Masukเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญในโลกใบนี้ อาจซื้อได้เพียงขนมปังแข็ง ๆ สองสามก้อนกับน้ำเปล่าหนึ่งถุงหนังเก่า ๆ แต่สำหรับกงหยางเหวินในยามนี้ มันคือสมบัติล้ำค่าที่เทียบเท่ากับทองคำทั้งภูเขา เขาเดินออกจากร้านขายของชำด้วยฝีเท้าที่แฝงความเร่งรีบ กอดเสบียงยังชีพเอาไว้ในอ้อมแขนราวกับเป็นแก้วตาดวงใจ
เขารีบจ้ำอ้าวกลับไปยังกระท่อมรังหนูของตัวเอง ปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียงฟาง หัวใจยังคงเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดหวั่น
“เสี่ยวซ่า” เขาเรียกในใจ “เปิดกล่องของขวัญสำหรับมือใหม่”
[กำลังเปิดกล่องของขวัญสำหรับมือใหม่ ท่านได้รับยาฟื้นฟู (ระดับต่ำ) x1 รองเท้าหนังแห่งความว่องไว (ระดับต่ำ) x1]
วัตถุสองชิ้นปรากฏขึ้นจากอากาศแล้วร่วงลงบนตักของเขา ชิ้นหนึ่งคือขวดยาเซรามิกขนาดเล็ก บรรจุของเหลวสีเขียวใสเอาไว้ ส่วนอีกชิ้นคือรองเท้าบูทหนังสัตว์ที่ดูธรรมดา แต่เมื่อเพ่งมองดี ๆ กลับรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่จาง ๆ
[ยาฟื้นฟู (ระดับต่ำ) สามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้ 30 หน่วยทันที]
[รองเท้าหนังแห่งความว่องไว (ระดับต่ำ) เพิ่มค่าความว่องไว +1]
“โอ้! ของดีนี่หว่า!” กงหยางเหวินอุทานออกมาอย่างลืมตัว แม้ยาฟื้นฟูจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่รองเท้าที่เพิ่มค่าสถานะได้นี่ถือเป็นของวิเศษสำหรับเขาในตอนนี้เลยทีเดียว ค่าความว่องไวที่เพิ่มจาก 6 เป็น 7 อาจจะดูไม่มากมาย แต่มันคือความแตกต่างระหว่างการวิ่งหนีหมาป่าทันกับการกลายเป็นมื้อเย็นของมัน
เขารีบสวมรองเท้าคู่ใหม่ทันที มันพอดีกับเท้าของเขาราวกับสั่งตัด ความรู้สึกเบาสบายแผ่ซ่านจากฝ่าเท้าขึ้นมา ทำให้ร่างกายที่เคยหนักอึ้งดูเหมือนจะกระฉับกระเฉงขึ้นมาเล็กน้อย เขาลองกระโดดเหยาะ ๆ อยู่กับที่ รู้สึกได้ทันทีว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองคล่องแคล่วขึ้นจริง ๆ
“เอาล่ะ ทุกอย่างพร้อมแล้ว” เขามองดูเสบียงและของวิเศษชิ้นใหม่ด้วยแววตาแห่งความหวัง “เหลือแค่รอให้ตะวันตกดินเท่านั้น ปฏิบัติการแหกเมืองก็จะเริ่มขึ้น!”
[การเดินทางในป่ายามค่ำคืนด้วยตัวคนเดียวสำหรับเลเวล 1 มีอัตราการรอดชีวิตเทียบเท่ากับก้อนไอศกรีมในเตาหลอม]
“หุบปากไปเลยเสี่ยวซ่า! ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่” หยางเหวินเถียงในใจ “ตามที่ข้าเขียนไว้ กำแพงเมืองด้านตะวันออกมีจุดที่เป็นรั้วไม้ ไม่ใช่กำแพงหิน เพราะเป็นเขตกสิกรรม มันมีช่องโหว่ที่พวกเด็ก ๆ ชอบใช้ลอบออกไปเล่นอยู่ ข้าจะใช้เส้นทางนั้น ข้าจะหนีไปทางทิศตะวันออก ส่วนไอ้ธงมรณะของข้าน่ะมันอยู่ทางทิศตะวันตก คนละโยชน์เลย!”
นี่คือความได้เปรียบเพียงหนึ่งเดียวของเขาในฐานะผู้สร้าง เขารู้ทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้ดีกว่าใคร แผนการของเขาสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ อย่างน้อยเขาก็คิดเช่นนั้น
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนน่าอึดอัด ในที่สุดดวงอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้า ความมืดมิดค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาปกคลุมเมืองชิงเย่ราวกับพญามัจจุราชที่กางปีกสีดำสนิท แสงจากคบเพลิง และตะเกียงตามบ้านเรือนเริ่มส่องสว่างขึ้น เป็นดั่งดวงดาวบนผืนดิน
กงหยางเหวินสะพายถุงน้ำ คว้าขนมปังยัดใส่เสื้อ สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วค่อย ๆ แง้มประตูออกไป เขาย่องเท้าออกจากกระท่อมราวกับแมวขโมย อาศัยความมืดและความชำนาญในตรอกซอกซอยที่เขามีในความทรงจำจากการเขียน ลัดเลาะไปตามเงาของอาคารต่าง ๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังกำแพงฝั่งตะวันออก
รองเท้าคู่ใหม่แสดงประสิทธิภาพของมันอย่างน่าอัศจรรย์ ฝีเท้าของเขาเบาและเร็วกว่าที่เคยเป็น ทำให้เขาสามารถหลบหลีกทหารยามที่เดินตรวจตราได้อย่างง่ายดาย ในที่สุดเขาก็มาถึงจุดหมาย มันเป็นรั้วไม้เก่า ๆ ที่มีแผ่นไม้หนึ่งแผ่นหลวมจนสามารถแงะออกให้คนลอดผ่านไปได้จริง ๆ
“สำเร็จ!” เขายิ้มกว้างอย่างลิงโลด ค่อย ๆ แงะแผ่นไม้ออกแล้วมุดตัวลอดผ่านไปอย่างทุลักทุเล เมื่อเท้าทั้งสองข้างได้สัมผัสกับพื้นหญ้านุ่ม ๆ นอกกำแพงเมือง อิสรภาพก็หอมหวานราวกับน้ำผึ้งเดือนห้า
เขารอดแล้ว!
เพื่อความปลอดภัย เขาตัดสินใจวิ่งเข้าป่าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ไม่มีใครตามมาเจอ เขาสาวเท้าวิ่งสุดฝีเท้า มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกอย่างไม่คิดชีวิต ทว่า โชคชะตาช่างเป็นนักเล่นกลที่เจ้าเล่ห์นัก มันมักจะสับเปลี่ยนไพ่ในมือเราเสมอในตอนที่เราคิดว่ากำลังจะชนะ
ความมืดมิดในป่าทึบนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้ เสียงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านกิ่งไม้ฟังดูราวกับเสียงกรีดร้องของวิญญาณ เสียงสัตว์กลางคืนที่ส่งเสียงร้องเป็นระยะ ๆ ทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะอยู่ตลอดเวลา และที่เลวร้ายที่สุดคือเขาไม่คุ้นชินกับความเร็วใหม่ของตัวเอง
เคร้ง!
เท้าของเขาสะดุดเข้ากับรากไม้ที่มองไม่เห็นอย่างจัง ร่างทั้งร่างเสียหลักลอยคว้างกลางอากาศ ก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างแรง
“โอ๊ย!”
เขานอนแผ่หลาอยู่บนกองใบไม้แห้ง ความเจ็บแล่นปราดไปทั่วทั้งตัว แต่ที่น่าตกใจกว่าคือ เขารู้สึกมึนงงจนจำทิศทางไม่ได้เสียแล้ว ตอนที่ล้มเขาน่าจะกลิ้งไปหลายตลบ ตอนนี้ทิศไหนเป็นทิศไหนกันแน่?
“ชิบหายแล้ว...” เขาลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล พยายามเพ่งมองฝ่าความมืด แต่รอบตัวเขามีเพียงต้นไม้ที่ดูคล้ายกันไปหมด “เสี่ยวซ่า บอกทิศที!”
[ระบบไม่มีฟังก์ชันเข็มทิศ หากต้องการ ท่านสามารถซื้อได้ในร้านค้าระบบ ราคา 10 แต้มเอาตัวรอด]
“ตอนนี้เนี่ยนะ!” เขาอยากจะบ้าตาย นี่มันสถานการณ์ขายของที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ขณะที่กำลังสับสนอยู่นั่นเอง หูของเขาก็แว่วเสียงบางอย่าง เป็นเสียงคำรามต่ำ ๆ ของสัตว์ร้าย ตามด้วยเสียงโลหะกระทบกัน
หมาป่าเขี้ยวเหล็ก!
ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวเป็นอย่างแรก สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่งให้เขาวิ่ง วิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเสียงนั่นให้เร็วที่สุด
เขาไม่สนใจทิศตะวันออกหรือตะวันตกอีกแล้ว ขอแค่หนีให้พ้นจากเสียงนั่นก็พอ เขาวิ่งฝ่าพงหนาม ลัดเลาะไปตามต้นไม้อย่างไม่คิดชีวิต เสียงหัวใจของตัวเองดังกระหึ่มอยู่ในอกจนแทบจะกลบเสียงรอบข้างทั้งหมด
เขาไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเรี่ยวแรงของเขากำลังจะหมดลง ในตอนที่เขากำลังจะสิ้นหวังนั่นเอง เขาก็เห็นแสงจันทร์สาดส่องลงมายังที่โล่งเล็ก ๆ เบื้องหน้า เป็นสัญญาณว่าเขาวิ่งทะลุแนวป่าทึบออกมาได้แล้ว
ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย เขากระโจนออกจากพุ่มไม้ แล้วก็ต้องเบิกตากว้างจนสุดขีด ร่างกายแข็งทื่อราวกับถูกสาปเป็นหิน
ณ กลางทุ่งหญ้าโล่งเล็ก ๆ แห่งนั้น ใต้แสงจันทร์สีเงินยวง ร่างของชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำสนิทผู้หนึ่งกำลังยืนพิงต้นไม้อยู่ ข้างกายของเขามีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งปักอยู่บนพื้น ที่เท้าของเขามีซากของหมาป่าสีเทาตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งจมกองเลือด และที่สีข้างของชายหนุ่มคนนั้นก็มีรอยแผลยาวที่โลหิตกำลังไหลซึมออกมาเช่นกัน
ใบหน้าของชายผู้นั้นหล่อเหลาคมคายราวกับรูปสลัก ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวราตรี แม้จะอยู่ในสภาพบาดเจ็บ แต่รัศมีแห่งความเยือกเย็นและน่าเกรงขามก็ไม่ได้ลดทอนลงเลยแม้แต่น้อย
กงหยางเหวินจำเขาได้ เขาจำใบหน้าที่ตัวเองบรรยายไว้อย่างละเอียดยิบได้...
เจิ้งเฟิงเยวี่ย!
พระเอกของเรื่อง! คนที่เขาพยายามหนีแทบตาย! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่! ตามบทมันยังไม่ถึงเวลานี่หว่า!
ราวกับรับรู้ได้ถึงการมาของผู้บุกรุก ดวงตาเย็นชาคู่นั้นก็ตวัดมาจับจ้องที่เขาอย่างรวดเร็ว ความกดดันอันมหาศาลแผ่กระจายออกมาจนหยางเหวินแทบหยุดหายใจ
แผนการที่เขาวาดไว้อย่างสวยหรูพังทลายลงมาราวกับปราสาททราย เขาเหมือนผีเสื้อที่บินหนีพายุ แต่สุดท้ายก็บินเข้าสู่ใจกลางของพายุนั่นเอง
“เจ้าเป็นใคร?”
น้ำเสียงเยียบเย็นที่เอ่ยถามออกมานั้น ประหนึ่งตะปูตัวสุดท้ายที่ตอกฝาโลงแห่งความพยายามของกงหยางเหวินโดยสมบูรณ์
“ผู้สมัครคนต่อไป... กงหยางเหวิน แห่งเมืองชิงเย่!”ณ มุมหนึ่งหลังเสาหิน ร่างที่พยายามทำตัวลีบเล็กที่สุดสะดุ้งเฮือก กงหยางเหวินหลับตาปี๋ ก่นด่าโชคชะตาในใจเป็นรอบที่ล้าน แต่แล้วเขาก็ลืมตาขึ้น‘เดี๋ยวนะ ข้าจะกลัวอะไร?’ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นในสมองที่กำลังตื่นตระหนก เขานึกย้อนไปถึงวันที่เขาตื่นขึ้นมาในกระท่อมผุพัง วันที่เขาได้เห็นหน้าต่างสถานะของตัวเองเป็นครั้งแรก‘พละกำลัง 5 ความว่องไว 6 สติปัญญา 7 ความทนทาน 4 โชค 1’ ใช่แล้ว นี่มันค่าสถานะของสไลม์เลเวลหนึ่งชัด ๆ เขามันคือตัวประกอบที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ใด ๆในสถานการณ์อื่น นี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังที่สุด แต่สำหรับวินาทีนี้มันคือใบเบิกทางสู่อิสรภาพ มันคือตั๋วเที่ยวเดียวที่จะพาเขาหลุดพ้นจากพันธนาการของเจิ้งเฟิงเยวี่ย“ฮ่า ๆๆ” เขาแทบจะหัวเราะออกมา “สวรรค์มีตา! เจิ้งเฟิงเยวี่ยสอบผ่านเพราะเขาเก่งกาจ แต่ข้า! ข้าจะสอบตกเพราะข้ามันกาก!”นี่คือแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุด ‘แผนการสอบตก’ เขาไม่ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอ เพราะเขาอ่อนแอจริง ๆกงหยางเหวินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก้าวเท้าออกจากที่ซ่อนด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง เขาเดินไปยังกลางลานป
กงหยางเหวินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นไก่ป่าหลงฝูงหงส์อย่างแท้จริงเขาถูกเจิ้งเฟิงเยวี่ยลากมาลงทะเบียนด้วยจนได้ และบัดนี้กำลังยืนตัวลีบซ่อนอยู่หลังเสาหินต้นหนึ่ง พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุด ขณะที่ผู้สมัครคนอื่น ๆ สวมใส่อาภรณ์ตระกูลที่ปักเย็บอย่างวิจิตร บ้างก็สวมเกราะหนังชั้นดี เขากลับอยู่ในชุดผ้าป่านธรรมดาที่เพิ่งซื้อมาจากเมืองชิงเย่ ดูไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้ที่ติดตามคุณชายมาสอบ“กลุ่มต่อไป!” เสียงอาจารย์ผู้คุมสอบดังขึ้นอย่างเฉียบขาด “เจิ้งเฟิงเยวี่ย แห่งเมืองชิงเย่ ก้าวเข้าสู่ลานประลอง!”ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีเข้ม เจิ้งเฟิงเยวี่ยไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาก้าวเท้าออกจากกลุ่มผู้สมัครอย่างมั่นคง ท่วงท่าสง่างามราวนกกระเรียนที่เยื้องย่าง แผ่นหลังตั้งตรงดุจกระบี่ที่ยังไม่ถูกชักออกจากฝัก รัศมีเยียบเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แผ่ออกมาจาง ๆ ทำให้เสียงซุบซิบโดยรอบเงียบลงไปหลายส่วน“นั่นใครน่ะ? หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่มาจากเมืองชิงเย่ เมืองบ้านนอกนั่นมีคนแบบนี้ด้วยรึ?”“ดูท่าทางสงบนิ่งนั่นสิ ไม่เหมือนคนที่กำลังจะเข้าทดสอบเลย เหมือนมาเดินเล่นในสวนหลังบ้านเสียมากกว่า”
เมื่อม่านหมอกยามเช้าจางลง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็กทำให้กงหยางเหวินถึงกับลืมหายใจเบื้องหน้าของพวกเขาคือกำแพงเมืองมหึมาที่ทอดกายยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับมังกรหินที่กำลังหลับใหล มันสูงตระหง่านเสียดฟ้า หอคอยสังเกตการณ์ตั้งตระหง่านเป็นระยะ ๆ ธงทิวโบกสะบัดอย่างองอาจ นี่ไม่ใช่กำแพงไม้ผุพังที่เขาเคยลอบมุดหนีออกมาทันทีที่ผ่านประตูเมือง กลิ่นอายของความเจริญก็ปะทะเข้าหน้าอย่างจัง คลื่นมนุษย์ที่สวมใส่อาภรณ์หลากสีสันเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจดังเซ็งแซ่จนแทบไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง โรงเตี๊ยมและร้านค้าไม่ได้เป็นเพียงกระท่อมไม้ชั้นเดียวอีกต่อไป แต่กลับเป็นอาคารสูงสามชั้น สี่ชั้น ที่สลักเสลาอย่างวิจิตรงดงาม กลิ่นหอมของเครื่องเทศราคาแพงและอาหารเลิศรสลอยตลบอบอวลกงหยางเหวินตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง เขารู้สึกไม่ต่างอะไรกับหลิวเหล่าเหล่าเข้าสวนทัศนา[1] นี่คือเมืองหลวงซีหยางที่เขาเคยจินตนาการไว้ในหน้ากระดาษ แต่ของจริงกลับยิ่งใหญ่และมีชีวิตชีวากว่าจินตนาการของเขานับร้อยเท่าทว่าบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้างกายเขากลับมีท่าทีที่แตกต่างออกไปเจิ้งเฟิงเยวี่ยยังคงสงบนิ่งดุจหินผา แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แววตาของเขากล
เจิ้งเฟิงเยวี่ยกระตุกบังเหียนม้าอย่างแรงจนมันร้องฮี้ สองตาของเขาที่เคยสงบนิ่งกลับทอประกายเจิดจ้าจับจ้องไปยังป่าทึบทางซ้ายมือ ราวกับเพิ่งมองทะลุกลลวงของโลกทั้งใบได้สำเร็จ‘ผู้สร้าง!’ นี่คือความคิดเดียวในหัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ย ‘เขาพูดอีกแล้ว! เขาใช้คำว่าคนเขียน!’คำพูดเมื่อครู่ไม่ใช่การตัดพ้อต่อโชคชะตา แต่มันคือการประกาศิต มันคือการชี้แนะจากผู้สร้างที่ทนเห็นหุ่นเชิดเช่นเขาเดินทางผิดพลาดบนเส้นทางที่เขียนไว้ไม่ดีอีกต่อไปไม่ได้“ท่านหยางเหวิน!” เจิ้งเฟิงเยวี่ยหันขวับมา สีหน้าของเขาจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทางลัดมันอยู่ในป่านี้ใช่หรือไม่?”กงหยางเหวินที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำลายกฎแห่งความเงียบของตัวเองไปเสียแล้ว ถึงกับแข็งทื่อเป็นหิน‘ฉิบหาย ข้าพูดอะไรออกไป!!’“เอ่อ... ข้า...” กงหยางเหวินอ้าปากพะงาบ ๆ พยายามจะแก้ตัว “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย อากาศมันร้อนน่ะ ท่านอย่า...”“ข้าเข้าใจแล้ว” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขากระแทกส้นเท้าเข้ากับสีข้างม้า “ในเมื่อท่านชี้แนะแล้ว ข้าจะลังเลได้อย่างไร!”สิ้นเสียงนั้น ม้าศึกคู่ใจของเขาก็พุ่งทะยานออกจากถนนหลวง เปลี่ยนทิศทางบุกฝ่าพงหนามและ
ทว่าสำหรับกงหยางเหวินแล้ว ฉายานี้หนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซานกดทับบ่า“ข้าตัดสินใจแล้ว” เขาบอกกับตัวเองในใจ ขณะที่ม้าคู่ใจเริ่มย่างก้าวออกจากเขตเมือง มุ่งหน้าสู่ถนนหลวงสายหลัก “นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะยึดมั่นในคติพูดมากยากนาน ข้าจะเป็นดั่งปลาในห้วงน้ำลึก จะไม่ปริปากพูดสิ่งใดที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป!”นี่คือแผนการเอาตัวรอดขั้นสูงสุดของเขา หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทุกคำพูด ทุกคำบ่น แม้กระทั่งการจาม ล้วนสามารถนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากวังวนแห่งความเข้าใจผิดนี้ ก็คือการปิดปากเงียบเสียเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ควบม้าอยู่ข้าง ๆ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป สหายร่วมทางของเขาที่ปกติมักจะมีท่าทีล่อกแล่กหรือบ่นพึมพำ บัดนี้กลับนิ่งขรึม ดวงตาจับจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่ไหวติง‘เขากำลังเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งสยบความเคลื่อนไหว’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยครุ่นคิดในใจด้วยความเลื่อมใส ‘บรรยากาศรอบตัวเขาดูสงบเย็นยิ่งนัก นี่คือจิตของผู้บรรลุธรรมโดยแท้’ความจริงแล้ว กงหยางเหวินแค่กำลังเกร็งจนแทบหยุดหายใจ เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่พูดอะไรออกมาเสียงกีบม้าดังกระทบพื้นด
หลังจากจัดการกับภัยคุกคามจากโจรภูเขาที่เหลือรอดจนสิ้นซากแล้ว การเดินทางของทั้งสองก็กลับสู่ความสงบสุขครั้งหนึ่ง เจิ้งเฟิงเยวี่ยดูจะยิ่งให้ความเคารพยำเกรงในตัวอาจารย์ผู้ซ่อนเร้นของเขามากขึ้นไปอีกหลายส่วน ทุกการกระทำของหยางเหวินไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ล้วนถูกตีความไปในเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งได้เสมอส่วนกงหยางเหวินนั้นเขาเริ่มจะปลงตกกับชีวิตแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักแสดงตลกที่ถูกโชคชะตาผลักให้ขึ้นไปแสดงบนเวทีละครโศกนาฏกรรม ไม่ว่าจะพยายามเล่นมุกตลกแค่ไหน คนดูก็ยังคงร้องไห้และซาบซึ้งไปกับการแสดงอันลึกซึ้งของเขาอยู่ดีหลายวันต่อมา พวกเขาได้เดินทางเข้าสู่แคว้นที่มีชื่อเสียงด้านความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณและสัตว์วิเศษหายาก ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ พวกเขาได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจเข้าโดยบังเอิญ“พวกท่านได้ยินหรือไม่ ว่ากันว่าเมื่อคืนมีคนเห็นบุปผาจันทราบานสะพรั่งอยู่ในทุ่งทางตะวันออกของหมู่บ้านด้วยล่ะ” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“จริงรึ! บุปผาจันทราในตำนานนั่นน่ะนะ ว่ากันว่ามันจะเบ่งบานเฉพาะในคืนที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างเต็มที่เท่านั้น และน้ำค้างที่เกาะอยู่บนกลีบของมันก







