คุณหนูลำดับที่ห้าของท่านนายอำเภอจางแห่งแคว้นฉู่ หนึ่งในหกแคว้นภายใต้การปกครองของอาณาจักรต้าเหลียง ดินแดนที่ไม่เคยมีในแผนที่ยุค 2022 ที่ตะวันฉายเคยอยู่แม้แต่น้อย ซึ่งหากคนไม่โง่เท่าไรก็คงพอจะเดาชะตากรรมของตัวเองได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว
...เธอตกบันไดเวทีจนคอหักตาย!...
“ดีออก! ยายปานฤดี ร้าย ยายคนอำมหิต! แค่ฉันได้ค่าตัวแพงกว่า มีงานมากกว่า ก็ถึงกับอิจฉาผลักฉันตกบันไดจนคอหักตายนางบ้า เงินที่เก็บฉันก็ยังไม่ได้ใช้ ผัวก็ยังไม่เคยลองมี ดีออก!”
หญิงสาวสบถพ่นคำด่าทอออกมาแล้วก็ก้มลงไปมองช่วงล่างพลางนึกไปถึงร่างเก่าที่เฝ้าถนอมอย่างดีมาถึงยี่สิบเอ็ดปีเต็ม พลันนั้นความเสียดายก็พุ่งจู่โจม ตายทั้งที่ยังไม่เคยเปิดซิงทดลองของดีที่แม่ให้มาเลยสักหนเดียว!
“ปวดใจจริง ๆ เลยนางตะวันเอ๊ย...จะตายทั้งทีเงินที่เก็บก็ไม่ได้ใช้ ซิงก็ไม่ทันได้เสีย อะไรมันจะเสียชาติเกิดขนาดน้าน!”
“อุ๊ย! คุณหนูห้าท่านตื่นแล้ว”
คงเพราะมัวเสียดายช่วงล่างของร่างเก่าดังไปหน่อยแม่สาวใช้ต้นห้องนาม ‘ฟางปี้เหลียน’ นางจึงตื่นขึ้นมา แต่พอตะวันฉายหรือบัดนี้ก็คือ ‘จางเยว่เซียง’ บุตรลำดับที่ห้าของท่านนายอำเภอจางเสียนอี ก็พลันนึกขึ้นได้ถึงการฟื้นขึ้นมาครั้งแรกแล้วแม่สาวใช้ตัวดีกรีดร้องออกไปจนคนทั้งจวนแห่งนี้แห่กันมาแล้วมีสภาพเช่นไร นางก็เร่งกระโดดลงไปตะครุบปิดปากกว้างเสียงใสของอีกฝ่ายทันควัน
“อย่าเอ็ดไปสิปี้เหลียน! เจ้าอยากให้ท่านย่าแบกไม้หน้าสามมาฟาดหน้าข้าอีกหรือไร”
ไม่ทราบได้ว่าสาวใช้นางนี้มารดาเลี้ยงมาด้วยดอกลำโพงหรือไรจึงเสียงดีเหลือเกิน ซึ่งพอคุณหนูห้าผู้เรียบร้อยอ่อนโยนนุ่มนิ่มราวคนไร้กระดูกวันนี้กระโดดแทบเสยก้านคอของตนเองไม่พอยังพูดจาแจ่มชัดไม่ใช่พูดหนึ่งครั้งนางต้องตะแคงหูฟังแล้วถามซ้ำไปอีกห้ารอบจึงรู้ความกันสักครั้ง ฟางปี้เหลียนก็ตกตะลึงตาค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติแล้วส่งสัญญาณมือว่านางจะไม่ตะโกนเสียงดังปลุกคนทั้งจวนอีกแล้ว
“เจ้าไม่ตะโกนแล้วแน่นะ?”
ซึ่งฟางปี้เหลียนก็พยักหน้าว่าตกลง จางเยว่เซียงคนใหม่จึงยอมปล่อยมือ พอนั่งพักหายใจจนสงบ พลันท้องน้อยของจางเยว่เซียงก็ปวดจี๊ดบอกเป็นภาษากายว่าอยากขับน้ำเสียออกจากร่างกายแล้ว มองไปโดยรอบก็ไม่เห็นจะมีห้องน้ำ แต่คิดอีกทีที่แห่งนี้มันคือยุคโบราณจะมีส้วมในห้องนอนคงเป็นไปไม่ได้
“ปี้เหลียนข้าปวดฉี่”
“???”
เครื่องหมายคำถามเป็นงองูขึ้นเต็มหน้าผากของสาวใช้ตัวดีทันที จางเยว่เซียงหรือตะวันฉายจึงต้องเรียบเรียงคำพูดเสียใหม่ปวดฉี่มันคงล้ำยุคเกินไป เด็กสาวคงไม่เข้าใจ
“ข้าปวดเบา”
“อ้อ...รอสักครู่เจ้าค่ะ ปี้เหลียนจะไปหยิบกระโถนมาให้”
จางเยว่เซียงระบายลมหายใจโล่งอก แต่เพียงครู่ปัญหาใหม่พลันบังเกิดหากต้องฉี่ในกระโถนแล้ววางเอาไว้ในห้อง นางมิต้องทนดมกลิ่นของเสียของตนเองจนสมองฝ่อหรือไร?
“ข้าไม่เอากระโถนข้าจะไปห้องน้ำ”
“????”
สาวใช้คนเก่งมองผู้เป็นนายอย่างอึ้งและทึ่งเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายสื่อ ปวดฉี่แทบเล็ดแต่พูดสื่อสารกับสาวใช้ก็ยังไม่เข้าใจ นางร้ายผู้ข้ามภพอยากวิ่งเอาหัวโขกกับต้นเสาให้ตายเหมือนในซีรีส์ ติดที่ว่ากลัวสมองจะกระทบกระเทือนจนโง่หนักกว่าเก่าจึงตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้นแล้วหันมาเรียบเรียงคำพูดเสียใหม่ว่า ‘ห้องน้ำ’ ในยุคนี้เขาเรียกว่าสิ่งใด
“สุขา...ข้าจะไปห้องสุขาที่เขาเอาไว้ปลดทุกข์น่ะ”
แล้วกว่าจะสื่อสารกันเข้าใจจางเยว่เซียงก็เดินเสียทรงยิ่งกว่าเป็ดเป็นตะคริว เพราะกลัวว่าตนเองจะเก็บกลั้นปัสสาวะที่เป็นของเสียยามนี้ไปปล่อยให้ถูกที่ถูกทางไม่ทันนั่นเอง พอได้ปลดปล่อยของเสียออกไปนางจึงโล่งกิริยา ในยามเดินขากลับนั้นจึงผิดไปราวกับเมื่อครู่นี้หาใช่คนเดียวกัน
“คุณหนูห้าหิวหรือไม่เจ้าคะ”
พอใกล้ถึงห้องนอนฟางปี้เหลียนก็พลันนึกได้ว่าคุณหนูของนางสลบไปตั้งสองวันอาจจะหิวแล้วก็เป็นไปได้ ซึ่งก็จริงพอสาวใช้ตัวน้อยถามท้องเจ้ากรรมก็ร้องตอบไปก่อนปากเสียอีก
“มีอะไรก็ยกมาเลย”
ไหน ๆ ก็ไม่ใช่ดาราที่ต้องระวังและควบคุมเรื่องการกินแล้ว มื้อแรกของภพนี้นางก็ขอจัดหนักสักมื้อเถิด ก็คนเราต้องท้องอิ่มสมองมันถึงจะแล่น แล้วเมื่อกินอิ่มสมองของนางก็แล่นฉิวจริงเสียด้วย ในขณะที่จางเยว่เซียงทิ้งกายนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงจนฟางปี้เหลียนคิดว่าคุณหนูห้าของนางหลับไปแล้ว นางจึงแยกไปนอนบริเวณหน้าเตียงของผู้เป็นนายอีกครั้ง ทว่าแท้จริงแล้ว จางเยว่เซียงคนใหม่กำลังเรียงลำดับภาพในหัวอีกครั้ง
หลังจากได้เริ่มเรียงลำดับภาพในความทรงจำอีกครั้ง จึงได้ความกระจ่างว่าท่านนายอำเภอจางเสียนอีนั้นมีบุตรสาวสามคน มีบุตรชายสามคน ซึ่งทั้งสามคนนั้นดันกลับมีวาสนาน้อยคลอดออกมาไม่เกินสามเดือนก็ต่างตายลงไปทั้งสามคน จึงเหลือเพียงจางเยว่ซินคุณหนูสี่กับนางจางเยว่เซียงคุณหนูห้า ส่วนคุณหนูหกนั้นยังเล็กวัยเพียงสามขวบปีและยังเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาใหม่ของท่านนายอำเภอจางที่เพิ่งแต่งเข้าจวนได้ไม่กี่หนาวที่ผ่านมานี้เอง
ถึงจางเยว่ซินและจางเยว่เซียงจะเป็นฝาแฝดที่เกิดห่างกันเพียงสองชั่วยาม แต่ท่านฮูหยินผู้เฒ่า หรือเหล่าฮูหยินจาง หรือหญิงชราที่จะเอาไม้หน้าสามมาฟาดศีรษะนางในช่วงกลางวันที่ผ่านมานั้น แท้จริงนางก็คือท่านย่าของเด็กสาวทั้งสอง ทว่ากลับรักลำเอียงเลี้ยงดูเพียงจางเยว่ซิน ปล่อยจางเยว่เซียงให้มารดานั้นได้เลี้ยงดูเอาเอง ซึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะส่วนหนึ่งไม่ชอบสะใภ้เช่นเกาเยว่เหนียงที่เป็นเพียงลูกสาวชาวนาผู้หนึ่ง
ด้วยเพราะบุตรชายไม่ยอมแต่งภรรยารองเข้าจวนอีก หญิงชราที่หมายตาคุณหนูตระกูลดีหวังส่งเสริมหน้าที่การงานบุตรชายจึงยิ่งไม่พึงใจ แล้วยิ่งหลานชายที่คลอดออกมาคนแล้วคนเล่ากลับตายลงไปจนเหลือเพียงหลานสาวสองคน หญิงชราเลยชิงชังสะใภ้หนักขึ้นไปอีก และกล่าวหาว่าเกาเยว่เหนียงเป็นสตรีอัปมงคล
และคงเพราะอยู่อย่างลำบากใจในที่สุดนางเลี้ยงลูกสาวเช่นจางเยว่เซียงได้เพียงเข้าวัยสิบสองขวบปีก็จากไป จนผ่านไปหนึ่งปีฮูหยินผู้เฒ่าจางจึงบีบน้ำตาขู่จะปลิดชีพตนเองหากท่านนายอำเภอจางไม่ตบแต่งฮูหยินคนใหม่เข้ามาเพื่อจะได้มีทายาทสืบสกุลจาง
สุดท้ายบุตรชายย่อมทนเห็นมารดาตายไม่ลง จึงยินยอมแต่งฮูหยินจางคนใหม่ที่ครั้งนี้เป็นเหล่าฮูหยินจางนั้นเลือกเองกับมือเลยได้บุตรสาวของท่านโหวหลิว ที่นางนั้นนอกจากจะเป็นบุตรีของท่านโหวแล้ว ‘หลิวซือเยียน’ นางยังเป็นน้องสาวร่วมมารดาเดียวหลิวเต๋อเฟยเป็นหน้าเป็นตาให้สกุลจางสาสมใจอีกด้วย
แต่สุดท้ายผ่านไปสามฤดูหนาวเสี่ยวฮูหยินจางกลับคลอดบุตรสาวออกมาหักหน้าของหญิงชราจนไม่มีชิ้นดีจวบจนนี่ก็ผ่านมาถึงสามหนาวต่อมาเสี่ยวฮูหยินจางก็ไม่มีท่าทีว่าจะตั้งครรภ์อีกเลย แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับเจ้าของร่างนี้เท่าใด
หากว่าเมื่อสามเดือนก่อนท่านย่าจอมเจ้ากี้เจ้าการจะไม่พาจางเยว่ซินไปงานชมบงกชที่จวนสกุลรองของหนานเฉิงกั๋วกง ผู้เป็นหลานรักของไทเฮา แล้วความงดงามเกิดไปสะดุดตาของหนานเฉิงกั๋วกงหนุ่ม จนวันรุ่งขึ้นแม่สื่อก็ตามมาถึงจวนสกุลจางเจรจาสู่ขอโดยมิสอบถามความสมัครใจของจางเยว่ซินเลยสักครึ่งคำ ว่านางเต็มใจจะแต่งให้กั๋วกงหนุ่มหรือไม่
ดังนั้นจึงทำให้คนที่ตลอดมาถูกท่านย่าของนางเลี้ยงดูอย่างตามใจ สิ่งใดหลานสาวทำผิดก็มักพลิกคดีเป็นหลานสาวในดวงใจนั้นถูกเสมอนั่นจึงทำให้นางเสียผู้เสียคนถึงขั้นคิดการใหญ่หวังจะแอบหนีตามบุรุษที่ตนเองรักไปเสียก่อนวันงานวิวาห์ แล้วทิ้งเอาไว้เพียงปัญหาใหญ่ให้บิดารวมถึงคนสกุลจางนั้นต้องรับผิดชอบและกลัดกลุ้ม แทบล้มประดากันไปเอง
ทว่าหากนั่นคิดว่าจางเยว่ซินร้ายกาจ และคิดเห็นแก่ตนแล้วก็เหมือนจะยังดูเบาคุณหนูสี่ผู้นั้นเกินไปเสียแล้ว เพราะบังเอิญหรืออาจเป็นโชคร้ายเป็นคราวเคราะห์หรือชะตาของจางเยว่เซียงคงถึงฆาต เด็กสาวบังเอิญไปเก็บดอกบัวที่บึงด้านหลังจวนเลยพบเห็นการหลบหนีนั้นเมื่อสามวันก่อน คนนิสัยนิ่มนุ่มและซื่อตรงย่อมห้ามปรามพี่สาว มิคาดจางเยว่ซินกลับลงมือใช้ดุ้นฟืนฟาดเข้าที่ท้ายทอยของผู้เป็นน้องสาวอย่างจังในยามที่จางเยว่เซียงนั้นหันหลังเตรียมวิ่งกลับไปเรียกคนมาสกัดหนทางหนีของคุณหนูสี่ มิให้นางหนีงานมงคลไปได้
จนกายเล็กนั้นทรุดลงหมดสติไปทันที และแทนที่จางเยว่ซินเห็นเช่นนั้นจะเร่งหนีไป นางกลับเรียกให้ชายคนรักที่เป็นท่านพ่อบ้านใหญ่นั้นเข้ามาช่วยกันจับร่างหมดสติของฝาแฝดคนน้องโยนลงบึงบัว หวังให้จางเยว่เซียงตายลงไปเสีย นางจะได้ไม่ไปบอกบิดากับท่านย่าว่านางนั้นหนีไปกับท่านพ่อบ้านที่แก่คราวบิดาผู้นั้น
ทว่าเสียงของหนักตกลงไปในบึงเรียกให้ฟางปี้เหลียนที่เพิ่งตามผู้เป็นนายสาวมาช่วยเก็บดอกบัวจึงเร่งวิ่งมาดู พอเห็นอาภรณ์คุ้นตาลอยไหว ๆ อยู่ในบึงพร้อมมีโลหิตสีแดงเริ่มแผ่กระจายในบึงน้ำขนาดใหญ่ นางจึงตะโกนเรียกหาคนงานมาช่วย แต่อนิจจาเด็กสาวคนซื่อเช่นจางเยว่เซียงกลับจบชีวิตลงไปในวัยเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น
“นี่มันชีวิตจริงยิ่งกว่าละครชัด ๆ”
คนที่เพิ่งเรียงลำดับภาพในหัวดังต่อจิ๊กซอว์จนครบพึมพำออกมาอย่างยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เพราะทดลองหยิกตนเองไปหลายสิบครั้งก็เจ็บมันทุกครั้ง! จะเป็นอันใดไปได้อีกหากมิใช่นางได้มาเกิดใหม่อยู่ในร่างของสตรีอาภัพนามจางเยว่เซียงเสียแล้ว เงินก็ไม่ทันได้ใช้ ผู้ชายก็ยังไม่เคยตกถึงท้อง กลับต้องตายกลายมาเป็นเด็กสาวนุ่มนิ่มนางนั้น
...กรรมหรือเวรใดกำหนดกันเล่า?...
ตอนที่11หลังจากได้ทำความรู้จักกับ ‘ญาติ’ ของสวีฉีเฟิง และส่งเขาไปทำกิจธุระแล้ว คราวนี้ก็ถึงคราวที่นางจะต้องไปทำความรู้จักกับเหล่าข้าทาสบริวารของสามีที่แน่นอนว่าต่อไปนี้คนเหล่านั้นจะต้องเป็นข้าทาสบริวารของนางด้วยเช่นกัน “นายหญิงเชิญที่เรือนกลางขอรับ” ท่านพ่อบ้านซูโค้งกายชี้นำทางให้แก่นางอย่างนอบน้อม และให้เกียรติ แต่เพราะเด็กสาววัยสิบเจ็ดหนาวตรงหน้านั้นครอบครองตำแหน่ง ‘นายหญิงสวี’ เขาที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ย่อมต้องแสดงให้บริวารทั้งหลายได้เห็นเป็นตัวอย่างเอาไว้ มิให้คนใต้ปกครองได้กำเริบเสิบสานไม่เคารพผู้เป็นนายได้ในภายภาคหน้านั่นเอง “รบกวนท่านพ่อบ้านซูแล้ว” จางเยว่เซียงเองนั้นก็ต้องรู้จักวางตัวเช่นกัน มาถึงวันนี้ความทรงจำร่างนี้แทบไม่มี แต่ความทรงจำของ ‘ตะวันฉาย’ นั้นก็พอจะเอาตัวรอดได้อยู่บ้าง เพราะในยุคนี้นอกบ้านสามียิ่งใหญ่ ทว่าในบ้านภรรยาต้องควบคุมให้สงบ สามีจะแต่งอนุภรรยาอีกกี่นาง จะมีบุตรต่างภรรยาอีกกี่คน ผู้ที่เป็นภรรยาเอกเฉกเช่นนางจะต้อง ‘จัดการ’ ให้ได้ และมิใช่เพียงต้อง ‘ได้’ แต่จะต้องดีที่สุดอีกด้วย “พวกนางเหล่านี้คือสาวใช้ทั้งหมดที่จวนรอง ส่วนทางฝั่งนี้คือบ่าวชายกับคนงานทั้งห
ตอนที่10ช่วงต้นยามอิ๋นสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาราวกับท้องฟ้าพิโรธ อากาศเย็นสาดเข้ามากระทบคนไม่ชอบอากาศหนาวจนนางต้องตื่นขึ้นมา ก็พอดีกับที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา “ข้าทำเจ้าตื่นหรือ?” คนตัวโตที่เพิ่งปิดประตูลงด้วยกิริยาระวัง แต่คนบนเตียงนางก็ยังขยับกายตื่นลุกขึ้นมานั่งได้อยู่ดีเอ่ยถามขึ้น“มิได้เจ้าค่ะ ข้าตื่นเพราะเสียงฟ้าฝนด้านนอกที่แรงยิ่งนักนั่น ซ้ำละอองเย็นจากน้ำฝนก็สาดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้เมื่อช่วงหัวค่ำเจ้าค่ะ” สวีฉีเฟิ่งหันไปก็เห็นจริงจึงเดินไปปิดมันลงเสียแล้วกลับมาปลดอาภรณ์ตัวนอกออกจนหมดเปลี่ยนมาเป็นเสื้อคลุมสวมใส่ในยามนอนเพียงตัวเดียว จากนั้นเขาก็เก็บนั่นเก็บนี่จนเรียบร้อยจึงเดินตรงไปที่เตียงสอดกายสูงใหญ่นั้นเบียดเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกับนาง ทว่าเพียงเท่านั้นก็ทำให้จางเยว่เซียงจับสังเกตได้แล้ว ว่าสวีฉีเฟิ่งผู้นี้เป็นบุรุษที่มีระเบียบจัดอย่างที่สตรีบางคนยังต้องอับอายผู้หนึ่งเลยทีเดียว “พรุ่งนี้มีเวลาให้เจ้าพักผ่อนหนึ่งวัน มะรืนหลังจากกลับไปยกน้ำชาให้แก่ท่านพ่อของเจ้าแล้ววันต่อไปพวกเราคงต้องเดินทางไปยังชายแดนแคว้นอี้ด้วยกัน เพราะการค้าที่นั่นมีปัญหาให้ข้าต้องไปดูแลแก้
ตอนที่9ผ่านไปครู่หนึ่งสภาพของ ‘นายท่าน’ ที่ปรากฏต่อหน้าติงฮ่าว และฟางปี้เหลียนนั้นกลับช่างน่าอนาถอย่างยิ่ง ทว่าจะน่าอนาถเพียงใดพวกเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้ากลืนความขบขันลงท้องเท่านั้น “มิต้องตามหมอแน่นะเจ้าคะ?” จางเยว่เซียงนั้นที่ยังแตกตื่นเอ่ยถามคนที่นอนหงายหนุนตักของนางอยู่ด้วยความกังวลที่เจ้าบ่าวของตนเองนั้นเลือดกำเดาพุ่งออกมาราวกับน้ำพุเมื่อครู่ไม่หาย อากาศที่แคว้นฉู่นี้ต่อให้ช่วงนี้เป็นฤดูฝนแต่ก็หนาวจนคนที่มาจากยุคที่อยู่ได้ด้วยเครื่องปรับอากาศยังรู้สึกเย็นสบายไม่ต้องเปิดหน้าต่างนอนเลยสักคืน แต่บางทีหนานเฉิงกั๋วกงผู้นี้เขาคงเป็นโรคร้อนในเป็นแน่จึงเลือดกำเดาออกง่ายเช่นนี้ “ไม่ต้องหรอกพวกเจ้าก็ไปนอนกันได้แล้วข้านอนพักสักครู่ก็หายดีแล้ว” ขืนต้องไปตามหมอกันกลางดึกด้วยสาเหตุผู้เป็นเจ้าบ่าวนั้นเลือดกำเดาไหล เห็นทีชื่อเสียงเลวร้ายที่สะสมมาถึงสิบปีคงได้มลายหายไปจนสิ้นเป็นแน่ สวีฉีเฟิ่งคิดในใจด้วยความทดท้อไม่หายเพราะเพียงต้องขายหน้าท่านพ่อบ้านใหญ่กับอีกหนึ่งสาวใช้กับหนึ่งคนสนิทนี้เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ใดกันแล้ว “ขอรับนายท่าน อาเหลียน อาฮ่าวตามข้ามา” ซูจิ้งเหยาเรียกคนรับใช้ชาย
ตอนที่8ดังนั้นเมื่อสวีฉีเฟิ่งเห็นว่าได้เวลาสมควรแล้วเขาจึงขอตัวจากแขกที่คุ้นเคย เตรียมตัวไปหาเจ้าสาวในห้องหอจึงพบว่าเจ้าสาวคนงามของตนเองนอนหลับสนิทหมดสภาพไปเสียแล้ว “นายท่าน/นายท่าน” ติงฮ่าว และฟางปี้เหลียนเห็นผู้เป็น ‘เจ้าบ่าว’ ถูกเพื่อนฝูงโดยแกนนำคือคุณชายตู้พากันมาส่งจนถึงหน้าประตูเรือนหอ ทว่าเจ้าสาวกลับยังนอนหลับได้ไม่ไหวติงเสียแล้วพวกเขาจึงทำได้เพียงโค้งกายให้แก่ ‘นายท่าน’ จนศีรษะแทบโขกพื้นเท่านั้น ไม่มีใครกล้าไปปลุก ‘เจ้าสาว’ ที่หลับประหนึ่ง ‘ซ้อมตาย’ เลยสักคน “ติงฮ่าวไปเตรียมน้ำ เจ้าปี้เหลียนสินะไปจัดเตรียมอาภรณ์ให้ข้า” ทว่าสวีฉีเฟิ่งนั้นมิได้เดือดร้อนในเมื่อนางอยากจะหลับก็ให้หลับไปเขาไม่รีบร้อนอยู่แล้ว กายกำยำปลดอาภรณ์ชุดเจ้าบ่าวเนิบนาบโดยมีติงฮ่าวคอยช่วยเหลือผ่านไปครู่ได้ เขาจึงเดินออกมาด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่เพียงเท่านั้นไม่มีอาภรณ์ใดอยู่ภายในอีกเลย “พวกเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ติงฮ่าวเจ้าพาปี้เหลียนไปส่งที่ห้องพักของนางด้วย พรุ่งนี้หากข้าไม่เรียกก็ไม่ต้องเร่งเข้ามาที่เรือนนี้อีก” “ขอรับ/เจ้าค่ะ” สองคนสนิทจัดการงานหน้าที่เสร็จแล้วรับคำสั่ง จากนั้นก็เร่งจากไปไม่อยู่ข
ตอนที่7และแล้ววันวิวาห์ยิ่งใหญ่ระหว่างคุณหนูห้าของท่านนายอำเภอจางและหนานเฉิงกั๋วกงสวีฉีเฟิ่งก็บังเกิดขึ้นในวันที่ท้องฟ้าของต้นเดือนหกนั้นแสนจะแจ่มใจเป็นใจต่อฤกษ์มงคลนี้เสียเป็นยิ่งนัก ชาวบ้านเองต่างร่ำลือกันไปทั่วถึงการที่เจ้าสาวถูกเปลี่ยนไป แต่เพราะอำนาจและเงินทองของฝ่ายเจ้าบ่าวผู้ใดเล่าจะกล้าสงสัยความต้องการของเขา ดังนั้นพิธีต่าง ๆ จึงเริ่มดำเนินไปตามธรรมเนียมของชาวต้าเหลียงอย่างเคร่งครัดนั่นก็คือ ฝ่ายเจ้าสาวที่จะต้องไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวนั้น จะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ติดตัวไปด้วย รวมทั้งสิ่งของที่ต้องใช้ในงานพิธี ร่วมไปกับสินเดิมซึ่งมีดังต่อไปนี้ หนึ่งนั่นก็คือเอี๊ยมแต่งงาน เป็นเอี๊ยมผ้าแพรสีแดง มีกระเป๋าเล็ก ๆ ตรงหน้าอกเสื้อ ปักคำว่า ‘แป๊ะนี้ไห่เล่า’ ซึ่งมีความหมายสื่อว่า อยู่กินกันจนแก่เฒ่าซึ่งจางเยว่เซียงนางก็เพิ่งได้ทดลองสวมดูว่าต้องแก้ไขหรือไม่ไปเมื่อวันก่อนนี้นี่เอง ชิ้นที่สองคือเชือกแดงผูกเอี๊ยม ติดตัวหนังสือ และมีแผ่นหัวใจสีแดงสำหรับติดเครื่องประดับเช่นไข่มุกหรือทองคำแท้ แล้วแต่ว่าฐานะของเจ้าบ่าว และเจ้าสาวจะร่ำรวยเพียงใด ซึ่งในกรณีของจางเยว่เซียงนับว่าเจ้าบ่าว แ
ตอนที่6...จวนรองสกุลสวียังแคว้นฉู่... “นายท่าน” ซั่วเจามาพร้อมถุงผ้าเปื้อนเลือดวางลงตรงหน้าคนที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตวัดพู่กันอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ทั้งที่ก็เข้าสู่ต้นยามจื่อแล้วโดยแท้ สวีฉีเฟิ่งตวัดพู่กันลงไปบนตัวอักษรสุดท้ายแล้วจัดการพับเรียบร้อยเป็นจดหมายลับส่งออกไปกับพิราบสื่อสารสีขาวตัวอ้วนพี “เรียบร้อยดีทุกสิ่งใช่หรือไม่อาเจา” “เป็นไปตามบัญชาของนายท่านขอรับ” “ดี!” เรียวปากสวยเกินบุรุษแย้มยิ้มงดงามแล้วหยิบถุงผ้ามาเปิดออกเห็นสิ่งที่อยู่ภายในก็ไม่พูดสิ่งใด เดินออกจากห้องหนังสือในคฤหาสน์ของสกุลสวีแล้วมุ่งตรงไปยังสวนด้านหลังเรือนดอกท้อก็พบกับกรงขนาดใหญ่ที่มีเสือดำตัวใหญ่นอนอย่างเกียจคร้านอยู่ภายในถึงสองตัว “อาลี่” เจ้าตัวที่ใหญ่กว่าขยับหัวขึ้นดูแต่ไม่ได้ลุกขึ้นมา กลับเป็นตัวที่เล็กกว่าที่ลุกขึ้นมาแล้วบิดตัวราวปวดเมื่อยอย่างยิ่ง แล้วเดินยักย้ายส่ายสะโพกมารับเอามือของมนุษย์คาบไปนอนแทะเล่นยังอีกมุมหนึ่งของกรงราวกับกินของว่างมื้อดึก ซึ่งพอส่ง อาหาร ‘ขบเคี้ยว’ ยามดึกให้เสือดำกำลังตั้งครรภ์เรียบร้อยสวีฉีเฟิ่งก็เดินไปล้างมือในอ่างด้านข้างที่บ่าวชายถือรอเอาไว้ “นายท่านจะกลับเรือนนอน