Share

<4> โชคชะตาเล่นตลก

last update Terakhir Diperbarui: 2025-09-06 22:25:46

เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญในโลกใบนี้ อาจซื้อได้เพียงขนมปังแข็ง ๆ สองสามก้อนกับน้ำเปล่าหนึ่งถุงหนังเก่า ๆ แต่สำหรับกงหยางเหวินในยามนี้ มันคือสมบัติล้ำค่าที่เทียบเท่ากับทองคำทั้งภูเขา เขาเดินออกจากร้านขายของชำด้วยฝีเท้าที่แฝงความเร่งรีบ กอดเสบียงยังชีพเอาไว้ในอ้อมแขนราวกับเป็นแก้วตาดวงใจ

เขารีบจ้ำอ้าวกลับไปยังกระท่อมรังหนูของตัวเอง ปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียงฟาง หัวใจยังคงเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดหวั่น

“เสี่ยวซ่า” เขาเรียกในใจ “เปิดกล่องของขวัญสำหรับมือใหม่”

[กำลังเปิดกล่องของขวัญสำหรับมือใหม่ ท่านได้รับยาฟื้นฟู (ระดับต่ำ) x1 รองเท้าหนังแห่งความว่องไว (ระดับต่ำ) x1]

วัตถุสองชิ้นปรากฏขึ้นจากอากาศแล้วร่วงลงบนตักของเขา ชิ้นหนึ่งคือขวดยาเซรามิกขนาดเล็ก บรรจุของเหลวสีเขียวใสเอาไว้ ส่วนอีกชิ้นคือรองเท้าบูทหนังสัตว์ที่ดูธรรมดา แต่เมื่อเพ่งมองดี ๆ กลับรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่จาง ๆ

[ยาฟื้นฟู (ระดับต่ำ) สามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้ 30 หน่วยทันที]

[รองเท้าหนังแห่งความว่องไว (ระดับต่ำ) เพิ่มค่าความว่องไว +1]

“โอ้! ของดีนี่หว่า!” กงหยางเหวินอุทานออกมาอย่างลืมตัว แม้ยาฟื้นฟูจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่รองเท้าที่เพิ่มค่าสถานะได้นี่ถือเป็นของวิเศษสำหรับเขาในตอนนี้เลยทีเดียว ค่าความว่องไวที่เพิ่มจาก 6 เป็น 7 อาจจะดูไม่มากมาย แต่มันคือความแตกต่างระหว่างการวิ่งหนีหมาป่าทันกับการกลายเป็นมื้อเย็นของมัน

เขารีบสวมรองเท้าคู่ใหม่ทันที มันพอดีกับเท้าของเขาราวกับสั่งตัด ความรู้สึกเบาสบายแผ่ซ่านจากฝ่าเท้าขึ้นมา ทำให้ร่างกายที่เคยหนักอึ้งดูเหมือนจะกระฉับกระเฉงขึ้นมาเล็กน้อย เขาลองกระโดดเหยาะ ๆ อยู่กับที่ รู้สึกได้ทันทีว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองคล่องแคล่วขึ้นจริง ๆ

“เอาล่ะ ทุกอย่างพร้อมแล้ว” เขามองดูเสบียงและของวิเศษชิ้นใหม่ด้วยแววตาแห่งความหวัง “เหลือแค่รอให้ตะวันตกดินเท่านั้น ปฏิบัติการแหกเมืองก็จะเริ่มขึ้น!”

[การเดินทางในป่ายามค่ำคืนด้วยตัวคนเดียวสำหรับเลเวล 1 มีอัตราการรอดชีวิตเทียบเท่ากับก้อนไอศกรีมในเตาหลอม]

“หุบปากไปเลยเสี่ยวซ่า! ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่” หยางเหวินเถียงในใจ “ตามที่ข้าเขียนไว้ กำแพงเมืองด้านตะวันออกมีจุดที่เป็นรั้วไม้ ไม่ใช่กำแพงหิน เพราะเป็นเขตกสิกรรม มันมีช่องโหว่ที่พวกเด็ก ๆ ชอบใช้ลอบออกไปเล่นอยู่ ข้าจะใช้เส้นทางนั้น ข้าจะหนีไปทางทิศตะวันออก ส่วนไอ้ธงมรณะของข้าน่ะมันอยู่ทางทิศตะวันตก คนละโยชน์เลย!”

นี่คือความได้เปรียบเพียงหนึ่งเดียวของเขาในฐานะผู้สร้าง เขารู้ทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้ดีกว่าใคร แผนการของเขาสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ อย่างน้อยเขาก็คิดเช่นนั้น

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนน่าอึดอัด ในที่สุดดวงอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้า ความมืดมิดค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาปกคลุมเมืองชิงเย่ราวกับพญามัจจุราชที่กางปีกสีดำสนิท แสงจากคบเพลิง และตะเกียงตามบ้านเรือนเริ่มส่องสว่างขึ้น เป็นดั่งดวงดาวบนผืนดิน

กงหยางเหวินสะพายถุงน้ำ คว้าขนมปังยัดใส่เสื้อ สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วค่อย ๆ แง้มประตูออกไป เขาย่องเท้าออกจากกระท่อมราวกับแมวขโมย อาศัยความมืดและความชำนาญในตรอกซอกซอยที่เขามีในความทรงจำจากการเขียน ลัดเลาะไปตามเงาของอาคารต่าง ๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังกำแพงฝั่งตะวันออก

รองเท้าคู่ใหม่แสดงประสิทธิภาพของมันอย่างน่าอัศจรรย์ ฝีเท้าของเขาเบาและเร็วกว่าที่เคยเป็น ทำให้เขาสามารถหลบหลีกทหารยามที่เดินตรวจตราได้อย่างง่ายดาย ในที่สุดเขาก็มาถึงจุดหมาย มันเป็นรั้วไม้เก่า ๆ ที่มีแผ่นไม้หนึ่งแผ่นหลวมจนสามารถแงะออกให้คนลอดผ่านไปได้จริง ๆ

“สำเร็จ!” เขายิ้มกว้างอย่างลิงโลด ค่อย ๆ แงะแผ่นไม้ออกแล้วมุดตัวลอดผ่านไปอย่างทุลักทุเล เมื่อเท้าทั้งสองข้างได้สัมผัสกับพื้นหญ้านุ่ม ๆ นอกกำแพงเมือง อิสรภาพก็หอมหวานราวกับน้ำผึ้งเดือนห้า

เขารอดแล้ว!

เพื่อความปลอดภัย เขาตัดสินใจวิ่งเข้าป่าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ไม่มีใครตามมาเจอ เขาสาวเท้าวิ่งสุดฝีเท้า มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกอย่างไม่คิดชีวิต ทว่า โชคชะตาช่างเป็นนักเล่นกลที่เจ้าเล่ห์นัก มันมักจะสับเปลี่ยนไพ่ในมือเราเสมอในตอนที่เราคิดว่ากำลังจะชนะ

ความมืดมิดในป่าทึบนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้ เสียงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านกิ่งไม้ฟังดูราวกับเสียงกรีดร้องของวิญญาณ เสียงสัตว์กลางคืนที่ส่งเสียงร้องเป็นระยะ ๆ ทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะอยู่ตลอดเวลา และที่เลวร้ายที่สุดคือเขาไม่คุ้นชินกับความเร็วใหม่ของตัวเอง

เคร้ง!

เท้าของเขาสะดุดเข้ากับรากไม้ที่มองไม่เห็นอย่างจัง ร่างทั้งร่างเสียหลักลอยคว้างกลางอากาศ ก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างแรง

“โอ๊ย!”

เขานอนแผ่หลาอยู่บนกองใบไม้แห้ง ความเจ็บแล่นปราดไปทั่วทั้งตัว แต่ที่น่าตกใจกว่าคือ เขารู้สึกมึนงงจนจำทิศทางไม่ได้เสียแล้ว ตอนที่ล้มเขาน่าจะกลิ้งไปหลายตลบ ตอนนี้ทิศไหนเป็นทิศไหนกันแน่?

“ชิบหายแล้ว...” เขาลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล พยายามเพ่งมองฝ่าความมืด แต่รอบตัวเขามีเพียงต้นไม้ที่ดูคล้ายกันไปหมด “เสี่ยวซ่า บอกทิศที!”

[ระบบไม่มีฟังก์ชันเข็มทิศ หากต้องการ ท่านสามารถซื้อได้ในร้านค้าระบบ ราคา 10 แต้มเอาตัวรอด]

“ตอนนี้เนี่ยนะ!” เขาอยากจะบ้าตาย นี่มันสถานการณ์ขายของที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ขณะที่กำลังสับสนอยู่นั่นเอง หูของเขาก็แว่วเสียงบางอย่าง เป็นเสียงคำรามต่ำ ๆ ของสัตว์ร้าย ตามด้วยเสียงโลหะกระทบกัน

หมาป่าเขี้ยวเหล็ก!

ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวเป็นอย่างแรก สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่งให้เขาวิ่ง วิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเสียงนั่นให้เร็วที่สุด

เขาไม่สนใจทิศตะวันออกหรือตะวันตกอีกแล้ว ขอแค่หนีให้พ้นจากเสียงนั่นก็พอ เขาวิ่งฝ่าพงหนาม ลัดเลาะไปตามต้นไม้อย่างไม่คิดชีวิต เสียงหัวใจของตัวเองดังกระหึ่มอยู่ในอกจนแทบจะกลบเสียงรอบข้างทั้งหมด

เขาไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเรี่ยวแรงของเขากำลังจะหมดลง ในตอนที่เขากำลังจะสิ้นหวังนั่นเอง เขาก็เห็นแสงจันทร์สาดส่องลงมายังที่โล่งเล็ก ๆ เบื้องหน้า เป็นสัญญาณว่าเขาวิ่งทะลุแนวป่าทึบออกมาได้แล้ว

ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย เขากระโจนออกจากพุ่มไม้ แล้วก็ต้องเบิกตากว้างจนสุดขีด ร่างกายแข็งทื่อราวกับถูกสาปเป็นหิน

ณ กลางทุ่งหญ้าโล่งเล็ก ๆ แห่งนั้น ใต้แสงจันทร์สีเงินยวง ร่างของชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำสนิทผู้หนึ่งกำลังยืนพิงต้นไม้อยู่ ข้างกายของเขามีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งปักอยู่บนพื้น ที่เท้าของเขามีซากของหมาป่าสีเทาตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งจมกองเลือด และที่สีข้างของชายหนุ่มคนนั้นก็มีรอยแผลยาวที่โลหิตกำลังไหลซึมออกมาเช่นกัน

ใบหน้าของชายผู้นั้นหล่อเหลาคมคายราวกับรูปสลัก ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวราตรี แม้จะอยู่ในสภาพบาดเจ็บ แต่รัศมีแห่งความเยือกเย็นและน่าเกรงขามก็ไม่ได้ลดทอนลงเลยแม้แต่น้อย

กงหยางเหวินจำเขาได้ เขาจำใบหน้าที่ตัวเองบรรยายไว้อย่างละเอียดยิบได้...

เจิ้งเฟิงเยวี่ย!

พระเอกของเรื่อง! คนที่เขาพยายามหนีแทบตาย! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่! ตามบทมันยังไม่ถึงเวลานี่หว่า!

ราวกับรับรู้ได้ถึงการมาของผู้บุกรุก ดวงตาเย็นชาคู่นั้นก็ตวัดมาจับจ้องที่เขาอย่างรวดเร็ว ความกดดันอันมหาศาลแผ่กระจายออกมาจนหยางเหวินแทบหยุดหายใจ

แผนการที่เขาวาดไว้อย่างสวยหรูพังทลายลงมาราวกับปราสาททราย เขาเหมือนผีเสื้อที่บินหนีพายุ แต่สุดท้ายก็บินเข้าสู่ใจกลางของพายุนั่นเอง

“เจ้าเป็นใคร?”

น้ำเสียงเยียบเย็นที่เอ่ยถามออกมานั้น ประหนึ่งตะปูตัวสุดท้ายที่ตอกฝาโลงแห่งความพยายามของกงหยางเหวินโดยสมบูรณ์

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <14> สมบัติของผู้เขียน

    มันเปรียบเสมือนบทละครที่ถูกขยำทิ้งลงถังขยะไปแล้ว แต่โลกใบนี้กลับเก็บมันขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วนำมาจัดแสดงใหม่อย่างหน้าตาเฉย!ความจริงข้อนี้ทำให้หยางเหวินรู้สึกหนาวเยือกไปถึงไขกระดูก อำนาจในฐานะผู้สร้างของเขามันลึกล้ำ และน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก“ท่านรู้ที่มาของมันด้วยรึ?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยถามเมื่อเห็นหยางเหวินยืนนิ่งไปนาน การแสดงออกของหยางเหวินในสายตาของเขาคือความไม่แยแสต่อของล้ำค่า ราวกับว่าสมบัติระดับนี้เป็นเพียงของธรรมดาสามัญสำหรับเขาเท่านั้น“อ่า... ก็เคยได้ยินมาบ้าง” หยางเหวินตอบเสียงอ่อย พลางรีบเก็บซ่อนความตื่นตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย “ในเมื่อมันเป็นยาชั้นดีเช่นนี้ ท่านก็รีบดื่มมันเสียสิ แผลของท่านจะได้หายสนิท”เขากล่าวพลางผายมือไปยังขวดยา มันเป็นการกระทำที่ออกมาจากใจจริง เพราะยิ่งเจิ้งเฟิงเยวี่ยหายเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นเจิ้งเฟิงเยวี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของหยางเหวิน เขาเห็นเพียงความว่างเปล่า แต่เขากลับตีค

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <13> นักต้มตุ๋นไม่สมัครใจ

    “บ้าที่สุด! ติดอยู่ในถ้ำที่ตัวเองไม่ได้เขียนด้วยซ้ำ! ไอ้เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดของข้าก็นำมาสู่หายนะชัด ๆ! นี่ข้าเป็นนักเขียนประเภทไหนกันวะเนี่ย ขนาดพล็อตของตัวเองยังคาดเดาไม่ได้เลย!”เจิ้งเฟิงเยวี่ยยืนมองดูพฤติกรรมแปลก ๆ ของหยางเหวินอย่างเงียบ ๆ ในสายตาของเขา การเดินวนไปวนมา และคำพูดพึมพำเหล่านั้นไม่ใช่การเสียสติ แต่เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมอย่างลึกซึ้งต่างหาก“แล้วดูกำแพงบ้านี่สิ!” หยางเหวินชี้ไปที่ทางตันอย่างหัวเสีย “โคตรจะดาษดื่น! ทางตันหลังอุโมงค์ถล่มเนี่ยนะ! ถ้าข้าเป็นคนเขียนล่ะก็ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใส่ปริศนาอะไรไว้บนกำแพงบ้าง หรือไม่ก็มีสวิตช์ลับซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่กำแพงโง่ ๆ น่าเบื่อแบบนี้!”เขาเดินเข้าไปทุบกำแพงเบา ๆ ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวพิงกำแพงนั้นอย่างหมดแรง “โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้าเลยโว้ย”และในวินาทีที่แผ่นหลังของเขาพิงลงไปบนจุดหนึ่งของกำแพงนั่นเอง...ครืด... ครืดดดดด...เสียงหินเสียดสีกันดังก้องขึ้นมาจาก

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <12> เข้าสู่ถ้ำก็อบลิน

    ทั้งสองคนเดินเรียงหนึ่งเข้าไปในอุโมงค์ลับ บรรยากาศข้างในนั้นอับทึบและคับแคบยิ่งกว่าข้างนอกหลายเท่า พวกเขาต้องเดินเบียดเสียดไปตามทางเดินที่กว้างพอสำหรับคนคนเดียวเท่านั้น ความมั่นใจของกงหยางเหวินที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อยเมื่อเขาตระหนักว่า ในความทรงจำของเขาอุโมงค์นี้มันควรจะเงียบไม่ใช่หรอกเหรอ แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินเสียงบางอย่างกึกกัก... กึกกัก...มันเป็นเสียงขูดขีดที่ดังมาจากข้างหน้า เป็นเสียงที่น่ารำคาญและชวนให้ขนลุกในเวลาเดียวกัน‘เสียงอะไรวะ?’ หยางเหวินขมวดคิ้ว ‘ในพล็อตไม่ได้มีบอกไว้นี่นา หรือว่าข้าจะลืมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป?’ความมั่นใจของเขาในยามนี้นั้นช่างเปราะบางราวกับแผ่นน้ำแข็งในฤดูใบไม้ผลิ ที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อเจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็หยุดเดินเช่นกัน เขาทำสัญญาณมือให้หยางเหวินเงียบ แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ “มีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างหน้า หลายตัวด้วย”“จะเป็นก็อบลินได้ยังไง” หยางเหวินเผลอโพล่งออกมา

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <11> ชีวิตต้องสู้เมื่อไม่มีเงิน

    “ขอบคุณ” เจิ้งเฟิงเยวี่ยรับถุงเงินมาโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังกระดานภารกิจขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถงกระดานภารกิจนั้นเปรียบเสมือนบันไดสู่ชื่อเสียงและเงินทอง แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้ มันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ต้องคว้าเอาไว้ บนกระดานเต็มไปด้วยใบประกาศที่เขียนภารกิจต่าง ๆ ไว้มากมาย ตั้งแต่การคุ้มกันคาราวานสินค้า ไปจนถึงการล่าไวเวิร์นในเทือกเขาทางเหนือเจิ้งเฟิงเยวี่ยกวาดสายตามองภารกิจระดับสูงด้วยแววตาครุ่นคิด แต่ก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย บาดแผลของเขายังไม่หายดีพอที่จะรับงานเสี่ยง ๆ เช่นนั้นได้ในขณะเดียวกัน กงหยางเหวินก็กำลังไล่สายตาอ่านภารกิจจากล่างขึ้นบน เขาไม่ได้มองหาภารกิจที่ให้รางวัลสูงที่สุด แต่กำลังมองหาภารกิจที่ปลอดภัยที่สุดต่างหาก และแล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับใบประกาศที่เหลืองกรอบใบหนึ่งในมุมที่ต่ำที่สุดของกระดาน[ภารกิจระดับ F: ปราบก็อบลินในถ้ำทางทิศเหนือ][รายละเอียด: ช่วงนี้มีก็อบลินกลุ่มหนึ่งเข้ามายึดถ้ำทางเหนือของเมืองและคอยดักปล้นชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปมา ขอให้น

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <10> จำใจร่วมทาง

    เพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ หยางเหวินจึงตัดสินใจชวนคุย “เอ่อ... คุณชายเจิ้ง ท่านมาจากที่ไหนรึ? ท่าทางเหมือนไม่ใช่คนแถวนี้” มันเป็นคำถามพื้น ๆ ที่สุดที่คนเพิ่งรู้จักกันจะถามได้เจิ้งเฟิงเยวี่ยหยุดเดินไปชั่วครู่ แววตาของเขาหรี่ลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำถามนั้น “ที่มาไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง”คำตอบของเขาราวกับสายหมอก จับต้องไม่ได้และซ่อนเร้นความจริงไว้ภายใน มันเป็นคำตอบตามแบบฉบับพระเอกนิยายกำลังภายในที่หยางเหวินเคยเขียนไม่มีผิดเพี้ยน‘ตอบแบบนี้ใครจะไปตรัสรู้กับท่านเล่า!’ หยางเหวินอยากจะตะโกนออกไป ‘แค่ตอบว่ามาจากเมืองหลวงมันจะตายรึไง! ไอ้พระเอกบ้าเอ๊ย!’การเดินทางที่เหลือจึงเต็มไปด้วยความเงียบงันอีกครั้ง จนกระทั่งกำแพงเมืองชิงเย่ปรากฏให้เห็นอยู่ลิบ ๆ นั่นแหละ หยางเหวินถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดก็กลับมาสู่ดินแดนแห่งอารยธรรมเสียทีทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเมือง เขา

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <9> ความพยายามครั้งที่สองและสาม

    ‘โอกาสมาแล้ว!’เขากลั้นใจ เงยหน้าขึ้นสบตากับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังเคี้ยวขนมปังด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะฉีกยิ้มครั้งที่สองออกไปรอยยิ้มครั้งนี้ดูพัฒนากว่าครั้งแรกเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่กระตุกรุนแรงเท่าเดิม แต่มันก็ยังคงดูผิดธรรมชาติอย่างร้ายกาจ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูราวกับคนพยายามจะบอกว่าอาหารอร่อยมาก ทั้ง ๆ ที่ในปากมีแต่ทราย เป็นรอยยิ้มที่ฝืนทนจนน่าเวทนาเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังจะกัดขนมปังคำต่อไปถึงกับชะงักค้าง เขามองรอยยิ้มประหลาดนั่นด้วยแววตาที่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม‘รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว’ ความคิดของเขาถักทอเป็นตาข่ายแห่งความซับซ้อนที่พันธนาการความจริงอันแสนเรียบง่ายเอาไว้ ‘เขายิ้มทำไม? เขากำลังพึงพอใจกับสภาพอันน่าอดสูของข้าที่ต้องมานั่งกินขนมปังแข็ง ๆ เช่นนี้รึ รอยยิ้มนี้มันไม่ใช่ความเป็นมิตร มันแฝงไว้ด้วยความเวทนา หรืออาจจะเป็นการหยามหยัน? เขากำลังทดสอบความอดทนและความทะนงในศักดิ์ศรีของข้างั้นหรือ?’คิ้วกระบี่ของเข

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status