ログイン“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ข้าไม่อยากให้เว่ยซูเหม่ยผู้นั้นแต่งกับตระกูลดี ๆ นี่ คนอย่างนางเหมาะสมกับการใช้ชีวิตชั้นต่ำอยู่บ้านสวนนู่น แค่คิดว่าต้องเห็นหน้านางข้าก็รู้สึกสะอิดสะเอียดเต็มทน”
“นางไม่ได้จะอยู่นานเป็นปีเสียหน่อย อย่างมากคงอยู่ในจวนแค่สามเดือน”
“เพื่อเข่อซิงข้าจะอดทนใช้อากาศร่วมกันกับนางก็แล้วกัน!”
“แสดงว่าฮูหยินตัดสินใจแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
“แต่ท่านพี่นี่สิไม่รู้จะยินยอมรึไม่”
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกเจ้าค่ะ แต่ไหนแต่ไรมานายท่านไม่เคยใส่ใจเรื่องของนางอยู่แล้ว”
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นข้าไปหาท่านพี่เสียหน่อย”
ใต้เท้าเว่ยฉือนั่งสะสางงานอยู่เรือนใหญ่ ใบหน้าของเขาเรียบเฉยดูแล้วน่าเกรงขาม เขาเป็นคนที่ได้ชื่อว่าอำมหิตที่สุดเพราะฆ่าได้แม้กระทั่งสหายรักของตัวเอง
“นายท่าน ฮูหยินขอพบขอรับ”
“ตอนนี้ข้ายุ่ง บอกนางให้กลับไปก่อนเถิด”
“คะ...คือว่า ฮูหยินบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องหารือกับท่านขอรับ”
“เรื่องอะไรหรือ”
“เรื่องพระราชทานสมรสเจ้าค่ะ” ฮูหยินเว่ยแทรกขึ้น ก่อนสาวเท้าเดินเข้ามาด้านในอย่างถือวิสาสะ
“มารยาทของเจ้าลืมทิ้งไปไว้ที่ใด หรือว่าตระกูลเหลียงไม่เคยสอนว่าอย่าถือวิสาสะเข้าห้องคนอื่น ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของก่อน”
“ข้าหาใช่คนอื่นไกล แต่เป็นฮูหยินของท่าน เจ้าออกไปก่อน” นอกจากนางจะไม่รู้สึกอับอายที่ถูกต่อว่าแล้วยังไล่ให้คนรับใช้ข้างกายสามีออกไปด้วย
“เรื่องแต่งงานกับตระกูลสือ ข้าไม่มีวันให้เข่อซิงของข้าแต่งเข้าจวนนั้นแน่”
“เจ้ากล้าขัดพระราชโองการรึ ถึงได้พูดเช่นนี้ออกมา” เขาเงยหน้ามองฮูหยินของตนนัยน์ตาแน่วนิ่ง
“ข้าหรือจะกล้าขัด เพียงแต่ข้าคิดเปลี่ยนตัวเจ้าสาว”
“เปลี่ยนตัวอย่างนั้นรึ ไหนเจ้าว่ามาซิ ว่าจะให้ผู้ใดแต่งงานแทนบุตรสาวของเจ้า”
“พวกเรายังมีคุณหนูเว่ยซูเหม่ยอยู่มิใช่รึ เดิมทีนางก็ไร้ค่าอยู่แล้วหากให้นางแต่งเข้าตระกูลสือยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ท่านไม่คิดเหมือนข้าหรือเจ้าคะ”
“สตรีอัปมงคลอย่างนางแต่งเข้าไปมีแต่จะทำให้จวนเราอับอาย หากเจ้ามีสมองก็ไม่ควรพูดเช่นนี้ออกมา”
“เช่นนั้นท่านจะให้ข้าทนเห็นลูกสาวเพียงคนเดียวแต่งเข้าปากเสือปากจระเข้หรือ ถ้าจะให้ข้าทนเห็นภาพนั้นสู้ข้าตายไปเสียยังดีกว่า”
“เช่นนั้นเจ้าก็ตายเถิด เพราะข้าไม่มีวันทำตามที่เจ้าว่า”
“ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงได้ใจดำกับข้าเยี่ยงนี้ถึงอย่างไรเสียข้าก็เป็นฮูหยินของท่านนะเจ้าคะ”
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้าตัดสินใจเองได้ เจ้าไม่คิดบ้างรึว่าถ้าตระกูลสือรู้เข้าว่าเราส่งเว่ยซูเหม่ยไปแทนแล้วเอาเรื่องนี้ไปทูลฮ่องเต้ หากพระองค์ทรงกริ้วขึ้นมาเห็นทีตระกูลเว่ยคงเหลือแค่ชื่อ”
“แต่ฝ่าบาทไม่ได้บอกเสียหน่อยนี่เจ้าคะ ว่าต้องเป็นเข่อซิงเท่านั้น ท่านเห็นแก่หน้านางสักครั้งเถิด”
“เช่นนั้นข้าต้องถามนางด้วยตัวเองก่อน ถ้าหากนางไม่อยากแต่งข้าย่อมไม่ฝืนใจนาง”
“ขอบคุณท่านพี่ที่รับฟังคำขอของข้า”
"เข่อซิง พ่อเรียกเจ้ามาด้วยเรื่องใดเจ้าคงรู้ดี"
"เจ้าค่ะ ท่านแม่บอกลูกไว้แล้วว่าท่านพ่ออยากถามความเห็นลูก"
"พูดตามตรงพ่อไม่อยากบังคับเจ้าให้แต่งเข้าตระกูลสือ"
"ถ้าเป็นเรื่องแต่งงานลูกล้วนแล้วแต่ท่านพ่อจะตัดสินใจ"
"เจ้าก็เป็นเช่นนี้ พ่อน่ะมีลูกสาวแค่สองคน คนหนึ่งเป็นตัวอัปโชค อีกคนว่านอนสอนง่ายสั่งให้ทำอะไรย่อมทำตามหมด พ่อรู้สึกว่ามีลูกสาวเช่นเจ้าล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำพันชั่งเสียอีก"
"เรื่องของพี่ใหญ่นางหาใช่คนอัปโชคเสียหน่อยนี่เจ้าคะ มีแต่คนคิดไปเองทั้งนั้น ข้ายังรู้สึกสงสารนางเสียด้วยซ้ำ อายุของนางเลยวัยปักปิ่นมาแล้วถึงสองปีท่านพ่อควรหาคู่ครองดี ๆ ให้นางได้แล้ว"
"เรื่องของนางเอาไว้ก่อนเถิด พ่อตัดสินใจแล้วว่าจะให้เจ้าแต่งเข้าตระกูลหลี่"
"เช่นนั้นแล้วผู้ใดจะแต่งเข้าตระกูลสือแทนข้ากัน คงไม่ใช่..."
"เจ้าคิดถูกแล้ว พ่อจะให้นางแต่งเข้าตระกูลสือแทนเจ้า"
"แต่ว่า"
"ทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่พ่ออย่างข้าจะมอบให้นางได้"
"ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าชีวิตนางน่าสงสารตั้งแต่ยังเด็ก หากท่านยังทำเช่นนี้อีกเกรงว่าท่านพี่คงไม่อยากมองหน้าท่านอีก"
"ทำไมพ่อจะไม่รู้ แต่จะทำอย่างไรได้หนทางเลือกได้เพียงหนึ่ง หากต้องเสียสละใครสักคนซูเหม่ยเหมาะสมที่สุด"
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าทำเรื่องอำมหิตเช่นนี้ เสียทีที่ข้ารับเจ้าเข้าจวนมา หย่งเจิ้ง ขังนางไว้ที่เรือน” หลังจากได้อยู่ด้วยกันตามลำพังนางได้เข้าไปนั่งใกล้เขา “ดูจากที่ตาของเจ้าบวมเป่งเช่นนี้ คงเอาแต่ร้องไห้ใช่รึไม่” เขาว่าพลางยันตัวขึ้นนั่งแล้วใช้มือลูบหัวนางแผ่วเบา “ข้าคิดว่าท่านจะไม่ฟื้นขึ้นมาเสียแล้ว ท่านหมดสติไปตั้งหลายวัน” “ข้อต้องฟื้นอยู่แล้ว เพราะข้ามีคนสำคัญที่ต้องปกป้อง” “อะ แฮ่ม ท่านโหวจะให้จัดการนักฆ่าที่รอดชีวิตอย่างไรดีขอรับ” “จับเข้าคุกหลวงให้หมด ข้าจะยื่นกีฎาให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสิน” “แล้วเรื่องฮูหยินเว่ยที่สมคบคิดกับแม่นางเหลียวล่ะขอรับจะให้จัดการเช่นไร” “ข้าจะเป็นคนจัดการเอง” เว่ยซูเหม่ยมองป้ายหน้าจวนตระกูลเว่ยด้วยความรู้สึกดีใจเสียยิ่งกว่าอะไร ในที่สุดคนชั่วช้าอย่างเหลียงเฟยฮุ่ยถึงคราที่ต้องได้รับกรรมที่นางก่อเสียที “ฮูหยินเว่ย อยู่ที่ใด” “อยู่ข้างในเจ้าค่ะ ฮูหยิน” แม่นมจ้าวออกมาต้อนรับนางด้วยรอยยิ้ม “ที่เรื่องทุกอย่างจบลงเช่นนี้ได้ก็เพราะแม
สุดท้ายแล้วเว่ยซูเหม่ยก็ไม่ได้ทิ้งรองเท้าคู่นั้น ด้วยเหตุผลที่ว่ารองเท้าของนางเริ่มเก่าแล้ว หากจะทิ้งก็เสียดายจึงได้เก็บกลับมาด้วย “ฮูหยิน ท่านไปให้ช่างทำรองเท้าให้ใหม่ตั้งแต่เมื่อใดกัน ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องล่ะเจ้าคะ” “ใช่ที่ไหนกัน มีคนนำมาให้ข้าน่ะ” “หรือว่าคนผู้นั้นคือท่านโหว” “เจ้ารู้ได้อย่างไร” “เมื่อไม่กี่วันก่อนบ่าวคนสนิทของท่านโหวมาถามขนาดเท้าของท่านกับข้า จะเป็นผู้ใดได้ล่ะเจ้าคะหากไม่ใช่ท่านโหว” “หวนปี้ เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” “เพราะข้าได้ท่านมานั่นแหละเจ้าค่ะ” “งั้นรึ” สองนายบ่าวหัวเราะขบขัน “ฉีเยว่ เจ้าบอกพ่อบ้านต่งแล้วหรือยังว่าพรุ่งนี้ให้เตรียมรถม้าไว้ให้ข้าด้วย” “บ่าวบอกเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” “ทำไมเจ้าถึงได้ทำสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ” “บ่าวแค่รู้สึกกังวลนิดหน่อยเจ้าค่ะ” “เจ้าจะกังวลไปไย พรุ่งนี้ข้ากับหวนปี้แค่ไปดูทำเลเปิดร้านใหม่เท่านั้นเอง” “แต่ฮูหยินออกไปโดยไร้คนติดตามนะเจ้าคะ จะไม่ให้เป็นห่วงได้เ
“วางใจเถิดเจ้าค่ะ แม้คนของข้าจะทำงานพลาดก็ไม่อาจสาวถึงพวกเราได้” “เช่นนั้นข้าจะลองเชื่อใจเจ้าดู” “หมดธุระแล้ว ข้าขอตัวก่อน” “ฮูหยิน ท่านเชื่อใจแม่นางเหลียวจริงหรือ หากแผนที่นางวางไว้ไม่สำเร็จล่ะเจ้าคะ” “แม่นมจ้าว เรื่องนี้ข้าคิดหาทางออกไว้อยู่แล้ว ถ้าแผนของนางล้มเหลวข้าก็แค่ปลิดชีพนางทิ้งเสีย เท่านี้เรื่องทุกอย่างก็ไม่อาจสาวมาถึงข้าได้” “ฮูหยิน ท่านช่างฉลาดนัก” “เจ้าเพิ่งรู้หรือ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” นางหัวเราะร่าราวกับเป็นผู้คุมเกม ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่เปิดหอเหม่ยปี้มาร้านปักเย็บของเว่ยซูเหม่ยก็ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะลายปักที่งดงามเป็นเอกลักษณ์ช่วยดึงดูดชนชั้นสูงเข้ามาเป็นลูกค้าได้ไม่ขาดสายจนทำให้นางมีรายได้มากพอที่จะเปิดร้านปักเย็บอีกแห่งแถวชานเมือง “ขออภัยที่ข้ามาช้า” “ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ คุณชาย ที่ร้านยุ่งพอดี” “ถึงอย่างไรข้าก็มาสายจนพลาดพาแม่นางไปหาทำเลเปิดร้านอีกแห่ง” “เรื่องเล็กน้อยเท่านี้เอง ไว้โอกาสหน้าค่อยไปก็ได้เจ้าค่ะ” “แล
สืออันหลงยอมปล่อยมือจากชายหนุ่มตรงหน้า หลังข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ได้แล้ว “คุณชายหยวน เจ็บตรงไหนหรือไม่” “ข้าไม่เป็นไร” “คุณชาย ท่านกลับไปก่อนเถิด” “แล้วข้าจะมาใหม่ ส่วนภาพวาดฝากแม่นางดูแลด้วยนะขอรับ” “ข้าจะเก็บรักษาอย่างดีเจ้าค่ะ” ได้ยินดังนั้นหยวนชางเจี้ยนจึงกลับไปแต่โดยดี ผิดกับเขาที่มองมาที่นางราวกับโกรธแค้นนางนักหนา “นี่สินะ คือเหตุผลที่เจ้าอยากหย่ากับข้าใจจนจะขาด” เขากัดฟันพูด ยามอยู่ด้วยกันตามลำพังในเรือนของนาง ในหูยังได้ยินน้ำเสียงอ่อนนุ่มเป็นห่วงเป็นใยบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขา “ข้าไม่ยักรู้ว่าท่านโหวผู้สูงส่งอย่างท่านจะรู้จักพาลด้วย ข้าจะบอกท่านให้ว่าเรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับคุณชายหยวน” “ไหนเจ้าบอกว่ารักข้า แล้วทำไมเจ้าถึงได้เปลี่ยนใจเร็วเช่นนี้” “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ได้รู้สึกกับท่านเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ที่จริงข้าต้องขอบคุณท่านโหวที่ทำให้สตรีโง่งมเช่นข้าตาสว่าง” “อย่าพูดเช่นนี้ให้ข้าได้ยินอีก!” “ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านจะสั่งกักขังข้างั้นรึ”
หลังจากเว่ยซูเหม่ยหายจากอาการป่วยจึงได้ถามข่าวคราวของฮูหยินเว่ยที่ตนเคยละเลยไปเพราะแต่ก่อนมัวแต่ตกอยู่ในห้วงของความรัก “คนของเราบอกว่าอีกสองวันข้างหน้านางจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมเจ้าค่ะ” “ตระกูลเหลียงน่ะหรือ” “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นข้าควรเตรียมของขวัญต้อนรับนางกลับบ้านเสียหน่อย เจ้าว่าดีรึไม่” “ฮูหยิน คิดจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” นางกระซิบข้างหูสาวใช้คนสนิท “ฝากเจ้าไปจัดการด้วยก็แล้วกัน จำไว้ว่าอย่าฆ่านางเป็นอันขาด” “ทำไมล่ะเจ้าคะ” “เพราะข้าจะทำให้นางมีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าการตายซะอีก พอถึงตอนนั้นข้าจะให้นางเลือกว่าอยากอยู่หรือตายมากกว่ากัน” คล้อยหลังหวนปี้ไปได้ไม่นานเหลียวลี่อินก็โผล่หน้ามาหานางถึงที่เรือน “เจ้าหายป่วยแล้วมิใช่รึ แล้วใดต้องให้ท่านโหวมาหาที่เรือนทุกวันด้วยเล่า” “พูดเรื่องอะไรของเจ้า” “นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ หึ น่าขันนัก!” “เหลียวลี่อิน เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดมาตามตรงเถิด ไม่จำเป็นต้องแกล้งพูดหลบเลี่ยงไปมาเช่นนี้” “
“เจ้ารีบไปเรียกท่านหมอมาดูอาการฮูหยินเร็วเข้า! ฮูหยินท่านอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะเจ้าคะ” ท้ายประโยคหันไปพูดกับเว่ยซูเหม่ยที่นอนตัวสั่นอยู่ทั้งน้ำตา “ข้ามาขอพบท่านโหว” ฉีเยว่เอ่ยบอกสาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าเรือน “เจ้าคิดว่าท่านโหวเป็นผู้ใด ถึงได้คิดมาขอพบง่าย ๆ เช่นนี้” “ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกท่านโหว ได้โปรดเถิด” “กลับไปเสีย! ตอนนี้ท่านโหวกำลังยุ่งอยู่” เสียงสาวใช้ทั้งสองทะเลาะกันเสียงดังจนได้ยินไปถึงด้านใน ท่านโหวหนุ่มจึงได้ให้หย่งเจิ้งออกมาดู “พวกเจ้าสองคนเอะอะโวยวายอะไรกัน ไม่รู้รึว่าท่านโหวต้องใช้สมาธิ” “ก็นางน่ะสิเจ้าคะ ข้าบอกไปหลายหนแล้วว่าท่านโหวกำลังยุ่ง แต่นางไม่ยอมฟัง” “ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องบอกท่านโหว” “เจ้าคือสาวใช้ของเรือนฮูหยินนี่ มีเรื่องใดเกิดขึ้นงั้นรึ” “คือว่า ตอนนี้ฮูหยินไม่สบายอาการหนักเอาการ จำเป็นต้องเรียกท่านหมอมาดูอาการ แต่นางไม่ยอมให้ข้าเข้าไป” “วางใจเถิด ข้าจะไปบอกท่านโหวให้ประเดี๋ยวนี้” “ว่าอย่างไร ข้างนอกเกิดเรื่องอันใด” “ส







