สามวันต่อมาก็เป็นวันแต่งงานของเซวียนซานหลางและมู่หลานเฟิน นางถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากพลางหาววอดๆ อีกทั้งยังบิดกายไปมาอย่างเกียจคร้าน ลั่วเหมยที่เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยวาจาใดไม่ออก แต่ไหนแต่ไรเจ้านายของนางรักหน้าตาเป็นที่สุด อีกทั้งยังพิถีพิถันเป็นอย่างมาก จะออกจวนแต่ละคราต้องแต่งหน้าแต่งตัวอยู่นานสองนาน แต่ยามนี้คุณหนูคนเดิมกลับหายไปไหนไม่รู้ได้ เจ้านายคนนี้ของนางในตอนนี้นอกจากจะไม่เรื่องมาก ไม่ตบตีนางแล้ว ยังแบ่งอาหารให้นางกิน มู่หลานเฟินกินสิ่งใดนางก็ได้กินด้วย อีกทั้งยังไม่เรื่องมากเจ้ากี้เจ้าการเช่นแต่ก่อน หากเทียบกันแล้ว นางกลับชอบมู่หลานเฟินในตอนนี้มากกว่า
"คุณหนู บ่าวจะสวมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้นะเจ้าคะ คุณหนูต้องระวังและดูแลตนเองให้ดี เดิมทีคุณหนูสามารถใช้ข้ออ้างในการแต่งงานครั้งนี้ผูกมัดเขาเอาไว้ บอกว่าเขาและท่านแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้วที่เมืองถงหวาง บ่าวจะช่วยเป็นพยานให้ท่านเอง เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกซื่อจื่อก็จะไม่อาจปฏิเสธคุณหนูได้อีก"
ลั่วเหมยพยายามเอ่ยโน้มน้าวเจ้านายตน แต่มู่หลานเฟินที่ได้ยินกลับส่ายหน้าไปมา
"ลั่วเหมย ท่านป้าของข้าสั่งให้เจ้ามาพูดจาโน้มน้าวใช่หรือไม่ เจ้าจำเอาไว้นะ ข้าจะไม่ใช้ข้ออ้างใดไปผูกมัดเซวียนซานหลางให้มาอยู่กับข้าเป็นอันขาด ในเมื่อเขาไม่รักข้าแล้วเหตุใดข้าจะต้องเอาตัวไปผูกติดกับเขาเพียงคนเดียวด้วยเล่า บุรุษในเมืองหลวงมีอีกตั้งมากมาย ต้องมีสักคนที่ชอบข้าจากใจจริง หากไม่มีข้าก็เพียงเปิดร้านค้าเลี้ยงชีพ จะต้องง้อบุรุษไปไยกัน เจ้าล้มเลิกความคิดนี้เสีย อย่าได้เอ่ยวาจาเช่นนี้ให้ข้าได้ยินอีก เข้าใจหรือไม่"
“เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวไม่กล้าแล้ว"
เซวียนซานหลางที่เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอนได้ยินทุกคำสนทนาระหว่างนายบ่าวสองคนด้านใน เดิมทีเขาคิดว่ามู่หลานเฟินคงจะเห็นดีเห็นงามด้วย คิดจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างจับตัวเขาให้อยู่มัด แต่กลับผิดคาด
"ซื่อจื่อ หากว่าคืนนี้ คุณหนูมู่นางเกิดเรื่องจะทำเช่นไรขอรับ"
อาต่งที่ยืนอยู่ข้างๆกระซิบถามเจ้านายตนด้วยน้ำเสียงที่สงสัยใคร่รู้ เซวียนซานหลางยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ย
"นางเป็นเพียงเหยื่อล่อคนร้าย จะเป็นจะตายก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า เจ้าไปจัดการตามแผน คืนนี้จะต้องลากตัวคนร้ายมาลงโทษให้ได้"
"ขอรับ"
หลังจากสั่งการอาต่งเรียบร้อยแล้ว เซวียนซานหลางก็เปิดประตูห้องเข้าไป ทำท่าทีเหมือนไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น เมื่อลั่วเหมยเห็นว่าเซวียนซานหลางเข้ามแล้วนางจึงล่าถอยออกไป
ตอนนี้มู่หลานเฟินนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมกับสวมชุดเจ้าสาวดูงดงามเป็นอย่างมาก แต่เซวียนซานหลางกลับมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกอันใด
สิ่งที่นางเคยทำต่อเขามีมากเกินไปจริงๆ เขาไม่อาจเชื่อใจนางได้
"ใกล้จะถึงเวลาแล้ว เจ้าก็ทำตามแผนการที่ข้าบอก"
"ได้ ร่ีบจัดการให้เสร็จเสียที ข้าหนักหัวจะแย่อยู่แล้ว"
เซวียนซานหลางส่งเสียงเหอะไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ
งานแต่งจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีผู้คนมาร่วมงานไม่น้อยเลย เหล่าช่าวบ้านนอกจากจะมาร่วมแสดงความยินดีแล้ว ยังบอกอีกว่าคืนนี้ให้เขาดูแลเจ้าสาวของตนให้ดี อย่างไรเสียต้องระวังเอาไว้ บางคนก็ตำหนิที่พวกเขาไม่เชื่อฟัง เดิมทีควรจะรีบออกจากเมืองถงหวางไปเสียแล้วไปแต่งงานที่เมืองอื่น อย่าได้คิดท้าทายวิญญาณของสตีรีนางนั้น
เสิ่นเหวยอันหรี่ตามองชางบ้านเหล่านั้นอย่างระแวดระวัง เขาคิดว่าจะต้องมีฆาตรกรปะปนอยู่ในหมู่คนพวกนี้แน่นอน เพียงแต่ว่าใครกันที่ลงมืออย่างอำมหิตขนาดนี้
อาหลินเองก็มาร่วมงานเช่นเดียวกัน นางมองบ่าวสาวที่คารวะน้ำชาคู่กัน ด้วยแววตาที่วูบไหว
ตังแต่พบกับอาซานสามีของหรานหร่านในวันนั้น นางก็ตกหลุมรักเขาจนหมดหัวใจ แต่ตอนนี้เขาได้กลายเป็นสามีของคนอื่นไปเสียแล้ว นางเป็นถึงบุตรสาวเจ้าเมืองย่อมไม่อาจแย่งสามีผู้อื่น เช่นนั้นท่านพ่อคงจะตีนางตายเป็นแน่
และที่สำคัญนางไม่อยากแต่งงาน นางกลัวว่าตนเองจะเป็นศพเช่นเดียวกับหญิงสาวพวกนั้น นางไม่กล้าจริงๆ
งานแต่งดำเนินต่อไปจนจบพิธี มู่หลานเฟินปวดชาไปทั้งสรรพางค์กาย แม้จะเป็นงานเล็กๆแต่พิธีการก็ยิบย่อยไม่น้อยเลย
เหล่าชาวบ้านที่นี่มีน้ำใจคอยบอกและชี้แนะนางหลายอย่าง
แต่ในความเป็นมิตรนี้บางคราอาจจะมีบางอย่างที่น่าหวาดหวั่นแอบเคลือบแฝง
งานเลี้ยงดำเนินต่อไปจนถึงยามเย็น ในที่สุดทุกคนก็แยกย้ายกัน มู่หลานเฟินขึ้นมาอยู่ในห้องหอ คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็นสบาย นางจึงเปิดหน้าต่างเสียหน่อยเพีื่อให้ลมพัดเข้ามาได้สะดวก
ก่อนหน้านี้ที่เกิดเรื่อง คนของเซวียนซานหลางสืบพบความปกติได้อย่างหนึ่งในวันเกิดเหตุทุกคนในหมู่บ้านหลับสนิท ไม่ได้ยินเสียงใดทั้งสิ้น ราวกับว่าพวกเขาถูกวางยาอย่างไรอย่างนั้น กว่าจะรู้ตัวก็เป็นเช้าของอีกวันเสียแล้ว
ด้วยเหตุนี้ พวกนางจึงระแวดระวังเรื่องการกินดื่มทุกอย่าง
สายลมด้านนอกพัดมาหวีดหวิว แว่วคล้ายเสียงครวญครางของหญิงสาวร่ำไห้สะอึกสะอื้น มู่หลานเฟินได้ยินเสียงแปลกประหลาดเช่นนี้อีกหน อยู่ๆนางก็รู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามแผน เซวียนซานหลางยังคงอยู่ด้านล่างคอยส่งแขก ยามนี้ในห้องจึงมีเพียงมู่หลานเฟินเพียงคนเดียว
ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นยะเยือกมากขึ้น มู่หลานเฟินระแวดระวังตนเองอยู่ตลอดเวลา แต่กลับยังไม่พบสิ่งใดที่ผิดปกติ
หญิงสาวลุกจากเตียงนอน ค่อยๆเดินไปที่ริมหน้าต่าง แต่เพิ่งจะเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว กลับพบว่ามีลมเย็นสายหนึ่งพัดผ่านเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเงาดำสายหนึ่งที่พุ่งเข้ามาหานาง มู่หลานเฟินเตรียมพร้อมรับมือไว้อยู่แล้ว นางกับคนชุดดำประมือกันทันที คนชุดดำเคลื่อนไหวรวดเร็วหมายจะใช้มีดแทงนาง แต่มู่หลานเฟินกลับเบี่ยงกายหลบได้ทันท่วงที แต่เหมือนนักฆ่าจะเตรียมตัวมาดีเช่นกัน มันล้วงหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากตัว ก่อนจะสาดใส่ใบหน้าของนาง มู่หลานเฟินมึนงงรีบเบี่ยงกายหลบแต่จมูกกลับสูดผงสีขาวนั้นเข้าไปไม่น้อย ร่างกายนางเริ่มชา มู่หลานเฟินพยายามตั้งสติ ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดยกเท้าถีบแจกันที่วางอยู่บนหัวเตียงให้ร่วงลงพื้นจนเกิดเสียงดัง
เสียงดังภายในห้องดังมากพอที่จะทำให้เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันได้ยิน ชายหนุ่มทั้งสองรีบวิ่งขึ้นมาชั้นบนอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้ามาถึงก็พบว่ามู่หลานเฟินถูกนักฆ่าจับตัวเอาไว้ พร้อมกับใช้ปลายมีดจ่อไปที่ลำคอขาวเนียนของนางจนโลหิตไหลซึมออกมา เสิ่นเหวยอันกำมือแน่นคิดจะพุงเข้าไปชิงตัวคนแต่ยังไม่สบโอกาศ
ก่อนหน้านี้อยู่ๆคนในงานก็ทยอยหมดสติไป พวกเขาจึงแน่ใจว่าเรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำที่มากกว่านั้น
ถึงขนาดวางยาคนทั้งหมู่บ้านได้ย่อมไม่ธรรมดา
เซวียนซานหลางจ้องมองนักฆ่าชุดดำด้วยแววตาเย็นเยียบ ก่อนที่นัยน์ตาคมจะมองไปที่มู่หลานเฟิน
คล้ายว่านางจะมีบางอย่างที่แปลกไป
เขาเคยเห็นนางกำราบนักฆ่าต่างแคว้น อีกทั้งยังจัดการกำราบองค์รักษ์ของเขาไว้ใต้ฝ่าเท้าได้ แต่เหตุใดตอนนี้จึงมีสภาพดูอ่อนแรงยิ่งนักเล่า!
มู่หลานเฟินพยายามตั้งสติให้มั่น และเค้นคำพูดออกมา
“ข้าถูกวางยาพิษ เป็นพิษสลายลมปราณและเส้นเอ็น”
เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันเมื่อได้ยินอย่างนั้นจิตใจก็บีบรัด
นางถูกพิษสลายลมปราณและเส้นเอ็น พิษนี้จะทำให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรง หากภายในสองชั่วยามยังไม่อาจถอนพิษได้ นางจะกลายเป็นอัมพาตและค่อยๆตายอย่างทุกข์ทรมาณ
อยู่ๆในใจของเซวียนซานหลางก็บีบรัดขึ้นมา เดิมทีคิดว่านางก็เป็นเพียงเหยื่อที่เขาเอาไว้ใช้หลอกล่อคนร้ายเพียงเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นนางตกอยู่ในสภาพนี้เขากลับใจดำไม่ลง
"ปล่อยตัวคนเสีย ไม่อย่างนั้นเจ้าอย่าหวังว่าจะรอดชีวิตออกไป!"
เซวียนซานหลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แต่ทว่าคนชุดดำกลับไม่ตอบ อีกทั้งยังออกแรงกดปลายมีดลงไปบนลำคอของมู่หลานเฟินให้ลึกลงไปอีก มู่หลานเฟินกัดริมฝีปากจนเลือดออกเพื่อให้ตนเองมีสติ นางเคยอยู่ในสนามรบ เคยสังหารศัตรู จะมาแพ้ให้นักฆ่าเพียงคนเดียวหรือ
ไม่มีทาง นางไม่ยอมแพ้หรอก!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นมู่หลานเฟินจึงใช้แรงเฮือกสุดท้าย ล้วงมีดสั้นที่นำติดตัวมาด้วยแทงเข้าไปที่ท้องของนักฆ่าจนมิดด้าม เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเข้าไปชิงตัวมู่หลานเฟินออกมาทันที
นักฆ่าจนเจ็บร้องออกมา มู่หลานเฟินใช้จังหวะตอนที่นักฆ่าไม่ระวังตนเองยื่นมือไปกระชากผ้าปิดหน้าของมันออกอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้เห็นใบหน้าของฆาตรกรชัดเจนเต็มสองตา มู่หลานเฟินก็ถึงกับตกตะลึง
อาหลิน!
อาหลินคือฆาตรกรหรือ!
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง
เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที
ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ