เที่ยงวัน...
“นี่... เลิกเดินวนไปมาได้แล้วปลา พี่เวียนหัว” ตั้วแต่ขึ้นมาที่ห้องอาหารปราริณ สาวนักศึกษาฝึกงานคนนี้ก็เอาแต่เดินไปมา อยู่ตรงหน้าล็อบบี้ทั้งที่ยังไม่มีแขกโผล่มาเลยสักคน
นันนลินทร์พอเดาได้ไม่ยากถึงสาเหตุบางอย่างที่ทำให้ปานชีวาเป็นปลาดิ้นใส่แหอยู่เช่นนี้
“พี่หนิงก็... จะไม่ให้ปลาหงุดหงิดได้ไงล่ะคะ ก็รู้อยู่ว่าวันนี้มีแขกคน 'สำคัญ' ของคุณทิมมาทานข้าวมื้อเที่ยง”
“แล้วยังไงล่ะ พี่ก็พาเธอเตรียมทุกอย่างไว้รอคุณเขาหมดแล้ว จะเป็นกังวลอะไรอีก?”
“ก็ปลาไม่ชอบเขานี่”
'เขา' ที่ปานชีวาหมายถึงนั่นคือคุณศจี วจีสินธุ์ ลูกสาวคนเดียวของท่านทูต แถมยังพ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทของเจ้าของโรงแรมแห่งนี้อีกด้วย
ก็ไม่แปลกหากปานชีวาหรือพนักงานคนอื่นๆในโรงแรมจะไม่ชอบหน้าศจี หล่อนเป็นคนรวยคนดังย่อมมีความเรื่องมากเป็นธรรมดา ทว่านันนลินทร์กลับเข้าใจดีว่าหล่อนเติบโตมาด้วยความรักและความเอาใจใส่ตามแบบฉบับของคนมีอันจะกิน ย่อมรายล้อมด้วยคนรับใช้
จึงไม่แปลกที่หล่อนจะเอานิสัยจากที่บ้านของหล่อนมาใช้ข้างนอก
“ไม่ชอบแล้วยังไง? เรามีหน้าที่ต้องดูแลแขกให้ดีที่สุดนะ ท่องไว้”
สองสาวยืนพูดคุยกันอยู่สักพัก ธีรยุทธก็เดินมาสมทบ
“หนิง ปลา แขกของคุณทิมจะลงมาแล้วนะเตรียมตัวได้เลย”
จากนั้นนันลินทร์และปานชีวาก็แยกย้ายกันประจำจุด
ยืนรออยู่หน้าห้องอาหารได้สักพักไม่ถึง 10 นาที แค่คนสำคัญของธาฎาก็มาถึง ตามที่หัวหน้าแผนก f&b[1] แจ้ง
“สวัสดีค่ะคุณศจี ห้องอาหารปราริณยินดีต้อนรับค่ะ”
เป็นหน้าที่ของนันลินทร์ที่เอ่ยต้อนรับแขก จากนั้นปานชีวาก็ทำหน้าที่ของตนเองเช่นกัน
“เชิญทางนี้เลยค่ะ โต๊ะของคุณอยู่ด้านโน้นค่ะ”
ปานชีวาเดินนำหน้าลูกสาวท่านทูตไปยังโต๊ะที่จัดเตรียมเอาไว้ ซึ่งเป็นโซนสำหรับแขก VIP โดยเฉพาะเลขาของศจีได้แจ้งกับทางโรงแรมว่าให้จัดเตรียมที่สำหรับ 1 ท่าน ทางห้องอาหารได้รับทราบเรื่องมาแบบนั้น
ทว่าก่อนที่หล่อนจะนั่งเก้าอี้ที่พนักงานได้จัดเตรียมไว้ ก็ไม่วายต้องมีคำถามขึ้นมาให้ปวดหัวกันทั้งแผนก
“เดี๋ยวก่อน! ใครเป็นคนแจ้งให้เธอจัดที่นั่งให้แค่ฉันคนเดียว?”
ปานชีวาทำท่าสะอึกกับปัญหาร้อยแปดอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น หล่อนเองก็ได้รับข้อมูลมาแบบนี้ว่าให้จัดเตรียมที่สำหรับ 1 ที่นั่งเฉพาะศจี
“ทางห้องอาหารเราได้รับเรื่องมาตามที่คนของคุณผู้หญิงแจ้งมาค่ะ”
“รับเรื่องมาจากไหนใครเป็นคนแจ้งเธอกัน?”
“เอ่อคือ...” ปานชีวาเป็นแค่เด็กฝึกงานไม่อาจรู้รายละเอียดนอกจากนี้ได้หล่อนและนันนลินทร์ก็ได้รับโทรศัพท์จาก reception มาตามข้อมูลเท่านี้
ยืนนิ่งหาคิดคำตอบอยู่ 2 นาที กระทั่งนันนลินทร์เดินเข้ามาช่วยเหลือ
“ขอโทษนะคะคุณศจี ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรให้ทางเราช่วยเหลือไหมคะ?” นันนลินทร์พยายามพูดด้วยความสุภาพให้มากที่สุด เพื่อลดปัญหาการคอมเพลนจากแขก
“เธอเป็นพนักงานประจำของที่นี่ใช่ไหม?”
“ค่ะ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นหล่อนช่วยบอกหน่อยว่าพวกเธอรับเรื่องกันมายังไงถึงได้มาจากที่นั่งให้ฉันแค่หนึ่งที่”
“ทางเราเพิ่งได้รับเรื่องจากฟร้อนท์หลัง 10 โมงค่ะ ทางนั้นก็แจ้งว่าเป็นเลขาของคุณศจีเองที่แจ้งมาแบบนั้น”
“เหอะ! นี่เธอจะอ้างว่าเลขาฉันทำงานบกพร่องนั้นเหรอ?”
“เปล่านะคะ ดิฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นค่ะ”
“แล้วมันยังไง!? ก็ในเมื่อตอนนี้ อีกไม่ถึง 10 นาที เจ้าของโรงแรมของเธอ เขาก็จะมาถึงแล้ว และวันนี้ที่ฉันมา ก็เพราะนัดทานข้าวด้วยกันกับนายของพวกเธอ แล้วพวกเธอไม่เห็นความสำคัญว่าฉันเป็น VIP ก็เลยจะจัดที่ให้ฉันนั่งแบบไหนก็ได้อย่างนั้นเหรอ?”
ที่แท้ก็มีนัดกับธาฎาอย่างนั้นหรือ
นันนลินทร์และปานชีวาต่างมองหน้ากัน พอจะนึกขึ้นได้สาเหตุที่ทำให้แขกวีนใส่ เป็นเพราะพวกหล่อนได้ข้อมูลมาผิด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้นปลายสาเหตุเป็นแบบไหน แต่อย่างไรเสียตอนนี้แขกก็วีนใส่พวกหล่อนเสียแล้ว ซึ่งสิ่งที่จะทำต่อไปก็ควรจะเป็นการทำให้แขกกลับมาพึงพอใจในการบริการให้ได้มากที่สุด เพื่อลดปัญหาการคอมเพลนจากแขก
นันนลินทร์คิดว่าหล่อนคงจะจำได้ว่าคราวที่แล้ว โต๊ะที่หลังเคยนั่งไม่ใช่โต๊ะเล็กขนาดนี้แต่กลับเป็นอีกมุมนึงซึ่งจะเห็นวิวโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยาได้ชัด หล่อนควรจะได้โต๊ะมุมนั้นไม่ใช่ที่มุมอับไร้การมองเห็นวิวทิวทัศน์อย่างตอนนี้
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันต้องขอโทษคุณศจีจริงๆ นะคะที่เราได้รับข้อมูลผิดพลาด เอาเป็นว่าดิฉันจะเปลี่ยนตัวให้คุณเดี๋ยวนี้ค่ะรออีกไม่เกิน 2 นาทีนะคะ รับรองว่าทันนัดของคุณแน่นอนค่ะ”
“งั้นก็รีบเช็ดโต๊ะให้ทันสิย๊ะ!”
“ค่ะๆ”
จากนั้นนันนลินทร์และปานชีวาก็รีบเช็ดหน้าโต๊ะปูผ้าให้เรียบร้อยเสร็จสิ้น ไม่ถึง 2 นาทีเลยด้วยซ้ำ
“เสร็จแล้วค่ะคุณศจี เชิญนั่งเลยค่ะ”
“เอ๊ะ! แต่ฉันว่ามุมนี้มันก็ยังไม่ใช่นะ เหมือนฉันจะบอกให้เลขาฯ ของฉันจองไว้เป็นโต๊ะนั้น เธอเปลี่ยนให้ฉันได้ไหม?”
ศจีชี้นิ้วไปอีกมุมหนึ่งซึ่งถัดจากโต๊ะหล่อนไปอีก 1 โต๊ะ
ปานชีวาได้แต่นึกกร่นด่าหล่อนในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ทำได้เพียงแค่เก็บสีหน้าอาการของตัวเอง
“แต่โต๊ะนั้นมีลูกค้าจองแล้วนะคะ” ซึ่งตรงหน้าโต๊ะที่ศจีรีอยากได้นั้นก็มีป้ายคำว่า reserved ตั้งอยู่เอาไว้แล้ว หล่อนควรรู้ว่าไม่ได้
“ฟังนะยัยเด็กฝึกงาน ฉันคือ VIP ของที่นี่ เป็นเพื่อน owner ฉันมีสิทธิ์....//แต่มะ!!...”
“เกิดอะไรขึ้นกัน?”
ขณะที่ยังมีพนักงาน 2 สาวยืนคุยกับแขก VIP กระทั่งเจ้าของโรงแรมตัวจริงเดินเข้ามาในจังหวะนั้นพอดี
พนักงานเสิร์ฟ 2 คนยกมือไหว้ทักทายธาฎา
แต่ก็ยังมีสีหน้าของศจีที่แสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างมาก
“ทิม... มาพอดีเลย” เจ้าหล่อนรีบกระโดดคล้องแขนธาฎาด้วยความดีใจ
การกระทำเกินหน้าเกินตาและเกินงามของหล่อน ทำให้พนักงานตำแหน่งน้อยอย่างปานชีวาถึงกับแอบเบะปากในใจ
ส่วนพนักงานอีกคนไม่แสดงออกทางสีหน้าหรือการกระทำแต่อย่างไร จนมิอาจดูว่าภายในใจของหล่อนกำลังอะไรอยู่
ชั่วครู่เพียงเสี้ยววินาทีธาฎาแอบเผลอสบตากับนันนลินทร์ ถ้าว่าหญิงสาวกลับผละสายตาหลบหนี
“ทิมดูพนักงานของคุณสิ จีให้เลขาฯ ของจีแจ้งเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าต้องเป็นโต๊ะตรงนี้มุมนี้เท่านั้นสำหรับ 2 ที่แต่ดูพนักงานของคุณจัดที่นั่งให้เราสองคนสิ ตอนแรกจัดที่นั่งไว้ให้แค่โต๊ะเดียวด้วยซ้ำ คือที่แจ้งมามันไม่ใช่แบบนี้เลยนะ แล้วเปลี่ยนก็ไม่ได้ ไปปล่อยโต๊ะให้ลูกค้าคนอื่นอีก”
“คือทางเราต้องขอโทษจริงๆ นะคะ” นันนลินทร์ยกมือขึ้นกล่าวขอโทษแขก
ศจีมองหน้านันนลินทร์ สาวเสิร์ฟคนนี้หล่อนเห็นอยู่บ่อยครั้ง รูปร่างหน้าตาก็พอใช้ได้ ใช้คำว่าสวยเลยทีเดียวล่ะ แต่ทำไมหล่อนกลับรู้สึกไม่ถูกชะตากับคนนี้เลย
“ทำพลาดแบบนี้ควรจะหักเงินเดือนหน่อยนะ จะได้ไม่กล้าทำพลาดกันอีก”
ธาฎาสังเกตสีหน้าของคนที่กำลังโดนศจีวีนใส่ เขาแอบรู้สึกอึดอัดจากข้างในอก หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมถึงได้ไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้นัก
เขาคิดว่าทางเลขาของศจีก็คงแจ้งกับทางแผนกห้องอาหารมาบ้างแล้ว คุณชาญคงไม่บกพร่องขนาดนั่น และเขาเองก็มีนัดกับศจีจริงๆ
“ใจเย็นๆ หน่อยสิศจี ที่นั่งก็มีเยอะแยะ”
F&B[1] ย่อมาจาก Food and Beverage หมายถึง แผนกอาหารและเครื่องดื่ม ภายในห้องอาหารของโรงแรม
The end6 เดือนต่อมาบรรยากาศที่ต่างจังหวัดแห่งหนึ่งของไทย ที่เขาใหญ่ในช่วงฤดูหนาวเต็มไปด้วยความงดงาม บ้านพักตากอากาศของคุณย่าของธาฎาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติถูกจัดตกแต่งด้วยดอกไม้สดหลากสีสัน เต็มไปด้วยความอบอุ่นและโรแมนติกสำหรับงานแต่งงานธาฎาในชุดสูทสีขาว เดินตรวจดูความเรียบร้อยของงานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพอใจและความสุขทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบสำหรับวันนี้ เพราะวันนี้ไม่ใช่แค่วันแต่งงานของเขา แต่เป็นวันที่เขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับผู้หญิงที่เขารักที่สุดนันนลินทร์ยืนอยู่ในห้องแต่งตัว สวมชุดเจ้าสาวสีขาวเรียบหรูที่มีลูกไม้ประดับอย่างประณีต หล่อนหันมองตัวเองในกระจก มือแตะท้องเบาๆ ราวกับย้ำกับตัวเองว่าทุกอย่างที่ผ่านมาคือเรื่องจริงนางนิรณียืนอยู่ข้างๆ คอยช่วยจัดชายกระโปรงและให้กำลังใจลูกสาว “แม่ภูมิใจในตัวหนิงนะลูก วันนี้ลูกดูสวยที่สุดเลย”นันนลินทร์หันมายิ้ม “ขอบคุณนะคะแม่ ถ้าไม่มีแม่ หนิงคงไม่มีวันนี้”เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่คุณเยาว์และสุชาฎาจะเดินเข้ามา พร้อมกับหยุดมองหล่อนราวกับตกตะลึงในความงาม พวกเธอเดินเข้ามาใกล้ ยื่นมือออกไปจับมือหล่อนเบาๆ“คุณหนิง…สวยมากเลยค่ะ” นันน
ตอนที่ 32/31 สัปดาห์ถัดมา นางนิรณีมาอยู่ดูแลลูกสาวในช่วงเช้า สัปดาห์ที่ผ่านมาเธอรู้ว่าธาฎาแวะเวียนมาทำคะแนนกับนันนลินทร์ลูกสาวเธอแบบไม่ว่างเว้นเธอเองก็ยอมเปิดทางให้ ถึงได้ไม่ค่อยแวะมาหาลูกสาวที่โรงพยาบาล จนกระทั่งวันนี้มีคำสั่งจากหมอเจ้าของไข้แล้วว่าอาการของนันนลินทร์นั้นดีขึ้นมากแล้ว และสามารถออกจากโรงพยาบาลไปได้ส่วนหลังจากนี้นันนลินทร์อาจจะยังต้องใช้ไม้เท้าเพื่อพยุงตัวไปก่อน จนกว่าอาการจะหายเป็นปกตินางนิรณีนั่งลงข้างเตียง มองสำรวจใบหน้าลูกสาวอย่างพิจารณา “ดูดีขึ้นเยอะเลยนะลูก ดีใจไหมจะได้ออกจากโรงบาลแล้วนะ”คำถามนั้นทำให้นันนลินทร์ชะงัก หล่อนหลุบตาลงมองมือที่วางอยู่บนตัก “ดีใจสิคะแม่”“ดีแล้ว แม่อย่กจะให้หนิงดู ว่าบ้านที่แม่ซื้อไว้ที่นี่นั้นสวยมากแค่ไหน ถ้าหากเราฟ้องศาลชนะ...อัญญามาอยู่ที่นี่กับเรา แม่จะทำห้องสวยๆ ให้อัญญา”นางนิรณีพูดแฝงไปด้วยเลสนัย เธออยากรู้ตอนนี้ในใจของลูกสาวตนเองจะคิดเห็นเช่นไร กับเรื่องที่เคยอยากจะทำ “ธาฎาจะได้รับกรรม เหมือที่หนูเคยบอก” เธอพูดขยี้ให้ลูกสาวได้รู้สึกตัวไปอีก“แม่คะ...คือหนิง”“ว่าไงล่ะลูก? แม่น่ะคุยกับคุณนนท์เขาแล้วนะลูก”คำพูดของผู้เป็นแม่
ตอนที่ 32/2 หล่อนหลุบตามองพื้นอย่างครุ่นคิด ภายในใจมีทั้งความลังเลและความหวังที่แทรกเข้ามาในเสี้ยววินาที“ฉัน...ฉันยังตอบคุณไม่ได้ตอนนี้หรอก” นันนลินทร์พูดเสียงเบา “ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา คุณเองก็ทำตัวดีๆ ก็แล้วกัน”ธาฎายิ้มบางๆ ก่อนจะพยักหน้า เขาดีใจไม่ใช่น้อยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น นันนลินทร์พูดราวกับว่าหล่อนกำลังบอกกลายๆ ว่าหล่อนให้โอกาสเขาแล้ว“เมื่อกี้เธอหมายความว่าไง?” ร่างสูงผละจากเปลนอนลูกน้อยเมื่อเห็นว่าลูกหลับสนิทแล้ว เขาเดินเข้ามาใกล้คนป่วยบนเตียง นันนลินทร์แอบถอนหายใจ รู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าสู่เขาวงกตแห่งความรู้สึกอีกครั้ง“ก็ตามที่พูด...คุณเข้าใจยากตรงไหน?” “ไม่...หนิง ฉันฟังไม่ผิดใช่ไหม? เธอให้โอกาสฉันแล้ว” “ให้โอกาสแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำยังไงกับฉันเหมือนเดิมก็ได้”“ผมจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง...ทั้งเธอและลูก”แม้คำพูดของเขาจะดูมั่นคง แต่นันนลินทร์ยังไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองหวังมากเกินไป หล่อนเพียงมองเขาด้วยสายตาที่อ่อนลงเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะพยายามคว้าเอาไม้เท้าที่อยู่ไม่ไกลนัก เพื่อหวังจะทาง ทว่าหล่อนกลับคว้ามันไม่ถึง จนทำให้เขาต้อง
ตอนที่ 32/1เวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงวัน ธาฎาป้อนอาหารลูกอีกครั้งจนอิ่ม โชคดีจริงๆ ที่เตรียมทั้งของใช้และอาหารมาพร้อมทุกอย่าง อัญญาจึงไม่งอแง คุณพ่อมือใหม่จัดการประกอบเปลนอนแบบพกพาสำหรับเด็กขึ้นภายในห้องพักผู้ป่วย เขามุ่งมั่นทำมันด้วยความจริงจัง ขณะเดียวกันที่เจ้าของเปลนอนตัวจริงก็เริ่มตาเยิ้มลงมาก เป็นสัญญาณว่าอัญญานั้นง่วงเต็มที่แล้ว การกระทำของธาฎานั้นอยู่ในสายตาของคนที่กำลังกล่อมลูกนอนบนตัก หล่อนไม่คาดคิดว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่พ่อของลูกมีความใส่ใจและทำทุกอย่างให้ลูกได้มากมาย ทั้งที่หน้าที่แบบนี้ส่วนมากจะเป็นแม่ของลูกทำซะส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวไหนก็ตามแต่ สายตาคู่สวยมองเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย หล่อนยังจำภาพในอดีตของผู้ชายคนนี้ได้ดี ภาพของเขาที่เย็นชา ดื้อรั้น และไม่เคยแยแสต่อคำขอร้องใดๆ ของหล่อน แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปมากจนขนลุก“คุณทำเองเป็นหมดเลยเหรอ?” หล่อนถามขึ้นในขณะที่ลูบหัวลูกสาวเบาๆ ที่หลับคาตักธาฎาที่กำลังจัดหมอนในเปลให้เรียบร้อย หยุดมือชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแม่ของลูก“ฉันเคยเสียหลักครั้งหนึ่งตอนที่เธอจากไป วันๆ ไม่ยอมไปทำงาน กินแค่เหล้า เสเพไปวันๆ เพียงแค่อย
ตอนที่ 31/3เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างของโรงพยาบาล ธาฎาก้าวลงจากรถพร้อมลูกสาวตัวน้อยในอ้อมแขน เขาสะพายเป้เล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้ของอัญญาไว้เต็มแน่น หลังจากวันนี้อนุญาตให้เรืองฤทธิ์ สุชาฎา และคุณเยาว์ได้ออกไปใช้ชีวิต เที่ยวชมเมืองทะเลทรายแห่งนี้เขาใช้เวลาไม่นานนักก็เดินเข้าไปยังตึกพักฟื้นผู้ป่วยทันที อัญญาในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนยิ้มแย้มแจ่มใส มือเล็ก ๆ จับไหล่ของพ่อแน่น สายตาซุกซนของเธอชำเลืองมองรอบข้างด้วยความตื่นเต้น ธาฎาหันไปมองลูกสาว ยิ้มบาง ๆ ออกมา ถึงแม้ในใจเขาจะเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อมาถึงหน้าห้องพักของนันนลินทร์ เขาหยุดยืนชั่วครู่ สูดหายใจลึกเพื่อเรียกความมั่นใจ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปอย่างเบามือนันนลินทร์ที่เพิ่งตื่นและกำลังพยายามลุกขึ้นนั่งบนเตียงหันไปมองอย่างตกใจเมื่อเห็นเขา“คุณมาทำไมอีก...” หล่อนถามเสียงแผ่ว แต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจเขาไม่ได้ตอบในทันที แต่วางอัญญาลงบนเตียงข้าง ๆ หล่อนลูกสาวตัวน้อยแม้จะไม่เจอหน้าแม่มานาน แต่กลับมีความรู้สึกถึงสายใยผูกพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างเหนือความคาดหมายอัญญาโผเข้ากอดนันนลินทร์ หลังจากที่พ่อของเขาปล่อยลงใส่เตียง ใบ
ตอนที่ 31/2 น้ำตาของนันนลินทร์ไหลออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้ แม้จะพยายามซ่อนเร้นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจ แต่ในที่สุดทุกอย่างก็แตกออกมาเป็นน้ำตาอย่างไม่รู้ตัว “คุณกลับไปเถอะ...” นันนลินทร์พูดเสียงสั่น พยายามสะกดอารมณ์ให้ตัวเองสงบลง แต่ก็ยากเกินไป หล่อนมองดูสภาพตนเองในตอนนี้ ช่างน่าสมเพชเหลิอเกิน ไม่อยากให้อัญญาจะต้องมาเห็นสภาพแม่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย “ทำไม?” “ก็ฉันบอกให้กลับก็คือกลับไง! พูดไม่รู้เรื่องเหรอ!?” หล่อนพูดทั้งน้ำตา พลางมองไปมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากพยาบาลหรือใครสักคนที่อยู่แถวนี้ “ฉันไม่ได้ตั้งใจมาทำให้เธอรู้สึกแย่นะ ฉันพาลูกมาให้กำลังใจเธอ ขอแค่ฉันกับลูกได้...” “ฮึกกก! กลับไป! อย่าพาลูกมาลำบากที่นี่” “ไม่...หนิง คือฉัน” “คุณพยาบาลคะ! ช่วยด้วยค่ะ!” เสียงเรียกของนันนลินทร์ดึงความสนใจจากพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียงและรีบเดินเข้ามาด้วยท่าทางเป็นห่วง “มีอะไรให้ช่วยคะ คุณหนิง?” พยาบาลสาวต่างชาติถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่แววตาแสดงความกังวลกับกลุ่มคนไทยตรงหน้าที่กำลังยืนคุยอยู่กับคนไข้ แม้ว่าจะฟังภาษาไทยไม่ออก ทว่าตามความรู้สึกของพยาบาลแล้ว พวกเขาน่าจะพูดยางอย่างให้กระทบกระเท