Mag-log inดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา
คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด
เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย
มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย
"หยุดก่อน!"
มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้องลั่นอย่างเจ็บปวด แทนที่จะหมดสติ เธอกลับเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว แต่ไม่ยอมตาย เธอตายไม่ได้ เธอยังต้องดูแลคนด้านหลัง
"ปากนี้เจ้าใช้โกหกพกลม แลบลิ้นออกมา มนสิชา"
ยมบาลใช้คีมดึงลิ้นของเธอออกมา มนสิชาดิ้นให้พ้นเงื้อมมือของยมบาล แต่เขาใช้แรงมหาศาลกดเธอไว้ด้วยเท้า จากนั้นก็เอาเหล็กแดงนาบลงบนลิ้น
"ถ้าเจ้ายังคิดจะฟ้องโรงพยาบาลที่รักษาเจ้าให้หายดี เจ้าจะโดนยิ่งกว่านี้ นรกมีไว้สำหรับคนชั่วเช่นเจ้า"
"กรี๊ด"
มนสิชาร้องลั่น ตื่นขึ้นกลางดึก กุมภาตกใจตื่นเพราะเสียงพี่สาว
"เป็นอะไร พี่มน" น้องสาวถาม
"พี่ฝันร้าย" มนสิชาตัวสั่น ไม่กล้าข่มตาหลับอีก
"อีกแล้วเหรอคะ ฝันร้ายติดๆกันมาสองวันแล้วนะ" กุมภาเดินมาใกล้ๆ "นอนจับมือกุมภาไว้นะคะ จะได้ไม่ฝันร้าย"
"ขอบใจนะ น้องรัก"
คนไข้ทุกคนที่โดนสาปนอนไม่พอ พวกเขาจึงแทบไม่มีแรงในตอนกลางวัน แต่ก็ไม่มีใครกล้านอนแม้แต่ตอนกลางวัน เพื่อไม่ให้เผลอหลับจึงรวมตัวกันไปชุมนุมหน้าโรงพยาบาลอย่างอิดโรย และวันนี้เป็นตากิ่งฟ้าขึ้นปราศรัย
"ดิฉันมีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบ ตอนนี้ท่านนายกฯรับเรื่องจากพวกเราแล้ว ท่านส่งเรื่องต่อให้หน่วยงานพิเศษตรวจสอบ และจากการตรวจสอบอย่างเข้มงวด พบว่าพวกเราหลับไปโดยไม่ใช่ผลมาจากยานอนหลับหรืออาการที่่ป่วยแต่อย่างใด สมาพันธ์เวทมนตร์ที่เข้ามาตรวจสอบและยืนยันว่าเป็น เพราะเวทมนตร์ค่ะ"
เสียงฮือฮาของกลุ่มคนประท้วงดังขึ้น
"ดังนั้นแล้ว พวกเราไม่ได้คิดไปเอง ไม่ได้ฝันไปเอง แต่เราโดนทำให้หลับค่ะทุกท่าน"
เทพทัตเข้าพบกับดนุเดชเพื่อตกลงเรื่องที่เขาเรียกร้องจากโรงพยาบาล พวกเขานั่งอยู่บนรถเข็นในห้องทำงานของดนุเดช ชั้นบนสุดของอาคาร วิวเมืองที่วุ่นวายกำลังขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว สองชายวัยกลางคนนั่งนิ่งมาเป็นเวลานานแล้ว
"คุณต้องลดค่ารักษาพยาบาลให้พวกเรา เพราะเวทมนตร์ของคุณ เลยทำให้เราหลับนานกว่าที่ควรจะเป็น" เทพทัตพูดหน้ามุ่ย แต่ดนุเดชกลับยิ้ม ทำทีเป็นเข้าใจความต้องการอีกฝ่ายและพยักหน้า
"ได้ครับๆ ผมแค่ต้องการให้พวกคุณหยุดประท้วงเสียที เพราะคนไข้ใหม่ๆไม่มารักษาที่โรงพยาบาลของเราเลย" ดนุเดชตอบ ตีหน้าเป็นคนซื่อ "ผมยกค่ารักษาพยาบาลให้คุณฟรีก็ได้นะถ้าคุณยอมอยู่ข้างเดียวกับผม เหมือนที่เราเคยตกลงกันไว้ไงครับ"
เทพทัตเงียบไปครู่หนึ่ง ชั่งใจว่าจะทำอย่างไรดี
"แล้วผมจะต้องทำอย่างไรบ้าง แต่ละคนก็มีความจำเป็นไม่เหมือนกัน" เทพทัตถูมือไปมา เตรียมตะครุบเหยื่อตัวโต
"ผมไม่ได้เป็นผู้สร้าง ไม่ได้เป็นคนใช้เวทมนตร์ แต่เป็นคุณสุเมธต่างหาก" ดนุเดชยิ้มชั่วร้าย "หลายคนก็เห็นแล้วว่าเขาใช้เวทมนตร์กับคนในฝันอย่างไร แต่เป็นเพราะลืมความฝันไปเลยทำให้เขาจำไม่ได้ว่าทำอะไรลงไปบ้าง พยานอย่างคุณและนักเรียนทิศตะวันตกจะช่วยผมได้
เจ้าหน้าที่จะมาที่โรงพยาบาลสายวันนี้ เขาจะเรียกทุกคนเข้าสอบสวน ใช่ครับ ทั้งพันคน ผมอยากให้ความช่วยเหลือด้านค่ารักษาพยาบาลให้กับพยานที่บอกว่าคุณสุเมธเป็นคนต้นคิดเรื่องทั้งหมดนี้ ระหว่างคนคุมผับกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลอย่างผม ใครจะมีภาษีดีกว่ากัน คุณเทพทัตคงนึกออกนะครับ"
"ครับ ผมเข้าใจ" เทพทัตเปลี่ยนฝ่ายอย่างรวดเร็ว "ผมเคยคิดนะครับว่าอย่างผมเนี่ยเรียกว่าเลวหรือเปล่า แต่ผมตอบได้เลยว่าไม่เลว ผมแค่มีความจำเป็นเท่านั้นเอง จำเป็นต้องหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว จำเป็นต้องรักษาความสุขให้คนในครอบครัว ถ้าใครไม่ได้โลกสวยก็ต้องเข้าใจความจำเป็นของผมทั้งนั้น"
ภายในห้องสอบสวนอนุญาตให้พยานคนอื่นมายืนฟังได้หลังตู้กระจก ผู้ถูกสอบสวนจะไม่เห็นว่ามีใครมาฟังอยู่บ้าง เทพทัตให้การกับเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว เป็นไปตามที่ดนุเดช ตกลงกับเขา ตอนนี้ดนุเดชกำลังถูกสอบสวนอยู่ ส่วนปุยฝ้าย ปริญ สุเมธ และพยานอีกสองคนกำลังยืนฟังคำให้การของดนุเดช
"อย่างที่ผมบอกครับ ผมไม่ได้เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ สมาพันธ์เวทมนตร์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นคนใช้เวท ไม่อย่างนั้นผมก็ต้องไปรายงานตัวแล้วสิครับ คนที่ใช้เวทมนตร์คือคุณสุเมธครับ มีพยานหลายคนบอกกับผมว่าเขาใช้เวทมนตร์กับคนในฝัน ควบคุมสติและจิตใจของคนตลอดเวลาที่อยู่ในฝัน"
"คุณอย่ามาโกหกดีกว่าคุณดนุเดช คุณสุเมธใช้เวทมนตร์ก็จริง แต่เขาจะใช้เวทมนตร์กับคนที่ใหม่ๆที่เข้าไปในโลกในฝันได้ยังไง ในเมื่อเขายังนอนติดเตียงอยู่แบบนี้" เจ้าหน้าที่ดุดนุเดช เอาไฟฉายส่องหน้าเขา "เล่าความจริงมาดีกว่า จะโกหกให้เสียเวลาไปทำไม"
"บางทีเขาอาจจะมีคนคอยช่วยเหลือก็ได้นี่ครับ พวกพยาบาลที่อยู่ในห้องผ่าตัดหลังจากหมอผ่าตัดสมอง อาจจะเป็นพวกเดียวกับสุเมธก็ได้ เขาคงอยากสร้างอาณาจักรที่ตัวเองได้เป็นคนใหญ่คนโต แล้วก็มีชีวิตที่มีความสุขอยู่ในฝัน" ดนุเดชยังคงไม่ยอมอับจนถ้อยคำ
"แล้วคุณรู้เรื่องในฝันได้ยังไงครับ ถ้าคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง" เจ้าหน้าที่ซัก
ดนุเดชอึ้งกับคำถามนั้น เขาตาโตอย่างแปลกใจแล้วนิ่งไปหลายอึดใจ
"ผมต้องรู้สิครับ เพราะผมคุยกับแกนนำคนประท้วงแล้ว คุณเทพทัตเข้ามาเล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในฝัน" ดนุเดชโกหกต่อไป
ปริญส่ายหน้าเมื่อได้ยินดังนั้น เขารู้อยู่แก่ใจว่าดนุเดชเป็นผู้สร้าง และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสังคมรับรู้ว่าแท้จริงแล้วโรงพยาบาลแห่งนี้ทำให้คนหลับไหลไปนานเพียงเพื่ออยากจะช่วยลูกสาวให้มีเพื่อนเท่านั้น
"ไม่จริงเลยค่ะ ไม่จริงเลยสักนิดค่ะ" ปุยฝ้ายเดินเข้าไปในห้องสอบสวน "คุณพ่อเป็นคนที่ใช้เวทมนตร์ได้ค่ะ"
เธอพูดจบก็ยกมือขึ้นสองข้าง อากาศเย็นเฉียบค่อยๆอุ่นขึ้น แสงสีเหลืองทองทอประกายจากฝ่ามือเธอ โต๊ะสอบสวนลอยขึ้นเหนือพื้น เจ้าหน้าที่ผงะและถอยมาตั้งหลักที่ใกล้ประตูทางออก
"หยุดด้วยครับ กรุณาอย่าใช้เวทมนตร์ของคุณที่นี่ด้วยครับ" เจ้าหน้าที่จับปืนที่เอวเพื่อเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะใช้กำลังหากจำเป็น
"หนูเป็นลูกสาวของพ่อดนุเดช เวทมนตร์จะสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น แม่ของหนูก่อนแต่งงานกับพ่อเคยอยู่ในองค์กรเอ็นเอ็มหรือโนเมจิค เป็นองค์กรเรียกร้องไม่ให้มีการใช้เวทมนตร์อีกต่อไป และองค์กรนี้ตรวจสอบอย่างเข้มงวดไม่ให้คนมีเวทมนตร์เข้ามาทำงาน นั้นแปลว่าแม่ไม่ได้มีเวทมนตร์ ดังนั้นคนที่ใช้เวทมนตร์ได้ก็คือพ่อของหนูค่ะ"
"ทำไมลูกต้องโกหกด้วยปุยฝ้าย" ดนุเดชยังไม่ยอมแพ้ ถ้าเขายอมแพ้แปลว่าอาจไม่ได้อยู่กับลูกสาวอีกต่อไป
พยานคนที่เหลือเดินเข้าไปในห้องสอบสวน สุเมธยืนอยู่หน้าสุด เขากัดฟันกรอด กำมือแน่นพร้อมกระโจนเข้าใส่ดนุเดช
"ทำไมคุณพ่อพูดแบบนี้ค่ะ คุณพ่อไม่ใช่คุณพ่อที่หนูเคยรู้จัก" ปุยฝ้ายน้ำตาไหลแล้วเดินออกไปจากห้องสอบสวน ดนุเดชอึ้งที่ลูกสาวหมดศรัทธาในตน เขาหัวเราะอย่างสติแตก น้ำตาคลอเบ้าด้วยความรู้สึกกดดันที่ประดังประเดเข้ามา แต่เขาจะถอยไม่ได้อีกแล้ว
"ว่าไงไอ้ตัวการ" ดนุเดชหันไปทางสุเมธ
แค่คำเดียวก็ทำให้สุเมธฟิวส์ขาดได้ เขาปรี่เข้ามาชก ดนุเดชจนเลือกกบปาก ดนุเดชลุกขึ้นยืนแล้วต่อยกลับ เขาร่ายเวทมนตร์เรียกหมอกเข้ามาในห้องสืบสวน ปริญที่เห็นดังนั้นจึงเข้าร่วมวงไปกับเขาด้วย ชายหนุ่มกอดดนุเดชไว้แน่นไม่ให้หนีไปในช่วงชุลมุน
"อย่าหนีนะคุณผอ."
"ผมไม่ใช่ผอ. ผมเป็นพยานอีกคนครับ" ชายคนดังกล่าวพูดดิ้นหนีจากแรงรัดของปริญ
ทั้งเจ้าหน้าที่และพยานชกกันพัลวัน สุเมธชกดนุเดชอีกครั้งโทษฐานที่ใส่ความเขา ดนุเดชชกกลับ สุเมธใช้เวทลอยตัว ทำให้ตัวเขาลอยขึ้นเหนือพื้น ผู้อำนวยการวัยกลางคนกอดขาคู่อริเอาไว้จึงทำให้เขาลอยจากพื้นไปด้วย ปริญคลำทางไปทางประตูแล้วล็อคประตู ไม่มีใครมองเห็นใครแต่ทุกคนชกกับคนที่เข้ามาใกล้ตัวเอง ปุยฝ้ายย้อนกลับมา เปิดประตูด้วยเวทมนตร์ จากนั้นก็ร่ายคาถาให้หมอกสลายตัวไป พวกเขาก็เห็นหน้ากันอีกครั้ง
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื







