดดด!!! นังลูกสิ้นคิด! แกคิดว่าเลี้ยงเด็กคนหนึ
อรุณฉายน้ำตาไหลพราก ปาดน้ำตาแห่งความอึดอัดใจแล้วลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เธอไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว ทำแท้งไปดีกว่า จะได้จบๆ ไป“คิดเสียว่าวันนี้ไม่ได้เจอฉันก็แล้วกัน” บอกเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก้าวจากมา ชนนท์ตามเธอมาติดๆ เขาพยายามรั้งเธอไว้ เรียกชื่อเธอ ดึงแขนเธอ แต่ว่า...ไม่ได้พูดสักคำว่าอยากยอมรับลูกเธอ แล้วเธอจะยอมเขาไปทำไม“อย่าเพิ่งไปสิ! อย่าเพิ่งใจร้อนได้ไหม ค่อยๆ คิดก่อน” เขาเอ่ยอ้าง ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหันมามองเมื่อชนนท์พูดเสียงดัง“ฉันไม่อยากรอ ฉันรอไม่ได้ ฉันเครียดรู้ไหม ฉันเพิ่งยี่สิบเอ็ดและฉันไม่เคยท้องมาก่อน ฉันทั้งกลัวทั้งสับสนไม่ต่างจากนาย และอย่ามาพูดว่าให้ฉันใจเย็นๆ ถ้ามาเป็นฉัน นายจะเย็นได้ไหมล่ะ ลองมาเป็นฉันดูไหม!”เธอผลักเขาออกเต็มแรง วิ่งไปขึ้นรถของตัวเองอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับปัญหาที่ก่อไว้ เธอขับรถออกมาด้วยความเร็ว บางทีนะ...บางทีการทำแท้งอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ได้ชนนท์มองตามรถของอรุณฉาย ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี เขากลับไปที่โต๊ะ หยิบมือถือมาต่อสายหาหล่อนแต่หล่อนไม่ยอมรับเลย หล่อนหน
“หมายความว่าไง” เธอสวนทันควัน ไม่ชอบใจเสียงนี้ของตัวเองเลย มันเหมือนเสียงนางมารร้ายอย่างไรก็ไม่รู้“ก็...ในฐานะที่เธอเป็นแม่ของฟีฟ่า ในตอนที่เลิกกัน ผมควรให้อะไรเธอบ้าง...อย่างเช่นค่าเลี้ยงดูอะไรอย่างนี้”อารดาหันหลังให้สามีทันควัน เรื่องอะไรต้องเอาเงินไปให้คนอื่นด้วย ถึงเขาจะมีเงินมากมาย แต่ต้องเอาไปให้เมียเก่า เธอก็ไม่ชอบนะ แค่ต้องออกค่ากินค่าเช่าบ้านให้ เธอก็คิดว่ามากพอแล้ว“ไม่รู้! แล้วแต่เถอะ!” เสียงห้วนๆ หลุดออกจากปาก เธอหงุดหงิดเพราะเสียงตัวเองอีกแล้วศรัณยกมือยอมแพ้ในนาทีนั้น“ครับ! แล้วแต่...แล้วแต่แสดงว่าไม่โอเค ไม่โอเคก็ไม่ให้แล้วกัน ให้เท่าที่ให้ได้นั่นแหละ”รอยยิ้มสมใจปรากฏที่ใบหน้าของอารดา หญิงสาวพอใจยิ่งนักกับการตัดสินใจของสามี เธอขยับไปโอบร่างเขา ไม่พอใจก็ปีนขึ้นนั่งบนตัก ศรัณกอดเอวเธอไว้“วันนี้จะทำอะไรดีครับ”“เข้าสวนพร้อมรัณดีไหม”เขาส่ายหน้าพรืด “อยู่บ้านสอนหนังสือฟีฟ่าดีกว่า เพราะวันนี้แม่เขาไม่อยู่ คงไม่ได้แวะไปหากัน น้ามา
คนเป็นลูกบ่นให้มารดาขณะรอเจ้าบ้านให้ลงมาที่โต๊ะอาหาร ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นคราวโน้น เธอรู้สึกว่าน้าชายของเธอเปลี่ยนไป ไม่ค่อยพูดจากับมารดาเท่าไหร่ หรือหากพูด ก็พูดตามมารยาท ไม่ได้ดูเกรงอกเกรงใจเท่าที่ควร มันแปลกไปจนเธอรู้สึกได้ เรื่องนั้นที่ทำให้อารดาฟิวส์ขาด คงทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในบ้านนี้เปลี่ยนไป เธอไม่สนหรอก ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร ขอแค่อารดาไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ดีใจมากแล้ว เจ้าหล่อนลาออกจากงานอีก ยิ่งเข้าทางเธอเลย“ตักข้าวเถอะพุดซ้อน”โอภาสบอกพุดซ้อนตอนที่นั่งลงยังหัวโต๊ะ โฉมชบาช่วยขยับเลื่อนจานกับข้าวไปตรงหน้าสามี มองสมาชิกในครอบครัวที่เหลือน้อยลงแล้วรู้สึกแปลกๆ ต่อให้ไม่ค่อยได้รักใคร่ปรองดองกันสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังชอบใจให้ทุกคนอยู่กันครบ ไม่ใช่หายไปทีละคนสองคนอย่างนี้“คิดถึงยัยอุ่นเหมือนกันนะคะ”โฉมชบาเอ่ยขึ้น พี่สาวของสามีเลยได้เลิกคิ้วสูง“เพิ่งรู้ว่าหล่อนก็เอ็นดูลูกเลี้ยงนะแม่โฉม”โฉมชบาคอแข็งขึ้นมา เชิดหน้าใส่อรดีอย่างไม่เคยทำมาก่อน“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ได้เอ็นดูอะไรยัยอุ่นมากมาย แต่ฉันมั
[15]เวรกรรมมาเป็นตัวๆ_______________ในเดือนถัดมาเสียงสั่นครืดๆ ดังขึ้นเมื่อมีข้อความเด้งเข้ามาในไลน์ ชนนท์ทิ้งกายลงบนเตียงหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อย เวลานี้สามทุ่มเข้าไปแล้ว แต่คนที่ส่งข้อความมาเหมือนอยากให้เขารู้ว่าตอนนี้เพิ่งหัวค่ำเท่านั้น ผู้หญิงในชุดสายเดี่ยวเปิดเปลือยเนินทรวง กับกางเกงขาสั้นแทบจะเห็นแก้มก้น ถือแก้วค็อกเทลสีสวยอยู่ในมือ หล่อนยิ้มยั่วเข้าอยู่หน้าจอ‘ส่งมาทำไมมิทราบ’เขาพิมพ์ข้อความส่งไป อรุณฉายแทบจะตอบกลับมาในทันที ราวกับเฝ้ารออยู่‘อ้อ...ขอโทษที ส่งผิดน่ะ ว่าจะส่งไปให้พี่เขย’‘ออม!?’‘อะไร’‘ที่เคยเตือนไว้ลืมแล้วเหรอ อย่ายุ่งกับพี่รัณ แล้วนี่...เธอมีเบอร์เขาตั้งแต่เมื่อไหร่’‘เรื่องของฉัน!’ อรุณฉายโต้กลับ เขาโง่เหรอ เธอแค่แกล้งบอกไป ไม่นึกว่าเขาจะเชื่อจริง‘เธอมันบ้า โรคจิต แล้วก็