ข่าวการตายของสตรีนางนั้นรวมไปถึงหญิงสาวต่างหมู่บ้านอีกหลายคนเริ่มลุกลามบานปลายมากยิ่งขึ้น สตรีทั้งในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้านล้วนหวาดกลัว ไม่แต่งงาน แม้แต่เหล่าบุรุษก็ยังไม่กล้าสู่ขอสตรีอันเป็นที่รักของตนแต่งงานด้วย เพราะเกรงว่าพวกนางจะถูกวิญญาณร้ายมาเอาตัวไป
ชาวบ้านต่างปักใจเชื่อว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของวิญญาณผีสาวนางนั้น แต่มู่หลานเฟินกลับไม่คิดเช่นนั้น จากร่องรอยบาดแผลตามร่างกายของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย นางมั่นใจเต็มร้อยว่ามันเป็นการฆาตรกรรมอำพราง
ฆาตรกรลงมืออำมหิตเป็นอย่างมาก ช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน
สิ่งที่น่ากังวลมากไปกว่านั้นก็คือพวกนางไม่อาจรู้ได้เลยว่าผู้คนที่เดินวนไปเวียนมาอยู่รอบกายของนางใครกันแน่คือฆาตรกรตัวจริง
เช้าวันนี้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันยังคงไปสืบหาเบาะแสของคดีอย่างเช่นที่เคยทำ ส่วนมู่หลานเฟินและเซวียนเจ๋อก็อยู่ที่ร้านเพื่อรอฟังข่าวคราว เซวียนเจ๋อและลั่วเหมยที่ได้รับรู้เรื่องราวน่าหวาดหวั่นก็ไม่กล้าทำตัววุ่นวายเท่าใดนัก
"หรานหร่าน เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือของวิญญาณผีสาวตนนั้นหรือไม่"
เซวียนเจ๋อเอ่ยถามนางในขณะที่มือก็แกะเมล็ดถั่วกินไปด้วย มู่หลานเฟินส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ไม่ใช่หรอก นี่ไม่ใช่ฝีมือของวิญญาณอะไรทั้งนั้น แต่เป็นฝีมือของคนเรานี่ละ เซวียนเจ๋อท่านลองคิดดูสิ วิญญาณเป็นเพียงสิ่งที่เราจับต้องไม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีอยู่จริงก็ย่อมไม่อาจลงมือเช่นนี้ได้ อย่างไรพวกเขาก็ต้องหวาดกลัวเวรกรรมอยู่บ้าง เป็นวิญญาณไม่ได้สนุกหรอกนะ ใครบ้างอยากจะไปทำร้ายคนอื่นให้เพิ่มบาปกรรมกับตนเอง"
เซวียนเจ๋อที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยถามต่อ
"เจ้านี่เข้าใจพูดนะ ทำอย่างกับว่าเคยเป็นวิญญาณมาก่อนเสียอย่างนั้น"
มู่หลานเฟินไม่ตอบ ทั้งที่ในใจนางรู้ดี ตัวนางเองเคยผ่านช่วงชีวิตนั้นมาแล้ว กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปอยู่ในร่างของคนอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล่องลอยไร้สะสาร เหตุใดนางจะไม่เข้าใจ
"แม่นางหรานหร่าน ข้าคิดว่าวันนี้เจ้าจะไม่เปิดร้านแล้วเสียอีก"
ในขณะที่มู่หลานเฟินและเซวียนเจ๋อกำลังสนทนากันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงหวานใสของสตรีเอ่ยทักทายขึ้นมา เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นอาหลินบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองผู้นั้นนั่นเอง มู่หลานเฟินยิ้มให้ฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปหา
"อาหลิน วันเจ้ามาซื้ออาหารอีกแล้วหรือ กินอันใดดีเล่าวันนี้"
อาหลินพยักหน้าก่อนจะเดินเข้ามาในร้านและสั่งอาหารตามที่ตนเองต้องการสองสามอย่าง เมื่อได้อาหารแล้วกลับยังไม่ยอมจากไป มู่หลานเฟินที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"อาหลิน เจ้ามีสิ่งใดอยากพูดกับข้าหรือไม่"
อาหลินเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ยกับมู่หลานเฟิน
"หรานหร่าน เรื่องที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวพวกนั้นน่ากลัวมากนัก ข้าเองก็หวาดหลัวจนนอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าตนเองจะหลายเป็นศพเช่นพวกนางวันไหน เดิมทีคิดจะแต่งงานมีคู่ครองแต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นข้าจึงไม่กล้าคิดเพ้อฝัน ท่านพ่อเองก็ยังหาต้นสายปลายเหตุไม่พบ อีกทั้งยังกำชับไม่ให้ข้าออกจากบ้านยามวิกาล เจ้าเพิ่งเดินทางมาทีี่นี่ยังไม่รู้เรื่องราวอันใดในเมืองถงหวางมากนัก ข้าอยากเตือนเจ้าว่าให้ระวังตัวเอาไว้บ้าง หากมีเรื่องใดแปลกๆ ให้รีบไปแจ้งที่จวนเจ้าเมืองโดยเร็ว"
มู่หลานเฟินพยักหน้ารับ
"ขอบใจเจ้ามาก เดิมทีข้ากับท่านพี่ปรึกษากันว่าอีกสองสามวันจะจัดงานแต่งงานกัน แต่ไม่ใช่งานใหญ่อันใด เพียงสวมชุดเจ้าสาว ยกน้ำชาคารวะกราบไหว้ฟ้าดิน เชิญคนที่รู้จักมาเป็นสักขีพยานเพียงไม่กี่คนก็พอแล้ว"
อาหลินเมื่อได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่น
"นี่พวกเจ้าสองคนยังคิดจะแต่งงานกันอีกหรือ เจ้าไม่กลัวหรือ"
"กลัวน่ะกลัวอยู่หรอก แต่ว่าข้ากับเขาใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยากันมานานแล้วยังไม่ได้คารวะฟ้าดินด้วยกัน ถึงแม้ไม่ได้จัดงานใหญ่โต แต่อย่างไรย่อมต้องทำให้ถูกหลักการและขนบประเพณี ไม่อย่างนั้นจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกัันอย่างราบรื่นได้เช่นไร ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อ แต่ข้ากับท่านพี่อยากจะทำทำเรื่องนี้ให้ถูกต้อง ขอบใจเจ้ามากที่มาเตือน อีกสามวันข้าจะจัดงานแต่งที่บ้าน เจ้าก็มาร่วมงานด้วยเล่า เจ้าวางใจ มีคนมาร่วมงานเพียงไม่กี่คนเท่านั้น"
อาหลินเม้มริมฝีปากแน่น แววตาฉายแววไม่สบายใจเท่าใดนัก เมื่อมู่หลานเฟินไม่เชื่อที่นางพูด นางเองก็คงปรามสิ่งใดไม่ได้ คงทำได้เพียงช่วยนางระแวดระวังอีกแรงหนึ่ง
แม้ในใจจะเสียดายอย่างสุดซึ้งที่เจ้าสาวไม่ใช่นางก็ตาม มันออกจะเกินเหตุไปเสียหน่อยที่นางแอบหลงรักสามีคนอื่น แต่อาซานคนนั้นทำให้หัวใจของนางหวั่นไหวเข้าแล้วจริงๆ
นางยิ้มให้มู่หลานเฟินพลางเอ่ยเตือนอีกหน
"ได้ ข้าจะไปบอกท่านพ่อให้ระวังสังเกตการณ์เอาไว้ เจ้าก็ระวังตัวด้วยเล่า"
"อืม ขอบใจเจ้ามาก"
อาหลินพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินจากไป มู่หลานเฟินมองตามแผ่นหลังของอาหลิน ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในบ้าน
เดิมทีเรื่องนี้นางและเซวียนซานหลางไม่ได้คิดที่จะจัดงานแต่งงานกันอย่างเงียบๆอย่างที่บอกกับอาหลินเลยแม้แต่น้อย เซวียนซานหลางได้ให้คนของเขาไปกระจายข่าวว่าบ้านของเขาและนางจะจัดงานแต่งกัน เพื่อล่อให้ฆาตรกรเผยตัวตนออกมา ในเมื่อมันชอบลงมือสังหารสตรีที่กำลังจะเข้าห้องหอ แน่นอนว่าย่อมไม่รามือจากนางแน่นอน
การทำเช่นนี้มู่หลานเฟินรู้ดีว่ามันเสี่ยงเกินไป แต่ชีวิตของหญิงสาวทุกคนที่นี่ก็สำคัญไม่ต่างกัน อีกทั้งวิญญาณของสตรีเหล่านั้นก็ควรได้รับความเป็นธรรมเช่นเดียวกัน
หากอยากได้ลูกเสือ ย่อมต้องจัดการเข้าถ้ำแม่เสือ ลากคอมันออกมารับกรรม!
เย็นวันนั้นเซวียนซานหลางก็กลับมาที่บ้าน มู่หลานเฟินทำทุกอย่างเท่าที่ภรรยาปลอมๆอย่างนางจะทำได้ หญิงสาวทำอาหารเอาไว้ให้เขา มื้อเย็นวันนี้เสิ่นเหวยอันก็มาร่วมโต๊ะด้วย
"น้องหรานหร่าน ฝีมือการทำอาหารของเจ้ายอดเยี่ยมใช้ได้เลย หากใครได้แต่งเจ้าเป็นภรรยาจะต้องโชคดีแน่นอน ซื่อจื่อท่านว่าหรือไม่"
เสิ่นเหวยอันหันไปเอ่ยถามเซวียนซานหลางพร้อมกับยิ้มตาหยี เซวียนซานหลางไม่ตอบ เพียงตั้งใจกินอาหารของตนเองอย่างเงียบๆ
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาสงสัย แต่ก่อนเขาจำได้ว่ามู่หลานเฟินไม่เคยลงครัวทำเรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ นางเอาแต่ชี้นิ้วสั่งพวกบ่าวไพร่ให้ไปทำ วันๆเอาแต่แต่งหน้าแต่งตัว ไม่สนใจเรื่องใดนอกจากการตั้งใจยั่วยวนเขา อีกทั้งยังไม่ได้ดูฉลาดมีความคิดเท่ากับในตอนนี้
รอให้คดีนี้คลี่คลายเขาจะต้องสืบเรื่องของมู่หลานเฟินให้กระจ่าง
ด้านมู่หลานเฟินเองก็ไม่ได้คาดหวังคำชมอะไรจากเซวียนซานหลาง เพียงแค่เขาไม่ด่านางหรือต่อว่านางให้ระคายหูนางก็พอใจมากแล้ว
หลังกินอาหารมื้อเย็นอิ่มแล้ว เสิ่นเหวยอันก็มีทีท่าว่าไม่อยากจะกลับบ้านของตน ทั้งยังบอกอีกว่า คนที่เหมาะสมจะเป็นเจ้าบ่าวปลอมๆน่าจะเป็นตนมากกว่า มู่หลานเฟินถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก เซวียนซานหลางทนไม่ไหวจึงไล่เสิ่นเหวยอันไปในทันที
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยคนทั้งหมดก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอน เมื่อเข้ามาในห้องนอนแล้วเซวียนซานหลางก็เดินไปที่โต๊ะ ก่อนจะเปิดกล่องใบหนึ่งออก ด้านในคือชุดเจ้าสาวที่อาต่งองค์รักษ์ลับของเขาไปหามาได้ เขามีท่าทีลังเล ก่อนจะตัดสินใจบางอย่างได้ ชายหนุ่มยื่นมือไปหยิบชุดแต่งงานชุดนั้นขึ้นมาและเดินเอามายัดใส่มือนาง ก่อนจะทิ้งกายลงนอนไม่สนใจนางอีก
มารดามันเถอะ ส่งให้ดีดีไม่เป็นหรือไรกัน
เซวียนซานหลางยังคงนอนไม่หลับ เขาหันกลับมามองนางพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"อีกสามวันเจ้ากับข้าจะเข้าพิธีวิวาห์ปลอมๆด้วยกัน มู่หลานเฟิน จำเอาไว้ว่าเจ้าอย่าได้คิดจะทำให้ข้าเสียเรื่อง จบเรื่องนี้แล้วเราสองคนไม่เกี่ยวข้องกัน อย่าได้แอบอ้างเรื่องแต่งงานในครั้งนี้มาเป็นข้ออ้างในการวุ่นวายกับข้า"
มู่หลานเฟินเบ้ปาก ก่อนจะเอ่ย
"เจ้าค่ะซื่อจื่อ ซื่อจื่องดงามสูงส่ง ข้าไม่อาจเอื้อมหรอกเจ้าค่ะ หึ!"
นางเอ่ยเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ก่อนจะโยนชุดเจ้าสาวชุดนั้นไปที่ปลายเตียงอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงล้มตัวลงนอนไม่สนใจเขาอีก เซวียนซานหลางมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาสงสัยอย่างคิดไม่ตก
มู่หลานเฟิน แท้จริงแล้วเจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่?
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง
เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที
ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ