LOGINมนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ
"กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ
กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด
"พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ"
"จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ"
กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย
"พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ
มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
น้องสาวเดินไปกอดพี่สาวแน่น ก่อนทำจมูกฟุดฟิด
"ก่อนที่ใครจะมา หนูอาบน้ำสระผมให้เอาไหม"
มนสิชาหัวเราะอย่างเขินอาย "ไปสิ...ไป"
กุมภาพยุงพี่สาวไปอาบน้ำ แล้วส่งข้อความหาพ่อและว่าที่พี่เขย ตอนแรกปริญไม่เห็นข้อความของกุมภา เพราะเขากำลังคุมอยู่ที่ไซต์งานก่อสร้าง ตัวเลอะฝุ่นและเหงื่อเต็มไปหมด แต่เมื่ออ่านข้อความแล้วเขาแทบจะวิ่งไปกอดคนงานทุกคน ร้องตะโกนไม่เป็นศัพท์แล้วตรงดิ่งมาหาหญิงสาวทันที
คทาและกุมภาพูดคุยกับมนสิชาจนหายคิดถึง แล้วนั่งดูทีวีด้วยกัน หมอเวรเข้ามาตรวจดูอาการของเธอ ก่อนบอกว่าเธอปกติดีทุกอย่าง ยกเว้นกล้ามเนื้อที่อ่อนแรงไปบ้าง
ปริญมาถึงเป็นคนสุดท้าย เนื้อตัวเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมด เหงื่อซึมตามเสื้อผ้าเพราะอากาศร้อนและรีบวิ่งมา คทาและลูกสาวเห็นอย่างนั้นจึงรีบเอ่ย
"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพ่อกับน้องไปซื้อของหน่อยนะ" คทาบอกแล้วลากลูกสาวคนเล็กออกไปด้วย กุมภาหันมาขยิบตาให้ปริญ
ปริญยิ้มให้ทั้งคู่ ก่อนหันมามองหน้าแฟนสาว แล้วกอดเธอแน่นราวกับกลัวเธอจะหนีหายไปอีก มนสิชาได้กลิ่นเหงื่อมาจากชายหนุ่ม กลิ่นที่เธอคุ้นเคย หญิงสาวตบหลังเขาเบาๆ
"มนกลับมาแล้วนะคะ"
ปริญน้ำตาซึม
"อย่าไปไหนอีกเลยนะ"
เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงแล้วจ้องมองเธอ ราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปไหนอีก
"ไม่มีอะไรจะพูดเลยเหรอคะ" มนสิชาหุบยิ้มไม่ได้เช่นเดียวกัน
"ดวงตามันพูดไปหมดแล้ว" ปริญมองด้วยสายแสนรัก มนสิชาตีแขนเขาเบาๆโทษฐานที่ทำให้เขิน
"ตอนที่มนหลับไป พี่ปริญเคยคิดจะมีคนใหม่หรือเปล่าคะ"
ปริญนิ่งคิดไปนาน
"ไม่เคยคิดครับ"
"ถึงจะบอกว่าคิดก็ไม่โกรธคะ" มนสิชาสัญญา
"พี่อยู่ด้วยความหวังว่ามนจะตื่นตลอด" ปริญตอบ เอื้อมมือไปจับหน้าเธอ เธอเอียงหน้าไปซบมือเขา
"มนก็อยู่ด้วยความหวังว่าสักวันจะได้เจอพี่อีกครั้งเหมือนกัน" มนสิชาสารภาพ
"พี่ว่าความรักเป็นเรื่องยาก ยากที่เราจะเจอคนที่เรารักแล้วเขาก็รักตอบเรา และยากที่จะประคองความรักให้ไปตลอดรอดฝั่ง" ปริญเอ่ย "แต่พี่โชคดีที่มีครบทุกอย่าง แล้วจะให้พี่สนใจคนอื่นได้ยังไง"
พวกเขาจ้องมองกันอย่างตื้นตัน พอใจที่มีคนที่รักมานั่งอยู่ตรงหน้า แม้วันหนึ่งแน่นอนว่าต้องแยกจากกันเพราะความตาย แต่ก็อยากเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีเอาไว้ให้มากที่สุด
"มนอยากรู้ ใครคือผู้สร้างคะ เขาเป็นคนที่มนรู้จักหรือเปล่า" มนสิชาถาม พยายามเบี่ยงเบนจากสายตาเขา
"ช่วงนี้เขาคงยุ่งที่มีคนไข้ฟื้นพร้อมกันหลายคน แต่พี่ว่าวันไหนที่เราว่างตรงกัน พี่จะแนะนำให้มนรู้จักเขา" ปริญตอบอย่างไม่แน่ใจ
ครอบครัวของมนสิชายังหาค่ารักษาพยาบาลมาจ่ายให้กับโรงพยาบาลไม่ได้ เธอจึงต้องอยู่ในโรงพยาบาลไปก่อน หญิงสาวรู้สึกเดินช้ากว่าเดิมมาก และร่างกายยังไม่ค่อยมีแรง หมอสั่งให้เธอทำกายภาพบำบัดบ้าง เธอจึงเดินไปที่ห้องกายภาพตามลำพัง ข้างในมีลู่เดินหลายอัน เตียงสำหรับนอนทำกายภาพ และอุปกรณ์ออกกำลังกายอีกหลายอย่าง มีนักกายภาพกำลังช่วยคนไข้ทำกายภาพบำบัด ตอนนี้คนไข้ที่ตื่นขึ้นจากฝันมีจำนวนมาก จนห้องกายภาพแทบจะล้นออกมา
มนสิชามองหาลู่เดินที่ยังว่าง แต่เธอก็รู้สึกได้ว่ามีสายตากำลังจดจ้องมาที่เธอ เด็กสาววัยมัธยมปลายกำลังจ้องมองมาที่เธอ
"ปุยฝ้าย!" มนสิชาร้องลั่นอย่างยินดี ผมเธอยาวเกือบถึงก้น ยาวกว่าที่เธอเห็นในความฝันเสียอีก ปุยฝ้ายยังคงมีท่าทางเหมือนปุยฝ้ายที่เธอรู้จัก ดูแก่นแก้วและร่าเริง
"มน..อ๊ะ...ต้องเรียกพี่มนสินะ" ปุยฝ้ายพูดพลางเดินไปกอดพี่สาวคนสวย มนสิชากอดกลับอย่างยินดี
"คุณหนูครับ มาทำกายภาพกันต่อเถอะครับ" นักกายภาพเรียกปุยฝ้าย
"คุณหนูเหรอ เธอเป็นคุณหนูเหรอปุยฝ้าย" มนสิชาล้อเลียนเธอเล็กน้อย
"เดี่ยวก่อนนะคะ ขอคุยกับเพื่อนก่อนค่ะ" ปุยฝ้ายหันไปบอกแล้วกอดแขนเธอแน่น เธอก้าวได้ไม่กี่ก้าวก็ตัวสั่นไปหมด จนต้องนั่งลงบนรถเข็น
เด็กสาวอีกคนผละออกมาจากลู่เดินอย่างเชื่องช้าแล้วมาหามนสิชา
"คุณมน!" เธอกอดมนสิชาแน่น หญิงสาวไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่มีคนแปลกหน้ามาทัก เพราะหลายคนจำได้ว่าเธอคือคนที่บอกวิธีตื่นให้กับทุกคน
"ยินดีด้วยนะคะที่ตื่นขึ้นได้" มนสิชาพูดกลางๆ
"คุณมนหน้าเหมือนในฝันเป๊ะเลยนะคะ ถ้าใส่ชุดนักเรียนก็ชื่อว่าเป็นสาวม.ปลาย" เด็กสาวแปลกหน้าเอ่ย ผมของเธอยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าสวยนั้นคุ้นตาชอบกล แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
"ขอบคุณมากนะน้อง" มนสิชายิ้มเกร็งๆ
"นี่ชูครีมไง จำไม่ได้เหรอ" ปุยฝ้ายรีบแนะนำ "เธอผอมจนจำไม่ได้เลยเนอะ พวกเราได้กินแต่อาหารเหลวมาสองปี หุ่นเลยเป็นแบบนี้"
มนสิชาปรี่เข้าไปกอดชูครีมแน่น ชูครีมดีใจที่เธอจำได้
"ชูครีมจริงๆเหรอนี่"
"ตัวจริงค่ะ คุณมน"
"พวกเราไปกินไอศครีมกันไหม" ปุยฝ้ายชวน รู้สึกคิดถึงของหวานขึ้นมา
"คงเดินไปไม่ไหวหรอกค่ะ" ชูครีมบอก สีหน้ากังวล
"ให้พยาบาลช่วยเข็นไปก็ได้" ปุยฝ้ายบอก เธอเรียกพยาบาลมาสองคน ช่วยเข็นเธอและชูครีมไปที่โรงอาหาร ขณะที่มนสิชาเดินตามมาติดๆ
"ทำไมคุณผู้หญิงเดินได้คล่องจังล่ะคะ" พยาบาลคนหนึ่งถามขึ้นเมื่อเห็นมนสิชาเดินตามมา
"เป็นเพราะมนหลับไปแค่ไม่นานน่ะคะ ส่วนสองคนนี้
หลับไปประมาณสองปี" มนสิชาตอบ
"โชคดีจังเลยนะคะ ถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวก็คงออกไปจากที่นี่ได้" พยาบาลบอก พวกเธอเข็นสองสาวมายังโต๊ะ แล้วเดินไปซื้อไอศครีมมาให้ เป็นซอฟครีมสีขาว "ทานให้อร่อยนะคะ เดี๋ยวพวกเรามารับ"
"ขอบคุณค่ะ" ทั้งสามคนตอบพร้อมกัน
ชูครีมตักซอฟท์ครีมเข้าปากคำโต เธอร้องว้าวทั้งยังปิดปาก น้ำตาคลอเบ้า รู้สึกร่างกายโหยหาความหวานมานาน สองเพื่อนสาวจึงตักเข้าปากบ้าง สีหน้ามีความสุขไม่แพ้กัน
"ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่าอร่อย" ปุยฝ้ายบอก "ฉันต้องทนกินของรสชาติแย่ๆมานานสองปี"
"ว่าแต่คุณมนไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ ขอโทษที่พวกเราตื่นมาก่อนนะคะ เราตื่นเต้นซะจนอดใจไม่ไหว" ชูครีมเอ่ย "ดีนะคะ ที่คุณเทพทัตไม่ได้เข้ามาทำร้ายคุณมน"
"เขาคงทำใจได้แล้วว่าต่อให้ฆ่าฉันก็ไม่สามารถเรียกคนกลับมาให้เขาปกครองได้อีก" มนสิชาเอ่ย
"อย่างนี้พี่มนก็ได้เจอแฟนหนุ่มสุดหล่อแล้วสิ" ปุยฝ้ายแซว
"สุดหล่ออะไรกัน ก็แค่พอไปวัดเท่านั้นเอง" มนสิชาหน้าแดง "ได้เจอครอบครัวแล้วก็หายห่วงเนอะ"
"นี่แต่งงานกันแล้วหรือคะ" ชูครีมตกใจ แทบสำลักซอฟท์ครีม
"เปล๊า" มนสิชาเสียงสูง "หมายถึงครอบครัวคนอื่น พ่อกับน้องสาวน่ะ"
ระหว่างที่กินซอฟท์ครีมได้สักพัก พวกเธอก็ได้ยินเสียงประท้วงดังมาจากหน้าโรงพยาบาล สาวๆ เรียกพยาบาลไปส่งแล้วก็เจอว่าบัดนี้ลานโล่งหน้าโรงพยาบาลมีเวทีและเต็นท์มาวางไว้ มีคนไข้ตัวผอมบางนั่งอยู่บนรถเข็นหลายร้อยคน บนเวทีมีคนไข้นั่งอยู่บนรถเข็นอีกสามคน หน้าตาคล้ายหัวหน้านักเรียนที่พวกเธอรู้จัก เพียงแต่อายุเยอะกว่าที่เคยเห็นมาก
"พ่อแม่พี่น้องต้องนอนไม่ได้สติอยู่ในโรงพยาบาลทั้งๆ ที่บาดแผลก็หายหมดแล้ว แถมยังฝันเห็นสถานที่เดียวกัน รู้จักกันหมดอีก มันจะเป็นไปได้ยังไงที่พวกเราแค่กลายเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทราเพราะการผ่าตัด มันต้องเกิดเพราะโรงพยาบาลใช้เวทมนตร์กับพวกเราแน่ๆ"
คนที่พูดอยู่คือเทพทัตในวัยห้าสิบปี บัดนี้ทั้งผอมทั้งดูแก่ไปถนัดใจ แต่น้ำเสียงเขายังคุ้นหูทุกคนอยู่ และความเชื่อมั่นที่มีต่อเขายังไม่เสื่อมคลาย
"เราขอเรียกร้องให้มีการสอบสวนโรงพยาบาล ว่ามี การใช้เวทมนตร์กับพวกเราหรือไม่ โรงพยาบาลต้องการเลี้ยงไข้พวกเราเพื่อเงิน จึงได้ทำแบบนี้ใช่หรือไม่ครับ ใครเห็นด้วยกับผมโปรดยกมือ เราจะลงชื่อแล้วส่งเรื่องให้ท่านนายกฯช่วยตรวจสอบ"
กิ่งฟ้าและสุกฤตพยักหน้าอยู่ข้างๆ เทพทัต พวกเขาก็ได้ปลุกระดมคนมาสักพักแล้วเช่นกัน จึงนั่งพักหายใจหอบอยู่
ผู้อำนวยการเดินมายังที่ชุมนุมแม้รู้ว่าสถานการณ์อันตรายสำหรับเขา แต่เขาเป็นห่วงปุยฝ้ายจึงออกมาดู
"นี่มันหมายความว่ายังไง โรงพยาบาลมีส่วนรู้เห็นอย่างนั้นเหรอ" ปุยฝ้ายพึมพำกับตัวเอง ไม่ทันสังเกตว่ามีคนมาเพิ่มอีก ดนุเดชเห็นลูกสาวไม่แนะนำตัวเองจึงหันไปแนะนำตัวแทน
"สวัสดีครับสาวๆ ผมเป็นพ่อของปุยฝ้าย ชื่อดนุเดชครับ" เขาแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง
"สวัสดีค่ะ" ทั้งสองคนยกมือไหว้พ่อปุยฝ้าย
"มนครับ" ปริญเดินเข้ามาร่วมวงอีกคน เขาเข้ามาโอบเอวมนสิชา แสดงตัวว่าเป็นคนรักของหญิงสาว "อ้าวท่านผอ. ดนุเดชนี่ครับ"
คนหลายคนได้ยินชื่อผอ.โรงพยาบาลจึงหันมามองเป็นตาเดียวกัน
"รู้จักกันด้วยหรือคะ" มนสิชาถามอย่างสงสัย สงสัยว่าระดับผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะรู้จักกับญาติคนไข้ธรรมดาๆอย่างเธอได้อย่างไร
"คุณพ่อรู้จักกับญาติพี่มนได้ยังไง คุณพ่อคงไม่ได้ทำความรู้จักกับญาติคนไข้โดยไม่จำเป็นแน่ๆ หรือว่าตอนนั้นที่พี่ปริญติดต่อกับพี่มน คงไม่ใช่เพราะได้รับความช่วยเหลือจากคุณพ่อหรอกใช่ไหมคะ คุณพ่อเป็นผู้สร้างเหรอคะคะ" ปุยฝ้ายถามหลังจากปะติดปะต่อเรื่องเข้าด้วยกัน
ดนุเดชทำหน้าอึ้งที่ถูกทักแบบนั้น
"คุณพ่อใช้เวทมนตร์ได้ แถมเป็นคนที่เข้าถึงคนไข้ทั้งหมดได้ คุณพ่อคงไม่ได้ทำทั้งหมดนี้เพื่อช่วยปุยฝ้ายหรอกใช่ไหมคะ" ปุยฝ้ายถามด้วยใจสลาย ดนุเดชไม่ตอบคำถามลูกสาว เพราะสองคนพ่อลูกไม่เคยโกหกกัน
"พ่อขอโทษ"
คำรับสารภาพนั้นทำให้คนไข้หลายคนได้ยิน และข่าวเรื่องผู้อำนวยการดนุเดชเป็นผู้สร้างก็แพร่ขยายเป็นวงกว้าง จนทุกคนรู้กันทั่ว
ดนุเดชเข็นลูกสาวเข้าห้องพักวีไอพี ทั้งคู่ไม่มีอะไรจะพูดกันพักใหญ่ จนปุยฝ้ายต้องทำลายความเงียบลง
"ทำไมถึงไม่เคยติดต่อปุยฝ้ายเลยตลอดสองปีล่ะคะ ขนาดพี่ปริญยังติดต่อกับพี่มนเลย" ปุยฝ้ายถาม น้ำตาคลอเบ้า เธอรู้ดีว่าไม่ควรจะมางอนด้วยเรื่องเท่านี้ แต่จิตใจก็ไม่ฟังเหตุผลเอาเสียเลย ทิ้งคราบปุยฝ้ายที่เป็นคนชอบเฮฮาไม่คิดหน้าคิดหลังไปเสียสนิท
"เพราะไม่อยากให้ลูกทรมานใจกับความรู้สึกผิด พ่อเลยไม่บอกอะไรเลย"
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื





![Evil Engineerร้ายรักวิศวะเลว [ไนต์]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

