มลลิตาโก่งคออ้วกจนหมดเรี่ยวแรง รอบที่สองของวันแล้วกับอาการคลื่นไส้อาเจียนและมันก็เป็นหนักขึ้นเมื่ออยู่ใกล้กับเวทัศ ไม่รู้ว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร
“เดินไหวไหม” ยื่นมือไปให้จับเพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น
“ไหวค่ะ”
“ถ้ารู้ว่าตัวเองป่วยจะมาทำงานทำไม”
“ก็เมื่อช่วงบ่ายมันดีขึ้นแล้วนี่คะ”
ขณะพูดเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก เขารับรู้ได้ทันทีว่าคนตัวกลมกำลังกลั้นหายใจอยู่ เมื่อเดินมาถึงรถเขาจึงเลือกดึงแขนเธอมานั่งเบาะหลังรถตัวเอง
“มนกลับรถตัวเองได้ค่ะ”
“จะกลับเองได้ยังไง คนร้ายก็ตามขู่ฆ่าแถมไอ้ตุลย์ เอ้ย คุณตำรวจก็กลับไปแล้ว เกิดมันมาปาดคอเธอคุณแม่ได้เอาฉันตายพอดี”
ประโยคสุดท้ายยังคงเอาหน้าแม่มาอ้างเหมือนเดิม ไม่มีสักครั้งหรอกที่พี่เวย์จะทำอะไรให้เธอด้วยความเต็มใจ ก็อย่างว่าแหละเธอไม่ใช่อินทุภาผู้หญิงที่เขารักปานจะกลืนกินสักหน่อยมันก็ไม่แปลก
มนลิตาย้ายตัวเองไปนั่งยังเบาะหลังตามคำสั่ง ก็ดีเหมือนกันเพราะขืนอยู่ใกล้พี่เวย์ไปมากกว่านี้เธอได้อ้วกใส่รถเขาเป็นแน่ รถเคลื่อนตัวยังไม่พ้นบริษัทเสียด้วยซ้ำหญิงสาวก็ผล็อยหลับไปอีกเหมือนเคย
เสียงบีบแตรดังขึ้นหนึ่งครั้งป้ามาลัยวางมือจากการปอกมะม่วงและรีบวิ่งออกไปรับผู้เป็นนายทันที เมื่อเดินออกไปเห็นสีหน้าซีดเซียวของมนลิตาจึงรีบวิ่งไปพยุง
“เดี๋ยวผมพามนเข้าบ้านเอง ป้าไปหยิบของหลังรถและก็เตรียมมื้อค่ำให้หน่อยนะครับ ทานข้าวแล้วผมจะให้เธอทานยา”
ระหว่างทางกลับแม้จะหลับอยู่แต่ก็รู้สึกว่ามีบางช่วงเหมือนรถจอดสนิทอยู่ค่อนข้างนาน คงเป็นเพราะว่าเขาจอดซื้อยาให้เธอนี่เอง หญิงสาวเงยหน้ามองผู้เป็นสามีแล้วเดินประคองกันเข้าบ้าน
หากใครมาเห็นคงคิดว่าเห็นคงคิดว่าเป็นครอบครัวอบอุ่น ทั้งที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด เขาทำเพราะหน้าที่ที่ถูกบังคับและไม่เคยมีใจให้เธอเลยสักนิด
ดวงตากลมจ้องอาหารที่ป้ามาลัยเอามาวางไว้ให้แล้วกลืนน้ำลายลงคงไม่ใช่เพราะอาหารมันน่ากินนะ แต่มันรู้สึกเหม็นคาวจนต้องรีบยกมือขึ้นอังจมูก ฝืนตักกินได้แค่สองสามคำก็วางลงเหมือนเดิม
“ทำไมกินน้อยจัง ปกติเห็นกินทีเป็นหม้อ”
“มนไม่ค่อยหิวค่ะ”
“ไม่หิวก็ต้องกิน จะได้กินยา อย่ามาทำตัวเหมือนเด็ก” ขี้นิ้วไปยังช้อนแกมบังคับให้กิน
ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พอจะตักข้าวเข้าปากไอ้ที่กลืนเข้าไปเมื่อครู่ก็ตีคืนกลับมาทางเก่า จนต้องรีบวางช้อนแล้วยกมือขึ้นปิดปาก
“มนกินต่อไม่ไหวแล้วค่ะ”
“ช่วงนี้เป็นอะไรเอาแต่อ้วก อยู่ใกล้ฉันก็บอกแต่ว่าเหม็น” เริ่มรู้สึกหงุดหงิดใจแต่พอเห็นใบหน้าซีด ดูไม่มีเรี่ยวแรงตอบโต้เขาก็อ่อนเสียงลง
“ถ้าอย่างนั้นก็กินยาเถอะ อันนี้ยาแก้คลื่นไส้”
ซองยาถูกเลื่อนมาตรงหน้า ก่อนชายหนุ่มจะลุกขึ้นจากโต๊ะทานข้าวแล้วเดินกลับขึ้นห้องนอน ปกติแล้วพี่เวย์เป็นคนกินข้าวไวมาก บางครั้งไม่ถึงสิบนาทีเสียด้วยซ้ำ วันนี้คงรำคาญเธอมากจึงใช้เวลาแค่ห้านาทีเท่านั้น
มนลิตากำลังจะลุกขึ้นบ้างแต่สายตาเหลือบไปเห็นป้ามาลัยถือจานมะม่วงเดินออกมาพลางส่งยิ้มให้ ราวกับรู้ว่าอาการนั้นคืออะไร
หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกเปรี้ยวปากขึ้นมาทันทีพอวางจานเท่านั้นแหละรีบหยิบเข้าไปโดยไม่ต้องจิ้มพริกเกลือเลยสักนิด
ป้ามาลัยยืนมองแล้วส่ายหน้าเธอมั่นใจเหลือเกินว่านายหญิงของบ้านนี้น่าจะกำลังมีข่าวดีแต่ยังไม่รู้ตัวก็เท่านั้น ผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาเกือบ
ห้าสิบปีย่อมรู้ดีว่าอาการแพ้ท้องเป็นอย่างไร ยิ่งเหม็นสามีตัวเองจนโก่งคออ้วกยิ่งการันตีว่าท้องแน่นอน
“คุณมนคะ ป้าว่าไปตรวจร่างกายสักหน่อยดีไหม”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะป้า มนแข็งแรงดีถึงจะอ้วนไปหน่อยก็เถอะ” เธอยิ้มกว้างจนดวงตาหยี
“ป้าไม่ได้หมายถึงไปตรวจสุขภาพแบบนั้นค่ะ แต่หมายถึงไปตรวจว่าตัวเองท้องหรือเปล่า...”
ขยับปากจะโต้คืนว่าไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาดเพราะเธอป้องกันเป็นอย่างดีแม้จะรู้ดีแก่ใจก็ตามว่าตัวเองพลาดไปตั้งหลายครั้ง
ป้าแม่บ้านยกนิ้วมือแตะไปยังปาก เมื่อรู้ว่ามนลิตากำลังจะตอบแบบเดิมเหมือนวันนั้น
‘ประกาศแต่งฟ้าแลบ! รอบสองกับภรรยาคนเก่ากับไฮโซเวทัศ’พาดหัวข่าวหราทุกแพลตฟอร์มและกลายเป็นประเด็นร้อนทุกออนไลน์กับความรักของทั้งคู่ เพราะไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริงและที่สำคัญเจ้าสาวในวันนี้ไม่ใช่ดาราดังหรือผู้หญิงสวยหน้าตาดีรูปร่างสวยเลย เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาแต่มัดหัวใจของชายหนุ่มได้อยู่หมัด“ยินดีด้วยนะ”เสียงแจ้วของกลุ่มก้อนเดิมดังขึ้นนำทีมโดยพี่ท้อปและตามด้วยน้องเล็กของทีมอย่างเจ้าต้น ก่อนหน้านั้นเจอกันแล้วรอบหนึ่งตอนเธอแวะไปแจกซอง พวกเขายังสนุกสนานเฮฮาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นเงียบ ๆ เหมือนเดิมแขกที่เชิญมามีแทบทุกวงการทั้งบันเทิง การเมือง และสายนักข่าว แต่คนที่เจ้าสาวรอมากที่สุดคงหนีไม่พ้นผู้ชายสวมสูทสีครีมกำลังเดินมา“พี่ตุลย์ ขอบคุณนะคะที่มา”“ต้องมาอยู่แล้วน้องสาวคนสวยของพี่แต่งงานทั้งที” กำลังจะยกมือขึ้นยีหัวด้วยความเคยชิน แต่คราวนี้มนลิตาหลบทัน“ฮันแน่ ไม่ได้กินหรอก พี่ยังติดยีหัวเหมือนเดิมเลยนะคะ”“นั่นสิ เป็นสัญชาตญาณของมือมั่ง” ทั้งคู่หัวเราะกันคิกคักจนมองไม่เห็นหัวเจ้าบ่าวที่ยืนอยู่ตรงนั้น“อะแฮม”“อ้าว เจ้าบ่าวยืนอยู่ตรงนี้เหรอ นึกว่ารูปปั้
‘ปัง’เสียงกัมปนาทดังขึ้นสนั่นจนหูอื้อเพราะมันอยู่ใกล้แค่ไม่กี่เมตร ร่างสูงสะดุ้งสุดตัวเขาผลักคนตัวอ้วนไปอีกทางที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมาตรงหัวไหล่เขาชำเลืองมองเลือดสีแดงสดกำลังไหลซึมผ่านเสื้อยืดสีขาวผืนบาง ก่อนจะทรุดลงกับพื้น“กรี๊ดดดด พี่เวย์ ๆ”มนลิตาแทบคุมสติไม่อยู่รีบถลาตัวเข้าไปประคองเวทัศเอาไว้พร้อมกับตะโกนบอกคนแถวนั้นให้เรียกรถพยาบาล ชายหนุ่มเห็นอาการคนรักสติกระเจิงจึงจับมืออวบที่กำลังสั่นระริกเพราะความตกใจมากุมไว้“มน ใจ...เย็น ๆ นะพี่ไม่เป็นไร”“ไม่เป็นไรได้ยังไง เลือดออกขนาดนี้” น้ำตาร่วงหล่นลงแก้ม ความกลัววิ่งเข้ามาแทนที เธอไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะบาดเจ็บแต่กลัวว่าเขาจะตาย“พี่ยังไหว แผลแค่นี้เอง” เวทัศพยายามปลอบเธอ แต่นั้นยิ่งทำให้เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นจนพูดแทบไม่เป็นภาษา“พี่เวย์ ห้ามเป็นอะไรนะ นี่เป็นคำสั่ง ไหนว่าอยากอยู่กับมนและลูกไง ถ้าเป็นอย่างนี้มนจะอยู่ยังไง”“พี่จะไม่เป็นไร มนอย่าร้องนะ” เขาบีบมือเธอแน่นขึ้น ไม่นานเท่าไรหูก็ได้ยินเสียงไซเรนดังแว่วมาเจ้าหน้าที่ทำงานเคลื่อนย้ายร่างของเวทัศขึ้นบนเตียง มนลิตากระโดดขึ้นไปบนรถอ้างความเป็นภรรยาทันที รถพยาบ
ในที่สุดวันเวลาของการรอคอยก็มาถึงสักที ทั้งหมดเดินทางมาถึงภูเก็ตด้วยเครื่องบิน พอมาถึงคนของเวทัศก็นำรถมารับถึงสนามบิน“คุณท่านรออยู่ที่โรงแรมแล้วครับ” คนขับรถบอกกับเวทัศแล้วเดินไปเปิดประตูรถให้ทุกคนนั่ง รถยนต์เคลื่อนตัวตรงไปโรงแรมทันทีโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ริมหาดกะตะบนแนวสันเขาของเกาะบริเวณหน้าโรงแรมเป็นหาดทรายขาวละเอียด มีลักษณะเป็นวงกว้างและมีความโค้ง คลื่นลมสงบ น้ำนิ่งสามารถลงเล่นน้ำได้และที่นี่ยังมีแนวปะการังแปลกตา ยาวไปจนถึงเกาะปู ทำให้เป็นที่ฝึกดำน้ำ และจุดดำน้ำยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความสวยงามใต้ทะเล“หูววว พ่อขาทะเล” รถเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าโรงแรมเมทิตาชะเง้อคอขึ้นมองแล้วชี้ออกไปนอกหน้าต่างรถด้วยความตื่นเต้นตายายหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของหลานแล้วบอกว่าให้รถจากรถก่อนจะได้เห็นชัด ๆ พอก้าวเท้าลงมาคนเป็นย่าก็ยืนรอต้อนรับอยู่แล้วทำให้หนูน้อยลืมน้ำทะเลใสไปเลย“หนูเมย์...”“คุณย่า”ขาสั้นป้อมวิ่งตรงลิ่วไปหาคุณหญิงระย้า แขนเหี่ยวย่นอ้าแขนรับเจ้าตัวเล็กสู่อ้อมกอดแล้วหอมซ้ายหอมขวาเหมือนเคย“คุณย่าขา หนูเมย์ได้นั่งเครื่องบินด้วย บนโน้นมีเมฆ มีนกด้วยค่ะ”เมทิตาเงยหน้าชี้
สองผู้เฒ่านั่งเล่นอยู่ข้างล่างหันมองหน้ากันเชื่อได้เลยไม่นานทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าลูกสาวพวกเขานั้นใจอ่อนตั้งนานแล้วตอนนี้แค่วางฟอร์มเท่านั้น“แม่มนขา พ่อเวย์ขา” น้ำเสียงและท่าทางแบบนั้นมนลิตาพอจะเดาออกว่าลูกสาวต้องอยากได้หรืออยากไปที่ไหนสักที่แน่นอน“อ้อนจะเอาอะไรอีกคะ”“หนูเมย์อยากไปทะเล วันนี้เพื่อนหนูเมย์บอกว่าพ่อกับแม่พาไปทะเลหนูเมย์อยากไปบ้าง” เด็กหญิงทำหน้าอ้อน ๆ ใส่แม่ หันไปกระพริบตาปริบๆกับคนเป็นพ่อก่อนจะวิ่งอ้อมโต๊ะไปสวมกอดตากับยายเพื่อเอาใจมนลิตาแพ้ทางเวลาเมทิตามาอ้อนเพื่อขออะไรสักอย่าง แน่นอนว่าเธอไม่ได้ตามใจเสียทุกเรื่องแต่เพราะลูกสาวเธอไม่เคยไปทะเลเลยตั้งแต่เกิดมากำลังจะอ้าปากพูดผู้ชายนั่งข้างก็เป็นฝ่ายเสนอขึ้นมา“ถ้าอย่างนั้นเราไปพักผ่อนกันทั้งครอบครัวดีไหมครับ ผมจะได้โทรบอกคุณแม่ด้วย”“ดีค่ะ ไปๆ ไปเที่ยวทะเลกัน” เมทิตาตอบรับแทนทุกคนแล้วชูสองแขนขึ้นกระโดดหมุนตัวไปมารอบโต๊ะกินข้าวเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของลูกกับมนลิตาทำให้เขามีความสุขมากขึ้นไม่ต้องมานั่งทำหน้าอมทุกข์เหมือนแต่ก่อน“แล้วเราจะไปทะเลที่ไหนล่ะ ประเทศเรามีทะเลตั้งหลายจังหวัด” ตา
ว่ากันว่าคนเราไม่เคยมีใครเป็นพ่อกับแม่มาก่อนทุกคนมาเริ่มต้นนับหนึ่งเมื่อมีลูกคนแรก ต่างลองผิดลองถูกกันมาทั้งนั้นสงสัยมันจะเป็นเรื่องจริง เหมือนกับเขาตอนนี้ที่กำลังฝึกหัดการเป็นพ่อคน คนอื่นโชคดีที่ได้ฝึกเป็นพ่อด้วยการอุ้มลูก เปลี่ยนผ้าอ้อม กล่อมนอน แตกต่างจากเขาตอนนี้ที่กำลังเป็นลูกค้าให้กับช่างแต่งหน้าตัวน้อย“พ่อเวย์สวยที่สุดเลยค่ะ” หนูเมย์ยื่นกระจกให้คนเป็นพ่อดูกับความภาคภูมิใจในการแต่งหน้า เขายิ้มรับให้ลูกแล้วทำท่าตื่นเต้นบนหัวผูกจุกเป็นต้นมะพร้าวสามต้น คิ้วถูกระบายหนาเป็นปลิง เปลือกตาทาด้วยสีฟ้าเข้ม ขนตางอนปัดด้วยมาสคาร่า โหนกแก้มแดงยิ่งกว่าตูดลิง ไฮไลท์ดั้งพุ่งโด่งจนแทบทิ่มตา ตบท้ายด้วยปากสีส้มเข้ากันกับแก้มสุดๆ“เฮ้ออออ” เวทัศพ่นลมหายใจออกมายาว ๆ“ถอนหายใจทำไมคะ ไม่สวยเหรอ” เด็กหญิงย่นคิ้ว เวทัศรีบฉีกยิ้มเอาใจลูกสาวเพียงคนเดียว“สวยค่ะ แต่พ่อว่ารอบหน้าเราลองลดความเข้มของสีตา แก้มลงกว่านี้ดีไหม มันจะต้องสวยมากกว่านี้แน่เลย เววี่คอนเฟิร์มคร๊า!”เวทัศดีดตัวสะดีดสะดิ้งราวกับว่าตัวเองเป็นเป็นสาวประเภทสอง แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นตรงประตูทางเข้าและที่น่าอับอา
ช่วงหลังเลิกงานเขาเอาแต่นั่งทำอาหารเกาหลีแทบทุกวันเพื่อที่อย่างน้อยมันก็บรรเทาความคิดถึงผู้หญิงตรงหน้าได้บ้าง และวันนี้เขาก็ได้มีโอกาสทำให้เธอได้กินแล้ว“กินสิ เดี๋ยวเย็นหมดนะ” ชายหนุ่มเลื่อนจานจาจังมยอนมาให้มนลิตาหลุดออกมาจากภวังค์ใช้ตะเกียบเหล็กคีบเส้นสีดำเข้าปาก ทันทีที่ลิ้นสัมผัสกับน้ำซอสสีดำดวงตากลมประกายวาววับขึ้นมาทันทีมุมปากของเวทัศหยักโค้งขึ้นแทบจะถึงติ่งหู หาเรื่องคุยกับง้อตั้งนานแทบจะไม่ได้ผลแต่พอทำของโปรดไว้ให้เขากลับเห็นความสดใสบนใบหน้าของเธออีกครั้งชายหนุ่มเท้าคางบนเก้าอี้มองหญิงสาวกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย กว่าจะรู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายเฝ้ามองเธอก็กินอาหารไปจนเกือบหมดโดยลืมชวนคนทำกินเสียด้วยซ้ำ“ไม่กินด้วยกันเหรอคะ”“ไม่ล่ะครับ พี่เห็นมนกินได้ก็ดีใจแล้ว”เอื้อมมือไปหยิบทิชชูจากกล่องไปเช็ดมุมปากที่เปื้อนน้ำซอสสีดำให้แผ่วเบา ดวงตาทั้งคู่สบกันครู่หนึ่งจนเป็นฝ่ายมนลิตาได้สติขึ้นมาก่อน เธอเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วเช็ดปากด้วยตัวเอง“เรื่องที่เราคุยกันเมื่อคืน...”“มนอยากคุยกับพี่เวย์เรื่องนี้พอดีเลยค่ะ”ยังไม่ทันจะบอกจุดประสงค์จบเลยว่าไม่ต้องรีบเขารอได้ ทว่าหญิงสาวก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาเ