Share

ตอนที่ 4 สนมผู้ถูกลืมเลือน

Author: Jiulin
last update Last Updated: 2024-12-09 16:04:13

เมื่อปล่อยโคมไฟกันเรียบร้อยแล้วจ้าวซูหลินก็พาคนอื่นๆ เดินเที่ยวทั่วทั้งงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ระหว่างทางก็หยุดแวะซื้อของกินเล่นไปพลางๆ จนซั่วอิงต้องคอยห้ามอยู่บ่อยครั้ง

“กินของกินเล่นมาตลอดทางเจ้าอิ่มแล้วหรือไม่”

“ยังเจ้าค่ะ ข้าก็ยังรู้สึกหิวอยู่ดี”

ใต้เท้าโจวทองใบหน้าที่ทะเล้นของนางก่อนจะหลุดขำทันที

“เอาเถอะมื้อนี้ข้าเลี้ยงพวกเจ้าเอง แวะโรงเตี๊ยมข้างหน้านี้กันเถอะ”

จ้าวซูหลินหันมองไปตามฝ่ามือที่ผายออกไปทันที ปรากฎให้เห็นเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ หน้าโรงเตี๊ยมมีแม่น้ำไหลตัดผ่านมีเรือโดยสารแล่นผ่านไปทีละลำ บริเวณประตูหน้าประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงดูสวยงามยิ่งนัก ป้ายหน้าโรงเตี๊ยมเขียนชื่อไว้เพียงสามคำว่า ‘ฟู่อันหลง’

“มันจะดูหรูหราเกินไปหรือไม่เจ้าค่ะใต้เท้า ข้าออกมาไม่ได้เอาเงินมาเยอะเสียด้วยสิ”

“ก็บอกแล้วว่าข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง มาเถอะน่าอย่ากังวลไปเลย”

“เช่นนั้นมื้อนี้ข้าคงต้องฝากท้องกับท่านแล้วนะเจ้าค่ะ”

“ด้วยความยินดีขอรับ”

น่าแปลกที่อาหารมื้อนี้พวกเขารู้สึกว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เมื่อกินอาหารกันเสร็จก็เดินย่อยกันสักพักจนมาสุดที่ทางเดินท้ายงานโคมไฟแห่งนี้

“เจ้าจะกลับเลยหรือไม่”

“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปส่งเจ้าเอง ดึกมากแล้วเกรงว่าข้าคงจะปล่อยพวกเจ้ากลับกันเพียงลำพังไม่ได้”

“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ท่านออกจากวังมาแล้วจะกลับไปทำไมอีกกันเสียเวลาท่านนะเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร ข้าเต็มใจไปเถอะ”

“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”

เนื่องจากดึกมากแล้วพวกเขาจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินกันอย่างว่องไว จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้เก่าแก่บานนั้น

“ใต้เท้าวันนี้ข้าขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะ หากไม่มีท่านช่วยนำทาง เกรงว่าคืนนี้ทั้งคืนพวกข้าคงต้องนอนข้างถนนเป็นแน่”

“ไม่เป็นไรอย่าได้เกรงใจข้าเลย”

“พวกข้าขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะ”

“เดี่ยวสิ ข้ายังไม่รู้จักชื่อแซ่ของเจ้าเลย”

“ข้าชื่อซูหลินเจ้าค่ะ”

“อื้ม แม่นางซูไว้วันหลังข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวในเมืองอีก”

“ขอบคุณเจ้าค่ะใต้เท้าโจว”

นางส่งยิ้มให้เขาบางๆ ก่อนจะรีบเดินนำหน้าซั่วอิงผ่านประตูไม้บานนั้น แล้วเดินต่อไปทางตำหนักหนิงเซียงภายใต้การจับจ้องของบุรุษทั้งสอง

“พวกเจ้าอยู่แถวนี้หรือไม่”

สิ้นคำพูดของเขาก็มีเงาดำของคนผู้หนึ่งออกมาจากที่ซ่อนก่อนจะคุกเข่ารอรับคำสั่งจากเขา

“ฝ่าบาท เชิญรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าไปสืบมาว่าหญิงสาวสองคนนั้นเป็นใครกันแน่ ตำหนักหนิงเซียงที่ว่าเป็นตำหนักของสนมนางใด”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

องค์รักษ์เงาดำโหนทะยานเกาะไปตามหลังคาเพื่อตามหญิงสาวสองคนไปในทันที ก่อนจะหายไปกับความมืดมิดในค่ำคืนยามราตรีนี้

-ตำหนักเซียวเยว่-

ร่างเงาสีดำพลันปรากฏขึ้นภายในตำหนักที่ตกแต่งอย่างเรียบหรูทว่าดูงดงามน่าเกรงขาม

ผู้มาเยือนเป็นองค์รักษ์เงาดำที่ฮ่องเต้บัญชาให้เขาไปตรวจสอบที่มาที่ไปของหญิงสาวทั้งสองนางนั้น

“ฝ่าบาท กระหม่อมติดตามพวกนางไปจนถึงตำหนักท้ายวังที่ชื่อว่าตำหนักหนิงเซียงพบว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ในนั้นนอกจากนางทั้งสองคนเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่มีใครจะเป็นไปได้อย่างไร วังหลังไม่เคยมีกฎทิ้งนางกำนัลไว้ที่ตำหนักเพียงลำพังโดยไร้เจ้านายนี่นา”

“ตำหนักหนิงเซียงงั้นหรือ...” เต๋อกงกงขันทีรับใช้ข้างกายฝ่าบาทอีกคนอุทานขึ้นมาทันที

“มีอะไรหรือเต๋อกงกง”

“ฝ่าบาท หากข้าน้อยจำไม่ผิดตำหนักหนิงเซียงเป็นที่พำนักของพระสนมซูหลินนะพ่ะย่ะค่ะ”

“สนมซูหลินงั้นหรือ”

"ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ตำหนักนั้นมีเพียงพระสนมซูหลินที่พำนักอยู่เพียงลำพังกับนางกำนัลอีกหนึ่งคนพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"

“เป็นเช่นนั้นเองหรือ”

'นางต้องการที่จะปิดบังตัวตนอย่างไรถึงได้กล้าบอกชื่อจริงของตัวเองกับคนนอกกันนะช่างสะเพร่าเสียจริงๆ ’

“พระสนมซูหลินคือคนที่เข้ามาในวังพร้อมกันกับพระสนมลิ่งเฟย แต่ในช่วงเวลานั้นพระองค์ทรงโปรดปรานพระสนมลิ่งเฟยมากจนลืมเลือนที่จะไปตำหนักหนิงเซียง จนตอนนี้ที่ตำหนักนั้นก็ยังคงเงียบเหงามาจนถึงทุกวันนี้ เหล่านางกำนัลต่างก็คุยกันสนุกปากว่าพระสนมซูหลินไม่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทจนต้องปักผ้าออกขายเพื่อประทังชีวิตในวังหลวงแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”

“ปักผ้าประทังชีวิตงั้นเหรือ”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เหลวไหล ต่อให้ไม่ได้รับการโปรดปรานจากข้าจริงแต่ก็มีเบี้ยเลี้ยงสำหรับพระสนมทุกคน ไหนจะอาหารการกินเสื้อผ้าพวกนางไม่มีทางขาดเหลือ เหตุใดต้องทำงานเพื่อหาเงินประทังชีวิตด้วยล่ะ”

ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นด้วยสุรเสียงที่ดูดุดันยิ่งนัก เต๋อกงกงที่รับใช้ฮ่องเต้มานานก็รับรู้ทันทีว่าตอนนี้พระองค์กำลังกริ้วอย่างมาก

“ฝ่าบาทเรื่องในวังหลังนั้นยากที่จะเข้าใจนะพ่ะย่ะค่ะ การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันย่อมมีให้เห็นในทุกวันยิ่งพระสนมที่ถูกละเลยแล้วนั้นย่อมเป็นที่ขบขันและเป็นที่กลั่นแกล้งเป็นอย่างดีเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นหรือ”

แววพระเนตรที่ดุดันทำเอาเต๋อกงกงและหลี่กงอี้ลอบมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัวยิ่งนัก

‘เหตุใดฝ่าบาทที่ไม่เคยสนพระทัยพระสนมคนไหนมาก่อนถึงได้ดูเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อรับรู้ว่าพระสนมซูหลินผู้ที่ถูกลืมเลือนถูกรังแกเช่นนั้นกันล่ะ’

ฮ่องเต้ทรงรู้ดีว่าเขาไม่อาจยื่นมือไปสอดแทรกเรื่องในวังหลังได้เพราะเป็นหน้าที่ของฮองเฮาผู้ดูแลวังหลังอยู่แล้ว หากเขายื่นมือเข้าไปช่วยนางย่อมเป็นที่ผิดใจกับฮองเฮาเป็นแน่

ฮ่องเต้ทรงทอดถอนพระปัสสาสะก่อนจะเหลือบไปมองที่องค์รักษ์เงาดำผู้นั้น

“เอาล่ะเจ้าคอยเฝ้าสังเกตการณ์ที่ตำหนักหนิงเซียงต่อไป หากมีสถานการณ์อื่นใดอีกให้กลับมารายงานข้าได้ทุกเมื่อ”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

หลังจากองค์รักษ์เงาดำจากไปฮ่องเต้ก็ไล่ให้องค์รักษ์และขันทีประจำกายไปพักผ่อน ก่อนที่เขาจะนอนครุ่นคิดเรื่องของนางต่ออย่างหนัก

คืนนี้จากการสังเกตดูท่าทางการแสดงออกของนางแล้วนั้นนางคงเหงามากเมื่ออยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ถึงขึ้นแอบหนีออกไปจากวังในยามวิกาลโดยไม่เกรงกลัวโทษแต่อย่างใด ในตอนที่เขามาส่งนางที่ประตูวังก็แอบเห็นแววตาที่เศร้าสร้อยของนางอยู่ชั่วครู่ในพริบตานางก็ปรับสายตาให้ดูร่าเริงเพื่อไม่ให้ใครเห็นความโศกเศร้านั้น

‘นี่ข้าเลอะเลือนจนถึงกับทอดทิ้งหญิงงามเช่นนั้นไปได้อย่างไรกันนะ’

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เมื่อข้าไม่อยากเป็นสนมของฮ่องเต้   ตอนที่ 32 คำอธิษฐานที่เป็นจริง

    -5 ปีผ่านไป-เทศกาลโคมไฟวนเวียนกลับมาในอีกรอบปีแล้ว แต่ปีนี้นั้นจ้าวซูหลินกลับรู้สึกว่าช่างเงียบเหงายิ่งนัก ในทุกๆปี นางจะนั่งชมโคมไฟรูปแบบต่างๆกับฮ่องเต้เสมอแต่มาปีนี้กลับต้องนั่งเหงาเดียวดายอยู่เพียงลำพัง“ฝ่าบาท หากชาติหน้ามีจริงขอให้พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งนะเพคะ”ฮ่องเต้ฮั่วจงสวรรคตไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังเทศกาลโคมไฟของปีที่แล้วพอดี จ้าวซูหลินไม่อาจยื้อชีวิตพระองค์ได้อีกต่อไปแล้วอาจเพราะเครื่องมือที่มีไม่มากพอและตัวนางเองก็ไม่อยากทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแม้จะเป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่ฮ่องเต้ฮั่วจงต้องสวรรคตในวัยเพียงแค่สี่สิบชันษา และแม้นางอยากที่จะยื้อชีวิตให้เขาได้อยู่กับนางนานๆมากกว่านี้แต่นางก็ไม่อยากฝืนชะตาลิขิตอีกต่อไปได้เพียงแค่หวังว่าหากชาติหน้ามีจริง นางและเขาจะกลับมาพบกันในสถานะที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ มีเพียงกันและกันและสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องผิดต่อใคร-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-เช้าวันนี้จ้าวซูหลินรู้สึกว

  • เมื่อข้าไม่อยากเป็นสนมของฮ่องเต้   ตอนที่ 31 งานแต่งงาน

    ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าสง่างามยิ่ง ฮ่องเต้นั้นสวมฉลองพระองค์ด้วยชุดสีเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรงามสง่า ส่วนฮองเฮาสวมชุดคลุมพญาหงส์สวยตระการตาปิ่นห้อยพญาหงส์สีแดงทองทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความสูงค่าทรงสง่าดูมีท่วงท่าของพระมารดาของแผ่นดินเป็นอย่างมาก บนโถงพิธีมงคลเทียนสีแดงถูกจุดสว่างตำแหน่งเก้าอี้สูงมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ ด้านนอกโถงพิธีมงคลมีขุนนางที่หลี่กงอี้เชื้อเชิญมาร่วมงานรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย“ได้ฤกษ์แล้ว ต้อนรับบ่าวสาว” ผู้ดูแลจวนเดินออกมายืนป่าวประกาศด้วยเสียงอันดังดนตรีมงคลก็เริ่มบรรเลง เกี้ยวเจ้าสาวหามมาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลี่แล้ว ซั่วอิงถูกประคองลงจากเกี้ยวขณะนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดดังปึงปังความปีติยินดีเบิกบานลั่นทั่วทั้งท้องฟ้าพรมสีแดงถูกปูมาจนถึงใต้เท้าของนาง “เจ้าสาวมาแล้ว” มีคนร้องขึ้น ซั่วอิงถูกประคองมาถึงหน้าโถงรับแขก จากนั้นมีสาวใช้สองคนเดินเข้ามารับช่วงต่อจากจ้าวซูหลินสาวใช้สองคนประคองซั่วอิงซ้ายขวาเดินเข้ามาในพิธีชุดมงคลแดงปักท

  • เมื่อข้าไม่อยากเป็นสนมของฮ่องเต้   ตอนที่ 30 หลี่กงอี้จะมีฮูหยินแล้ว

    เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปีแล้วจ้าวซูหลินยังคงอาศัยอยู่ในวังเพื่อถวายการรักษาฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง หลายๆครั้งที่นางพาฮ่องเต้แอบหนีออกจากวังเพื่อไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหลายๆหมู่บ้าน อะไรที่เขาไม่เคยทำจ้าวซูหลินก็พาทำหมดทุกอย่างหลี่กงอี้ที่เดิมทีเป็นกังวลเกี่ยวกับพระวรกายของฝ่าบาทแต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงแข็งแรงไปไหนมาไหนได้ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเขาจึงไม่เอ่ยคัดค้านใดๆ ทำได้เพียงแค่ตามทั้งสองคนไปในทุกๆที่เท่านั้น“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”“เปล่าเสียหน่อยข้าเพียงแค่จะถามท่านว่าท่านไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรือ”“ข้าหรือ?”“ใช่สิเจ้าคะ”“ข้าเห็นนะ ท่านแอบไปที่โรงเตี๊ยมของข้าบ่อยๆ”“อะไรกันนั่นข้าไม่ได้สั่งเสียหน่อย เจ้าไปที่นั่นทำไม? คงไม่ได้แค่ไปกินข้าวกระมัง”“อะเอ่อ ฝ่าบาทคือว่า”“ว่าอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ได้”“คือว่ากระหม่อม”“เจ้าชอบซั่วอิงงั้นหรือ แค่ช

  • เมื่อข้าไม่อยากเป็นสนมของฮ่องเต้   ตอนที่ 29 มิตรภาพของสองเรา

    “ก็ฮองเฮาอย่างไรเล่าเพคะ คนที่มีอำนาจในวังหลังมากสุดก็คือฮองเฮา ลองใครกล้านินทาหม่อมฉันดูสิฮองเฮาต้องออกหน้าจัดการแทนแน่นอน”“แล้วการที่เข้ามาดูแลรักษาอาการของพระองค์มันผิดตรงไหนกัน ใครๆก็รู้ว่าหม่อมฉันเป็นหมอ”“ข้าไม่ได้ว่าอะไร กลัวก็เพียงว่าคนที่เจ้าชอบจะมองเจ้าไม่ดี”“หม่อมฉันไม่มีลูกตาให้มองใครแล้วนะเพคะ”“แล้วเจ้ามองใครอยู่หรือ”จ้าวซูหลินยิ้มเบาๆนางไม่ตอบคำถามนี้แต่กลับกำลังค้นหาขวดยาเพื่อนำมาให้ฮ่องเต้เสวยอีกครั้ง“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าข้ากินยาแล้วหรือ”“นั่นยาของหมอหลวง ส่วนนี่ของหม่อมฉัน”“ได้อย่างไรข้ากินแล้วนะ”“อย่าดื้อสิเพคะ หากท่านหายดีในเร็ววันหม่อมฉันจะพาพระองค์อบออกไปเที่ยวนอกวัง”“เที่ยวนอกวัง?”“ใช่แล้วเพคะ”“ไม่กี่วันข้างหน้าก็ถึงเทศกาลโคมไฟแล้วนะเพคะ หม่อมฉันอยากไปดูโคมไฟสวยๆ ฝ่าบาทก็ต้องไปกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”จ้าวซูหลินยิ้มก่อนจะยื่นเม็ดยาที่นางสกัดออกมาเองใส่พระหัตถ์ของฝ่าบาทฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะเล็กน้อย‘เอาก็เอา อย่างน้อยถ้าหายดีก็จะได้พานางไปเที่ยวเล่

  • เมื่อข้าไม่อยากเป็นสนมของฮ่องเต้   ตอนที่ 28 เด็กดื้อ

    “ท่านน่าจะบอกข้าให้รู้เร็วกว่านี้”“ก็ฝ่าบาทไม่ยอมให้ข้าบอกท่านนี่นา เอาแต่ขู่ข้าว่าหากข้าปากโป้งไปบอกท่านจะตัดหัวข้าทิ้งเสีย ข้าเป็นองค์รักษ์ไม่กลัวตายหรอกนะแต่ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่คอยดูแลพระองค์ก็เท่านั้นเอง”‘ไม่กลัวตายเลยจริงจริ๊ง’“ใช่สินะ ใครจะไปรู้พระทัยฝ่าบาทเท่าท่านกัน”“แต่ก็อย่างที่ข้าตำหนิท่าน หากบอกข้าเร็วกว่านี้อาการของฝ่าบาทก็จะไม่ทรุดลงเร็วเช่นนี้”“แล้วแม่นางซูหลิน ฝ่าบาทจะทรงหายดีใช่หรือไม่”“ท่านรู้จักข้ามานานรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่พูดโกหก แม้บางครั้งจะจำเป็นต้องโกหกก็ตาม”“ข้ารู้”“ฝ่าบาทร่างกายอ่อนแอลงอย่างมากสุดก็ห้าปี”“ห้าปีงั้นหรือ”“พอจะจัดการอะไรๆ ได้ใช่หรือไม่”“ข้านึกว่าจะไม่นานเพียงนั้น”“ท่านกงอี้!”“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งไทเฮาและฮองเฮาต่างก็วิตกเพราะรัชทายาทเองก็อายุได้เพียงสิบชันษายังไ

  • เมื่อข้าไม่อยากเป็นสนมของฮ่องเต้   ตอนที่ 27 หนทางที่นางได้เลือกแล้ว

    “สะ สนมซู ไม่ใช่ว่าเจ้าตายไปแล้วหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่!”“ไทเฮา ฮองเฮา เรื่องนี้หม่อมฉันจะมาอธิบายทีหลังนะเพคะ ตอนนี้ให้หม่อมฉันตรวจอาการของฝ่าบาทก่อน”“เจ้ารักษาคนเป็นหรือ”“ฮองเฮาที่กระหม่อมพาพระสนมมาก็เพราะว่านางมีฝีมือทางการแพทย์พ่ะย่ะค่ะ เห็นสมควรให้นางลองรักษาฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”ฝ่าบาทที่เดิมกำลังจะบรรทมต่อเพราะฤทธิ์ยาที่หมอหลวงให้กิน แต่ก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าจ้าวซูหลินมาที่นี่‘มาได้อย่างไร?’ฮ่องเต้รีบทอดพระเนตรดูคนตรงหน้าทันที‘ชัดเลย จ้าวซูหลินจริงๆ! ต้องเป็นเจ้าบ้าหลี่กงอี้แน่ๆ อยากหัวหลุดจากบ่ามากหรืออย่างไรกัน’หลี่กงอี้ที่เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาอาฆาตจากฝ่าบาทมุ่งมาทางเขาก็รีบหลบไปที่หลังของจ้าวซูหลินทันที นางแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆหลี่กงอี้ก็มาหลบที่หลังของนางแต่เมื่อหันไปมองดูคนบนเตียงก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ!“ตะ…ใต้เท้า!”

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status