Home / วัยรุ่น / เมืองนิทรา / บทที่ 33 (ตอนจบ)

Share

บทที่ 33 (ตอนจบ)

Author: Me.Daisy
last update Last Updated: 2025-02-28 17:24:44

              หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน  ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ  พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม  ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา  ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ  เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล  หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก

              "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ"  ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ  แต่ทำไม่ได้เลย

              "กินได้บ้างแล้ว"  ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง

              "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน  บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง"  ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น  ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน  "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ  คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย  แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล  พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย  คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้  คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ"

              ดนุเดชดูเหม่อลอย  ไม่ตอบอะไร

              "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก  แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์  ไม่เฉพาะเราสองคน  แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด"  ปุยฝ้ายถอนหายใจ  "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว  เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ"

              "พ่อขอโทษนะลูก  ทำให้ปุยฝ้ายต้องมาเดือดร้อนไปด้วย" ดนุเดชน้ำตาไหล

              "ทำไมต้องทำแบบนี้ล่ะคะ  แค่ทำให้ปุยฝ้ายหลับไปคนเดียวก็น่าจะพอแล้วนี่นา"  ปุยฝ้ายน้ำตาซึมเช่นเดียวกัน

              "เพราะพ่ออยากให้ปุยฝ้ายไม่ต้องเหงาอยู่คนเดียว  พ่อทำให้ทุกคนอยู่ม.ปลายเพราะต้องการให้ทุกคนคุยกันอย่างสะดวกใจ  วัยนี้โตพอจะดูแลตัวเองได้แต่ก็ยังมีความฝันแบบเด็กๆอยู่  พ่ออยากให้หนูสนุกกับช่วงเวลานี้  ที่ต้องทำให้เป็นโรงเรียนเพราะพ่ออยากให้ลูกให้ความสำคัญกับการเรียน  มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบทุกวันๆ 

              ที่ต้องมีสเลฟและต้องมีมอนสเตอร์เพราะพ่ออยากให้ชีวิตมีอุปสรรคบ้าง  ทุกคนจะได้ไม่ขี้เกียจ  ไม่นิ่งนอนใจ  ต้องวางแผน  หาทางรักษาชีวิตให้รอด  ที่ต้องมีผู้นำเพื่อให้มีคนคอยตัดสินใจ  คอยปกป้องพวกลูกๆ  ที่ต้องมีกฎว่าคิดดีแล้วจะโชคร้าย  คิดร้ายแล้วจะโชคดีเพราะเป็นผลข้างเคียงจากคาถา

              ลูกจำเพลงโปรดของตัวเองได้ไหม  ทุกครั้งที่เรียกประชุม เราจะเปิดเพลงโปรดของลูก  เสียงเพลงทวิงเกิ้ล ทวิงเกิ้ล  ลิตเติ้ล สตาร์  ยังไงล่ะ

              เวลาที่เรารักอะไรเข้าแล้ว  บางครั้งเราก็ไม่ได้คิดถึง    ความดี  ไม่คิดถึงความเหมาะสม  แต่เราอยากจะเอาตัวไปปกป้องสิ่งนั้นแค่อย่างเดียว"

              "ทุกอย่างเป็นความผิดของปุยฝ้ายเอง  เพราะหนูไม่ระวังถึงเกิดอุบัติเหตุขึ้น  แล้วทำให้คุณพ่อต้องทำแบบนี้"  ปุยฝ้ายร้องไห้  รับรู้ถึงความรักที่พ่อมีให้เธอ  แต่มันช่างมากมายจนเธอรู้สึกด้อยค่าเกินกว่าจะรับไว้ได้  และความรักที่มากมายของพ่อเธอ  ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน

              "ไม่ใช่หรอก  เพราะพ่อเห็นแก่ตัวเอง  พ่อทำเพราะพ่อมีความสุขที่ได้เห็นลูกสาวพ่อมีความสุข  แล้วลูกสาวพ่อก็สนุกใช่ไหมตอนอยู่ในความฝัน  ลูกสร้างบุคลิกรักสนุกขึ้นมาไม่ใช่เหรอ"  ดนุเดชลูบหัวลูกสาว  เขารู้ทุกอย่าง  เห็นทุกอย่างเกี่ยวกับลูกสาวเสมอ

              ทั้งสองคนร้องไห้ออกมาอย่างสะกดกลั้นไว้ไม่ไหว       คนอื่นหันมามองสองพ่อลูกที่สะอื้นเสียงดัง  ก่อนกลับไปสนทนากันต่อ

              "ใช่ค่ะ  นอกจากสนุกแล้วหนูยังทำให้คนอื่นสนุกไปกับหนูด้วย"  ปุยฝ้ายยิ้มออกมาทั้งที่น้ำตายังไม่แห้ง  "หนูได้เพื่อนใหม่อีกสองคน  เขาเป็นคนสำคัญของหนู  ในท่ามกลางเรื่องร้ายๆ  ก็ยังมีเรื่องดีๆอยู่เสมอนะคะ"

              "พ่อดีใจกับหนูด้วยนะปุยฝ้าย"  ดนุเดชลูบหัวลูกสาว

              "หนูรักคุณพ่อนะคะ  หนูสัญญาว่าจะมาเยี่ยมบ่อยๆ" 

              พวกเขายังคุยกันจนหมดเวลาเยี่ยม  ปุยฝ้ายเดินกลับอย่างหมดแรง  น้ำตายังซึมทุกครั้งที่นึกถึงพ่อ  พยาบาลส่วนตัวของเธอตามมาด้วย  เธอช่วยพยุงปุยฝ้ายขึ้นรถตู้แล้วกลับไปโรงพยาบาล

              มนสิชากลับมาเยี่ยมปุยฝ้ายและชูครีมที่โรงพยาบาล  ตอนนี้ทั้งสองคนเดินได้เกือบเป็นปกติแล้ว  พวกเธอนัดเจอกันที่ร้านกาแฟ  มนสิชากับปุยฝ้ายมาถึงพร้อมกันจึงนั่งรอชูครีมที่โต๊ะ  ต่างคนต่างดูดน้ำของตนแล้วคุยกันฆ่าเวลา  ปุยฝ้ายใช้ศอกสะกิดมนสิชาให้ดูชูครีมที่แต่งตัวอย่างน่ารัก  วันนี้เป็นวันที่เธอจะออกจากโรงพยาบาล  เธอสวมชุดเดรสสีชมพูดอ่อน  รวบผมหลวมๆ  แล้วติดกิ๊บรูปดอกไม้  สวมรองเท้ามีส้นสีขาวเดินเข้ามาอย่างช้าๆ  หนุ่มๆในละแวกนั้นหันมามองเหลียวหลัง  แต่ชูครีมไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าถูกมอง

              "ชุดสวยนะชูครีม"  มนสิชาออกปากชม

              "ไม่หรอกค่ะ  ชุดเก่ามันใส่ไม่ได้แล้ว  ลูกพี่ลูกน้องเลยเอามาให้ยืม  เธอมีแต่ชุดแบบนี้ค่ะ"  ชูครีมก้มลงมองเสื้อที่เพิ่งใส่แนวนี้เป็นครั้งแรก  ท่าทางยังขัดเขินไม่เข้าถึงความน่ารักของชุด

"มากันครบแล้ว  งั้นฉันบอกเลยล่ะกันว่าปีนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะได้เจอกัน"  ปุยฝ้ายประกาศ  ทำหน้าเศร้า  "ฉันจะไปอยู่กับคุณย่าที่เชียงใหม่"

เธอไม่เอ่ยเรื่องที่พ่อติดคุก  เพราะทุกคนรู้ดีกันอยู่แล้ว

              "จริงเหรอ"  ชูครีมอยากถามอะไรแต่ไม่กล้า  การไปอยู่กับญาติคนอื่นยังไงก็ไม่เหมือนกับอยู่กับพ่อแม่แท้ๆ

              "เท่าที่จำได้คุณย่ารักฉันมากเลย  แล้วฉันก็เป็นหลานคนเดียวของคุณย่าด้วย  ไม่ต้องเป็นห่วงนะ"

              "พี่เองก็ได้งานทำแล้วล่ะ"  มนสิชาบอกเปลี่ยนเรื่องบ้าง  "ได้เป็นผู้จัดการมินิมาร์ท  โชคดีที่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่  ถึงจะกลับบ้านกลางคืนก็ไม่น่ากลัวจนเกินไป"

              "แถมมีชายหนุ่มรูปงามคอยรับคอยส่งด้วยใช่ไหม"  ปุยฝ้ายต่อให้จนจบประโยค

              "ว้ายๆ  น่าอิจฉาจังค่ะ"  ชูครีมผสมโรง  ก่อนนึกได้ว่าถึงคราวตัวเองต้องเล่าเรื่องตัวเองให้คนอื่นฟัง  อารมณ์ของเธอเปลี่ยนในทันที  "ชูครีมไม่อยากไปโรงเรียนเลยค่ะ  แล้วก็ไม่อยากอยู่บ้านเลย"

              "ทำไมล่ะชูครีม"  มนสิชาถามด้วยความเป็นห่วง

              "บ้านชูครีมเข้มงวดค่ะ  ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็ชอบตำหนิชูครีม  แถมพอไปโรงเรียนเพื่อนๆก็เอาแต่ล้อว่าชูครีมอ้วน"  ชูครีมงอตัวลงแทบจะอยากมุดลงไปใต้โต๊ะ

              "โธ่  นึกว่าเรื่องอะไร"  ปุยฝ้ายบอก  "รับรองว่าชีวิตเธอต้องดีขึ้นอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งแน่นอน"

              มนสิชากอดชูครีมทีหนึ่งเพื่อให้กำลังใจ

              "ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะ"

              "โทรหาปุยฝ้ายด้วย"

              "อย่างนี้นี่เองที่ชูครีมชอบว่าตัวเอง  ชอบดูถูกตัวเอง  เพราะมีคนที่เอาแต่ว่าชูครีมนี่เอง  ต่อไปนี้จะดีขึ้นแน่นอน               พี่รับรอง"  มนสิชาเอ่ยเสียงอ่อนหวาน

              "เพราะอะไรคะ"  ชูครีมซื่อบื้อเกินกว่าจะเข้าใจ

              "เพราะชูครีมผอมลงตั้งเยอะ  สวยขึ้นเป็นกอง  แถมตอนที่หลับไปชูครีมยังเก่งพอจะช่วยชีวิตคนอีกเยอะแยะเลยด้วย  เพราะฉะนั้นเลิกว่าตัวเองว่าไร้ค่าได้แล้ว  ทำความดีตั้งเยอะแยะจะเป็นคนไร้ค่าได้ยังไง"  มนสิชาชี้จุดดีๆในชีวิตเธอ

              "นั่นมันก็แค่ความฝัน"  ชูครีมเถียง

              "แต่มันไม่ใช่ฝันธรรมดาสักหน่อย"  ปุยฝ้ายเอ่ยพลางหัวเราะ

              "เพราะพวกเราเคยใช้ชีวิตจริงในความฝันยังไงล่ะ"  มนสิชาสรุป  แล้วยิ้มหวานให้สองเพื่อนสาว

              วันนี้มนสิชาเลิกงานตอนสามทุ่ม  เธอเดินกลับบ้านพร้อมปริญ  อากาศเย็นสบายสมกับเป็นฤดูฝน  ทั้งคู่เดินไหล่เบียดกันบนทางเดินฟุตบาทแคบๆ  ก่อนมาหยุดอยู่หน้าบ้าน  ตอนนี้ทั้งถนนเงียบกริบ  มีแค่พวกเขาสองคน  ปริญยังคงมารับส่งในเวลากลางคืนอย่างสม่ำเสมอ  มนสิชาอดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อคิดว่าโชคดีแค่ไหนที่มีเขา

              "ขอบคุณนะคะ  ที่มาส่งตลอด"  มนสิชาบอก

              "ไม่เป็นไรครับ"  ปริญตอบ  ทำท่าครุ่นคิด

              "พี่ปริญมีอะไรหรือเปล่าคะ"

              "พี่ว่าเราเลิกเป็นแฟนกันเถอะนะ"  ปริญบอก  สีหน้าอ่านยาก

              มนสิชาตกใจกับคำพูดของเขา  น้ำตาเธอค่อยๆไหล  แต่ไม่มีเสียงสะอื้น  ไม่มีการตีโพยตีพาย

              "เบื่อมนแล้วหรือคะ"  มนสิชาถาม  พยายามรวบรวมสติ

              "เบื่อแล้วที่ต้องมาหามนไกลๆ  เบื่อแล้วที่ต้องคอยขออนุญาตเวลาต้องการกอดมน  และพี่เบื่อแล้วที่ต้องมีมนเป็นแฟน"  ความจริงจากปากปริญพรั่งพรูออกมา

              มนสิชาสูดลมหายใจลึกๆ  เช็ดน้ำตาให้แห้ง

              "ใจจริงของมนก็อยากจะกรี๊ดแล้วดึงดันให้พี่ปริญเป็นของมนตลอดไป  แต่มนรู้ว่ามนรักพี่ปริญมากกว่านั้น  มนอยากให้พี่เจอคนที่ดีกว่านี้  ตกลงค่ะ  เราเลิกคบกันตั้งแต่วันนี้"

              "ได้  เรามาเลิกเป็นแฟนแล้วแต่งงานกันเถอะ  พี่ไม่อยากไปหามนไกลๆ  เพราะอยากให้มนอยู่ด้วยกันตลอด  พี่ไม่อยากขออนุญาตกอดมน  แต่อยากให้มนมาเป็นของพี่ทั้งตัว  พี่ไม่อยากเป็นแฟนมนแต่อยากให้มนมาเป็นแม่ของลูก  พี่รักมนนะ"  ปริญพูดสบตาแฟนนิ่ง

              มนสิชาน้ำตาไหลอีกครั้ง  ยกมือปิดปาก  ส่งเสียงสะอื้นออกมาอย่างโล่งใจ  ปริญคว้าร่างบางมากอดไว้ในอ้อมอกแข็งแรง  จากนั้นเงยหน้าขึ้น

              "ถ่ายไว้หมดหรือยังครับ"

              "ถ่ายไว้หมดแล้วพี่เขย"  กุมภาออกมาจากซอกมืดพร้อมพ่อและมือถือในมือ  พวกเขายิ้มให้กันอย่างอบอุ่น

              "พ่อขอให้ปริญช่วยดูแลลูกสาวพ่อด้วยนะ  รักกันจนแก่เฒ่านะลูก"  คทาเอ่ย

              มนสิชายิ้มทั้งน้ำตา  เข้าไปกอดพ่อด้วยคน

              "เล่นอะไรกันก็ไม่รู้  มนใจหายหมดเลย"

              "มนจะได้จำไปนานๆไงจ๊ะ  ว่าพวกเรารักมนขนาดไหน"  ปริญเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ่มนุ่ม  "พี่อยากให้มนรู้ด้วยว่า  พี่สำคัญกับมนแค่ไหน"

              "มนทราบค่ะ  และมนก็รู้สึกขอบคุณเสมอที่มีพี่ข้างๆ"

              "ฟังแล้วเขินจัง  คนไม่มีแฟนได้แต่อิจฉา"  กุมภาขัดจังหวะ  ก่อนที่ทั้งสองคนจะพูดอะไรเลี่ยนๆไปมากกว่านี้

              "รีบๆ หาใครสักคนได้แล้ว"  มนสิชาลูบหัวน้องสาว

              "พ่อยังไม่อนุญาต  ต้องเรียนให้จบก่อน"  คทาทำเสียงเข้ม

              "พ่ออ่ะ  ทีพี่มนยังมีแฟนตอนเรียนได้เลย"  กุมภาส่งเสียงสูงรู้สึกไม่ยุติธรรม

              "ได้  ถ้าลูกหาคนดีๆได้  พ่อจะไม่ห้ามแล้วกัน  แต่ต้องอยู่ในสายตาของพ่อนะ"  คทาตั้งข้อแม้

              "สายตาพี่ด้วย"  มนสิชาทำตาดุ

              "เบื่อจริงๆเลย  มีแต่คนแก่หัวโบราณทั้งนั้น  ลูกสาวก็ใช่ว่าจะสวยสักหน่อย  หาให้ได้ก็บุญแล้ว"  กุมภาว่า  พ่อกับพี่สาวทำตาดุใส่  เธอจึงทำตามอย่างเสียไม่ได้  "เข้าใจแล้วๆ  แหม"

              มนสิชายิ้มรับครอบครัวอบอุ่นที่เธอมีสิทธิเป็นส่วนหนึ่งอย่างสุขใจ

*จบบริบูรณ์*

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เมืองนิทรา   บทที่ 33 (ตอนจบ)

    หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่

  • เมืองนิทรา   บทที่ 32

    ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้

  • เมืองนิทรา   บทที่ 31

    มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน

  • เมืองนิทรา   บทที่ 30

    สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป

  • เมืองนิทรา   บทที่ 29

    ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่

  • เมืองนิทรา   บทที่ 28

    วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status