เสียงออดเข้าเรียนดังขึ้น ชูครีมจูงมือมนสิชาไปเข้าเรียน ห้องเรียนเป็นห้องเรียนในอุดมคติ มีนักเรียนสิบกว่าคนต่อครูคนเดียว ครูที่นี่หน้าตาเหมือนเด็กมัธยม สิ่งที่แยกพวกเขาได้คือชุดที่สวมเท่านั้น ห้องเรียนประดับไปด้วยสายรุ้งแฟนซีและลูกโป่ง ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มไม่เหมือนกำลังมาเรียนหนังสือแต่มาเล่นสนุกกันมากกว่า
"ครูดวงใจคะ วันนี้มีนักเรียนใหม่มาเรียนกับพวกเราด้วยค่ะ" ชูครีมดันหลังมนสิชาให้เดินไปข้างหน้า
"มนสิชา ภูริเดโชค่ะ" เธอแนะนำตัว
"ยินดีต้อนรับนะ นั่งก่อนสิค่ะ แล้วปุยฝ้ายหายไปไหนอีกแล้ว" ดวงใจเอ่ย เธอดูสนิทกับนักเรียนทุกคน
"หลับไม่ฝันค่ะ" ชูครีมตอบสั้นๆ ดูง่วนกับการหาขอบางอย่างในกระเป๋านักเรียน
"แต่ก็ช่างเถอะ เพราะวันนี้เราไม่ได้จะเรียนในห้องเรียน
กัน" มนสิชามองสายรุ้งประดับอย่างเสียดาย เธอชอบสีสันของมันแท้ๆ "เมื่อวานสวนดอกไม้ส่วนกลางและสวนดอกไม้ของโรงเรียนเราแห้งเหี่ยวไปหมดเลย ครูก็เลยจะพาพวกเราไปจัดการสักหน่อย"
นักเรียนในห้องปรบมือกัน มนสิชาไม่คิดว่าพวกเขาจะตบมือเพราะดีใจที่ดอกไม้เหี่ยว แต่ดีใจที่ไม่ต้องเรียนมากกว่า พวกเธอลงจากอาคารเรียนมาหน้าอาคารเรียน แปลงดอกไม้ยืนตายทั้งต้นเหมือนดอกไม้ส่วนกลางไม่ผิดเพี้ยน นักเรียนส่วนหนึ่งไปเอาอุปกรณ์มาจากโรงเก็บอุปกรณ์ ส่วนอีกส่วนหนึ่งก็ไปเอาต้นกล้ามาจากโรงเพาะชำ มนสิชาไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี ชูครีมดึงดอกไม้ออกจากสวนด้วยมือเพียงข้างเดียว แล้วหยิบจอบมาขุดรากดอกไม้ออกจนหมด ทั้งเธอทำเพียงคนเดียวและทำอย่างว่องไว
"สเลฟจงออกมา"
ประตูมิติเปิดออกพร้อมมังกรน้ำเงินตัวโต มันร้องคำรามอยู่เหนือหัวเหล่านักเรียน
"บลูฮาร์ทช่วยขุดหน่อยสิ" เธอสั่งมัน มังกรตัวเขื่องจึงใช้หางแข็งแรงเจาะพื้นเป็นรูขนาดพอเหมาะทีละรูๆจนหมดทั้งแปลง นักเรียนแปลงอื่นมองเธอทำงานอย่างอิจฉา มนสิชารู้สึกว่าเธอจะยอมแพ้ไม่ได้ เธออยากมีคุณค่าต่อโรงเรียนแห่งนี้เช่นเดียวกับที่ ชูครีมมีคุณค่า เธอจึงถอนดอกไม้ในแปลงตนเองบ้าง ถึงจะไม่เบาหวิวเท่าชูครีม แต่ก็ทำได้อย่างรวดเร็ว
"สเลฟจงออกมาๆ"
เสียงนักเรียนชายและหญิงร้องขึ้น ประตูมิติส่งแมวขาวหน้าตาน่าเอ็นดูออกมา อีกคนหนึ่งมีสเลฟเป็นนกแก้ว และอีกคนเป็นหมูแคระ พวกเจ้าของใช้เวลากับสเลฟของตัวเอง มนสิชามองเห็นควันสีดำที่คลุมร่างของสเลฟอีกครั้ง เธอสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วทำงานอย่างขะมักเขม้น ครูดวงใจเดินมาดูแปลงดอกไม้ของมนสิชา
"ว่าไงเด็กใหม่ เริ่มชินกับที่นี่หรือยัง"
"ก็ดีขึ้นบ้างค่ะ" มนสิชาตอบกลางๆ เธอนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนตกลงใจถาม "ครูดวงใจคะ"
"ว่าไงจ๊ะ"
"ควันหรือออร่าสีดำที่คลุมสเลฟอยู่คืออะไรเหรอคะ"
"ช่างสังเกตดีนี่" ครูดวงใจชม "มันเกิดจากพลังของแต่ละคนจ้ะ ครูเดาว่าโรงเรียนแห่งนี้สร้างขึ้นมาจากพลังงานบางอย่างที่ดึงเอาความเชื่อมโยงจากตัวพวกเราทุกคนไว้ด้วยกัน แล้วพลังบางอย่างที่เกิดจากตัวเรานอกจากจะสร้างสเลฟที่รูปร่างไม่เหมือนกันแล้ว พลังงานที่ดึงออกมานั้นได้สร้างออร่าสีดำนั้นออกมาด้วย แต่พลังงานที่เราใช้นั้นมาจากส่วนไหนของเรา ครูก็ไม่รู้เหมือนกันนะ"
มนสิชางงและจับใจความได้ไม่กี่อย่าง เธอเงียบไปเพราะมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องที่ครูดวงใจพูด จึงไม่ได้เอ่ยอะไรมาอีก
"ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ ดูจากการทำงานแล้ว เธอมีพลังในระดับปานกลางนะ"
"ครับผม" มนสิชาตะเบ๊ะ
"สาวๆ" ปุยฝ้ายทักชูครีมและมนสิชา ก่อนทิ้งตัวลงนั่ง
บนพื้นหญ้าใกล้ๆ "ทำสวนอีกแล้วเหรอ"
"ใช่ คุณปุยฝ้ายพอจะดูออกไหมคะ ว่าทำไมดอกไม้เป็นแบบนี้" ชูครีมถามเพื่อนสาว
ปุยฝ้ายเงียบไปพักหนึ่งแล้วเดินไปสำรวจดอกไม้ที่ยังอยู่ในแปลง ใช้มือแหวกดอกไม้ไปมาก่อนตอบคำถาม
"ดอกกับใบเหี่ยวแล้วก็หงิก ส่วนต้นยังมีที่เขียวๆ อยู่บ้าง น่าจะเป็นเหตุผลเดียวกับที่ฝนตก ดอกไม้ก็คงเป็นโรคได้เหมือนกัน"
ทุกคนพยักหน้าอย่างช้าๆ แปลกใจกับสิ่งที่ได้ฟัง แต่ไม่มีใครรู้เบาะแสอะไรเลย
พวกเธอทำงานอยู่เกือบสองชั่วโมงจึงเสร็จ ชูครีมเดินไปบอกครูดวงใจแบบที่ได้ยินมาจากปุยฝ้าย ก่อนกลับมาช่วยปุยฝ้ายที่ลงดอกไม้จนเกือบเสร็จแล้ว พวกเธอรู้สึกร้อนและเหนื่อยกันมาก มนสิชาเอามือเช็ดเหงื่อด้วยความเคยชิน แต่ไม่มีเหงื่อออก เธอดมเสื้อตัวเอง ไม่มีกลิ่นตัวเช่นกัน
"เก็บของแล้วไปอาบน้ำกันเถอะ" ปุยฝ้ายชวน
"สมจริงอีกแล้ว" มนสิชาพึมพำ
"ความจริงไม่ต้องอาบก็ได้นะ แต่ถ้าอาบแล้วจะรู้สึกดีมาก" ปุยฝ้ายบอก
"ตั้งแต่มาที่นี่ได้สองวัน นี่ก็เพิ่งได้อาบน้ำครั้งแรกนี่แหละ แล้วเราจะไปอาบที่ไหนกัน" มนสิชาถาม
"ที่โรงเรียนมีห้องอาบน้ำด้วยนะ เราไปเอาชุดนักเรียนจากห้องสวัสดิการแล้วอาบน้ำกัน" ปุยฝ้ายบอกด้วยเสียงร่าเริง เธอวิ่งนำไปห้องสวัสดิการ ดึงชุดนักเรียนออกมาแล้วโยนให้ทั้งสองคน จากนั้นก็วิ่งขึ้นไปบนชั้นห้าซึ่งมีห้องอาบน้ำรวมอยู่
มนสิชาเดินมาดูห้องอาบรวมที่ว่า มีอ่างน้ำที่ทำมาจาก ปูนซีเมนส์ก่อตัวสูงขึ้นมาจากพื้นในรูปทรงสี่เหลี่ยม ขันน้ำวางไว้รอบๆอ่าง มนสิชาไม่มีแม้แต่ผ้าขนหนู เธอตรองว่าจะทำอย่างไรดี จึงยักไหล่แล้ววางเสื้อผ้าไว้บนชั้นวางของใกล้ๆ ปุยฝ้ายเดินออกไปจากห้อง ส่วนชูครีมยังเดินมาไม่ถึงเพราะดูอะไรอยู่ข้างนอกห้องอาบน้ำ หญิงสาวจึงกลั้นใจถอดเสื้อผ้าทั้งหมดแล้วตักน้ำราดตัวเอง
"บรึ๋ย หนาวจัง" เธอบ่นแต่ก็รีบอาบน้ำ ความเย็นของน้ำแทรกซึมเข้าสู่ผิวกายเธอ
"เฮ้ย ใจร้อนจริง" ปุยฝ้ายเดินเข้ามาพร้อมผ้าถุงในมือ ส่ายหน้ามองมนสิชาเปลือยเปล่า
"ใจกล้ามากด้วยค่ะ" ชูครีมหัวเราะ แอบสำรวจหุ่น มนสิชา "แหมๆ ชูครีมสังเกตมานานแล้ว คุณมนนี่เซ็กซี่จริงๆ เลยนะคะ"
"ถ้ามีผ้าถุงก็รีบๆบอกกันบ้างเซ่" มนสิชาหน้าร้อนผ่าว เดินไปหยิบผ้าถุงจากปุยฝ้ายมาใส่
"ฉันให้เต็มสิบเลย" ปุยฝ้ายรีบบอก
"หุ่นเหรอคะ" ชูครีมถาม
"ความใจกล้า" ปุยฝ้ายตอบ
ปุยฝ้ายและชูครีมระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
"ยัยปุยฝ้าย!" มนสิชาสาดน้ำใส่ปุยฝ้าย ปุยฝ้ายสาดน้ำกลับ แต่กลับโดนชูครีมแทน เธอวิ่งไปเปลี่ยนชุดแล้วมาร่วมวงสงครามน้ำ
พวกเธอเล่นกันจนพอใจ แล้วจึงเดินไปสวมเสื้อผ้า
"คุณครูดวงใจฝากบอกว่า ตอนบ่ายนี้ให้คุณมนไปหาที่สนามฟุตบอลโรงเรียนด้วยนะคะ คุณครูจะสอนให้เรียกสเลฟค่ะ แล้วก็เปลี่ยนกระโปรงเป็นกางเกงด้วยค่ะ"
ตอนบ่ายมนสิชาไปรอก่อนเวลาเล็กน้อย ไม่มีใครเดินผ่านสนามฟุตบอลเพราะเป็นเวลาเรียน ครูดวงใจเดินมาหา มนสิชาที่ยืนรอกลางสนาม
"ขอโทษที่มาช้านะ พอดีมีประชุมอาจารย์" ครูดวงใจออกตัว
"ไม่เป็นไรค่ะ" มนสิชาบอก "ที่นี่มีโรงเรียนแล้ว ถ้ามีวิชาเกี่ยวกับสเลฟก็คงดีนะคะ"
"ใครบอกว่าไม่มีจ๊ะ มีสิ เพียงแต่เพื่อให้เธอเรียนตาม
เพื่อนๆทัน ครูก็เลยมาสอนแยกต่างหาก"
"ขอบคุณมากค่ะ" มนสิชายกมือไหว้คนเด็กกว่า เธอตะขิดตะควงใจเล็กน้อย แต่พอนึกว่าครูคนนี้เสียเวลาพักมาช่วยสอนเธอ ก็รู้สึกขอบคุณไม่น้อยแล้ว
"เริ่มเลยดีกว่า ความจริงแล้ววิธีการเรียกสเลฟไม่ได้ยากอะไรเลย แค่เธอสื่อใจถึงมันแล้วพูดว่าสเลฟจงออกมา แค่นี้ก็ออกมาแล้วนะ" ครูดวงใจอธิบาย "ไหนลองดูซิ"
"สเลฟจงออกมา"
มนสิชาเรียกด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง แต่ประตูมิติแค่ปรากฎเป็นรอยเส้นบางๆ ไม่มีตัวอะไรออกมา
"เธอต้องทำใจให้นิ่ง ใช้ใจที่นิ่งตามหาพลังที่ซ่อนอยู่ในใจเธอ จากนั้นก็เรียกมันออกมา"
หญิงสาวทำตามที่อาจารย์บอก เธอสงบใจแล้วก็พบว่ามีสายใยบางๆที่เชื่อมเธอไว้กับอะไรบางอย่าง แล้วเธอก็เอ่ยด้วยเสียงดังลั่น
"สเลฟจงออกมา"
ประตูมิติเปิดกว้าง แล้วม้าตัวโตก็ออกมา มันร้องเสียงดังแล้วกระโดดไปมาด้วยอาการไม่พอใจ มนสิชาเข้าไปลูบหัวม้าของเธอ แต่ครูดวงใจดึงตัวเธอไว้
"ดูลาดเลาอีกนิดดีกว่านะ ดูมันยังไม่คุ้นกับเธอเลย"
มนสิชายิ้มให้ม้า เธอนึกถึงสายใยที่เชื่อมเธอกับม้าไว้ด้วยกัน ส่งความปรารถนาดีให้ม้า มันดูสงบลงอย่างประหลาด แล้วม้าพยศก็ยอมให้เธอลูบหัวได้
"เขาตั้งชื่อให้สเลฟกันด้วยใช่ไหมคะ" มนสิชาถามดวงใจ
"ใช่จ้ะ ก็ดีนะ จะได้สนิทกันมากขึ้น"
หญิงสาวนิ่งคิด เธอสังเกตรายละเอียดของม้า ม้าของเธอเป็นสีดำ กล้ามเนื้อตรงแผงคอดูสวยงาม ดูสง่าองอาจ ท่าทางดุเอาเรื่องเหมือนม้าศึก
"ฟ้าลั่น ฉันขอตั้งชื่อแกว่าฟ้าลั่นนะ" มนสิชาเอ่ยกับมัน เหมือนจะฟังรู้เรื่อง เจ้าฟ้าลั่นขานรับชื่อของมัน ชูสองขาหน้าขึ้นแล้วเอาตัวเข้ามาสีเจ้านายอย่างเอาใจ หญิงสาวตีความท่าทางนั้นด้วยการถาม "อะไร อยากให้ฉันขึ้นขี่เหรอ"
ฟ้าลั่นก้มหัวลงเป็นการยอมรับ นายหญิงจับคอม้าไว้ให้แน่นแล้วยกตัวขึ้นขี่ม้า ฟ้าลั่นร้องเบาๆ แล้วเดินเยาะๆรอบสนามฟุตบอล เสียงออดเปลี่ยนวิชาดังขึ้น มันตกใจจึงวิ่งเตลิดไปข้างหน้า มนสิชากอดคอม้าแน่นไม่กล้ามองไปข้างหน้า
ฟ้าลั่นเร่งความเร็ว แถมยังสะบัดตัวเพื่อให้มนสิชาตกจากหลัง เธอกอดคอม้าแน่น แขนหญิงสาวเกร็งจนเริ่มอ่อนแรง หากฟ้าลั่นยังไม่หยุดวิ่ง เธอคงตกในไม่ช้า
"สั่งให้ม้าหยุดซิมนสิชา" ครูดวงใจตะโกนบอก
"ไม่ไหวหรอก" มนสิชาพูดเสียงเบาจนมีแต่เธอได้ยิน เธอไม่มั่นใจว่าจะหยุดมันได้
"เธอเป็นเจ้านายมันนะมนสิชา" ครูดวงใจตะโกนเตือนสติมาจากที่ไกลๆ "เธอต้องควบคุมมัน"
"ฟ้าลั่น หยุด!" มนสิชาเอ่ยอย่างวางอำนาจ
เจ้าม้าพยศร้องเสียงดัง ลดความเร็วลง จนกลายเป็นเดิน มนสิชาบังคับให้มันเดินกลับมาหาครูดวงใจ ก่อนกระโดดลงมา
"ทำได้ดีมาก" ครูดวงใจจับมือเธออย่างชื่นชม "ครูคิดว่าเธอน่าจะเป็นอัศวินกองหนุนได้ ถ้ามีอัศวินบาดเจ็บจนสู้ไม่ไหว เราจะเรียกเธอไปสู้แทน"
รบกวน กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และคอมเม้นท์ ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ อยากให้เนื้อเรื่องเป็นยังไง ภาษาให้เป็นแบบไหน หรือชอบงานตรงไหน คอมเม้นท์มาได้นะคะ
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื