ทว่า ความงดงามเบื้องหน้ากลับไม่อาจทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้แม้แต่น้อย ในสมองของเขามีเพียงความคิดเดียวที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาดุจแผ่นเสียงตกร่อง นั่นคือปฏิบัติการหนีธงมรณะ
ใช่แล้ว เขาต้องหนี! หนีออกจากเมืองชิงเย่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่พระเอกของเรื่องอย่างเจิ้งเฟิงเยวี่ยจะเดินทางมาถึง เพราะตามพล็อตที่เขาเขียนไว้ การปรากฏตัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ยคือสัญญาณเตือนว่าหายนะกำลังจะมาเยือนป่าทางตะวันตก และตัวประกอบที่ชื่อกงหยางเหวินคนนี้ ก็คือเครื่องสังเวยชั้นดีที่จะถูกนำไปบูชายัญเพื่อเปิดตัวพระเอกอย่างยิ่งใหญ่
“เสี่ยวซ่า” เขาเอ่ยเรียกเสียงเบาในใจ “ตามเนื้อเรื่องเดิม พระเอกจะมาถึงเมืองนี้เมื่อไหร่?”
[จากการคำนวณตามเส้นเรื่องหลัก เจิ้งเฟิงเยวี่ยจะเดินทางมาถึงเมืองชิงเย่ในอีก 36 ชั่วโมงข้างหน้า]
เวลาเหลือน้อยเต็มที!
หัวใจของเขาดิ่งวูบลงไปกองอยู่แทบตาตุ่ม การเดินทางออกจากเมืองต้องใช้เสบียง และเสบียงก็ต้องใช้เงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายังไม่มีแม้แต่แดงเดียว ภารกิจหาเงิน 1 เหรียญทองแดงจึงไม่ใช่แค่ภารกิจสำหรับมือใหม่ แต่มันคือตั๋วโดยสารเที่ยวเดียวสู่การมีชีวิตรอดของเขา
“เอาล่ะ จะหาเงินยังไงดี” เขากวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างคนอับจนหนทาง “ใช้แรงงานเป็นไง? แบกหาม รับจ้างทั่วไป”
ความคิดนั้นดูเข้าท่าที่สุดสำหรับคนไม่มีอะไรเลย เขาเดินตรงไปยังกระดานประกาศของสมาคมนักผจญภัย ที่นั่นมักจะมีภารกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับชาวบ้านทั่วไปแปะอยู่ด้วย และก็เป็นจริงดังคาด มีใบประกาศรับคนงานช่วยขนลังสินค้าที่ท่าเรืออยู่ใบหนึ่ง ค่าจ้าง 5 เหรียญทองแดงสำหรับงานครึ่งวัน
“งานสบาย ๆ” เขายิ้มร่า เดินลิ่วไปยังท่าเรือทันที
สิบห้านาทีต่อมา...
“แค่ก ๆ ไม่... ไม่ไหวแล้ว...” กงหยางเหวินทิ้งตัวลงนั่งหอบแฮ่กอยู่ข้างลังไม้ใบเขื่อง หลังจากที่พยายามยกมันขึ้นแต่กลับทำได้แค่ขยับมันไปได้สองนิ้วถ้วน ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือด เหงื่อกาฬไหลท่วมตัวราวกับไปอาบน้ำมา ค่าพละกำลัง 5 หน่วย และความทนทาน 4 หน่วยของเขา มันช่างไร้ประโยชน์เสียยิ่งกว่าไม้จิ้มฟันในสมรภูมิรบเสียอีก
[ระบบขอแนะนำให้โฮสต์ประเมินขีดความสามารถของร่างกายตัวเองก่อนรับงาน เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน]
“เงียบไปเลยนะ!” เขาเถียงในใจอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินคอตกออกมาจากท่าเรือพร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะของคนงานคนอื่น ๆ
แผนแรกล้มเหลวไม่เป็นท่า
เขาทรุดตัวลงนั่งในตรอกแคบ ๆ สมองตีบตันไปหมด จะทำอย่างไรดี? ความรู้ในฐานะผู้เขียนล่ะ? เขารู้ตำแหน่งของสมุนไพรหายาก รู้ที่ซ่อนของหีบสมบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาเขียนไว้เป็นอีสเตอร์เอ้ก
“เสี่ยวซ่า ข้าสามารถใช้ข้อมูลในหัวไปหาสมุนไพร หรือสมบัติที่ข้าเคยเขียนพล็อตไว้ได้ไหม?”
[การกระทำดังกล่าวมีความเสี่ยงสูง ข้อมูลในความทรงจำของโฮสต์อาจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของโลกปัจจุบันได้ และการเข้าป่าตามลำพังด้วยค่าสถานะปัจจุบันของท่าน มีโอกาส 98.7% ที่จะเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร]
[หากท่านต้องการข้อมูลที่แม่นยำ สามารถซื้อแผนที่สมบัติระดับเริ่มต้นได้จากร้านค้าระบบ ในราคา 50 แต้มเอาตัวรอด]
“ข้าจะมีแต้มให้ซื้อได้ยังไงเล่า!” กงหยางเหวินแทบอยากจะทึ้งหัวตัวเอง เขากำลังติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่หาทางออกไม่เจอ ต้องมีเงินเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อหาเงิน!
ขณะที่กำลังจมดิ่งอยู่ในความสิ้นหวังนั้นเอง สายตาของเขาก็พลันเหลือบไปเห็นหมอดูเฒ่าคนหนึ่งกำลังนั่งทำนายโชคชะตาให้กับหญิงสาวนางหนึ่งอยู่ที่มุมถนน แผงของเขามีเพียงโต๊ะเล็ก ๆ กับลูกแก้วขุ่นมัวหนึ่งใบ แต่กลับมีคนสนใจไม่น้อย
ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมาในหัว
เขไม่มีพละกำลัง ไม่มีทักษะต่อสู้ แต่เขามีสิ่งหนึ่งที่คนในโลกนี้ไม่มี นั่นคือความรู้ในฐานะผู้สร้าง เขารู้เรื่องราวของโลกนี้ดีกว่าใครทั้งหมด รู้ชะตากรรมของตัวละครเกือบทุกตัว แล้วทำไมเขาจะเป็นหมอดูบ้างไม่ได้เล่า
เมื่อคิดได้ดังนั้น กงหยางเหวินก็ลุกพรวดขึ้นทันที เขาวิ่งไปเก็บเศษถ่านจากเตาไฟที่มอดแล้ว และหาแผ่นไม้เรียบ ๆ ที่ถูกทิ้งไว้หลังร้านค้า เขาใช้ถ่านเขียนตัวอักษรหวัด ๆ ลงไปบนแผ่นไม้ว่า หยั่งรู้ฟ้าดิน ทายชะตาแม่นยำราวตาเห็น (ครั้งแรกดูฟรี!)
จากนั้นเขาก็หาทำเลเหมาะ ๆ ในตรอกที่ไม่พลุกพล่านจนเกินไป ปักป้ายไม้ลงบนพื้น แล้วนั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิราวกับผู้วิเศษที่หลุดพ้นจากทางโลก สร้างบรรยากาศให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาอีกนิด
เวลาผ่านไปสิบนาที... ยี่สิบนาที... ไม่มีแม้แต่เงาของลูกค้าเดินผ่านมา มีเพียงสายลมที่พัดเอาฝุ่นมาคลุกเคล้ากับความหวังที่เริ่มจะริบหรี่ของเขา
“เฮ้อ... สงสัยจะไม่ได้ผล” เขากำลังจะถอดใจ แต่แล้วเงาร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งก็ทาบทับลงมา
“เฮ้! เจ้าหนู” เสียงห้าว ๆ ดังขึ้น “ป้ายของเจ้าน่าสนใจดีนี่ บอกว่าดูฟรีครั้งแรกใช่หรือไม่?”
กงหยางเหวินลืมตาขึ้น พบว่าเป็นชายร่างกำยำในชุดเกราะหนังเก่า ๆ ใบหน้ามีรอยบาก ดูท่าทางน่าจะเป็นนักผจญภัยระดับล่างคนหนึ่ง นี่คือเหยื่อ เอ๊ย ลูกค้ารายแรกของเขา!
“เชิญนั่งก่อนท่านนักผจญภัยผู้กล้า” หยางเหวินปรับโทนเสียงให้ดูขรึมขลัง “ข้าสัมผัสได้ถึงไอแห่งความสับสน และอับจนหนทางที่แผ่ออกมาจากตัวท่าน”
นักผจญภัยคนนั้นเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจก่อนจะหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆๆ เจ้าพูดจาแปลกดีนี่ ข้าชื่อ ปังหู่ ข้าแค่กำลังกลุ้มใจเรื่องภารกิจปราบก็อบลินเท่านั้นแหละ หาทางเข้าถ้ำลับของพวกมันไม่เจอเสียที”
เข้าทาง! กงหยางเหวินจำได้แม่นยำ เพราะภารกิจนี้คือภารกิจรองที่เขาเขียนไว้สำหรับนักผจญภัยหน้าใหม่โดยเฉพาะ
เขายื่นมือออกไปเบื้องหน้า “ขอข้าสัมผัสฝ่ามือของท่านได้หรือไม่ พลังแห่งโชคชะตามักจะซ่อนอยู่ในเส้นลายนั่น”
ปังหู่ยื่นมือมาให้อย่างงก ๆ เงิ่น ๆ หยางเหวินแสร้งทำเป็นเพ่งพินิจลายมืออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับผู้หยั่งรู้ “ข้ามองเห็นถ้ำ ทางทิศใต้ของป่า ท่านมองข้ามบางสิ่งไป ที่ผนังถ้ำด้านในสุด มีหินก้อนหนึ่งที่ดูหลวมกว่าก้อนอื่น จงผลักมัน แล้วเส้นทางสู่รังที่แท้จริงจะปรากฏ”
ปังหู่ชะงักไป ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “เจ้า... เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ข้าไม่ได้รู้ แต่โชคชะตาเป็นผู้ชี้นำ” หยางเหวินตอบกลับอย่างสุขุม “แต่จงระวังให้ดี ในนั้นมีก็อบลินคลั่งตัวหนึ่งเฝ้าอยู่ จุดอ่อนของมันคือดวงตาข้างซ้าย”
ปังหู่ดึงมือกลับ จ้องมองหยางเหวินด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม ความขบขันหายไปสิ้น เหลือเพียงความทึ่งและความลังเล เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้วงเข้าไปในถุงหนังข้างเอว และโยนเหรียญสีทองแดงเหรียญหนึ่งลงบนพื้นตรงหน้าหยางเหวิน
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้วิเศษจริงหรือแค่นักต้มตุ๋น แต่คำพูดของเจ้ามันน่าสนใจ” ปังหู่กล่าว “เหรียญนี่ถือว่าเป็นค่าเสียเวลา ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง ข้าจะกลับมาพร้อมรางวัลที่มากกว่านี้”
พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้กงหยางเหวินนั่งตะลึงอยู่กับที่
[ติ๊ง! ภารกิจสำหรับมือใหม่: ก้าวแรกสู่การเอาชีวิตรอด สำเร็จ!]
[ท่านได้รับกล่องของขวัญสำหรับมือใหม่ x1 แต้มเอาตัวรอด +10]
เสียงสวรรค์! ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ!
กงหยางเหวินเอื้อมมือที่สั่นเทาไปหยิบเหรียญทองแดงขึ้นมา ความเย็นเฉียบของโลหะที่สัมผัสปลายนิ้วทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจพองโต
เขาไม่รอช้า รีบเก็บป้ายและเผ่นออกจากตรอกทันที เป้าหมายต่อไปคือร้านขายเสบียง เขาจะซื้อขนมปังแห้งกับถุงน้ำ แล้วจะออกจากเมืองนี้ไปทันทีในคืนนี้
เขามองไปยังประตูเมืองที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกล ๆ แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ปฏิบัติการหนีธงมรณะได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และเขาจะไม่มีวันยอมให้จุดจบของตัวเองถูกเขียนขึ้นตามบทประพันธ์เด็ดขาด
มันเปรียบเสมือนบทละครที่ถูกขยำทิ้งลงถังขยะไปแล้ว แต่โลกใบนี้กลับเก็บมันขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วนำมาจัดแสดงใหม่อย่างหน้าตาเฉย!ความจริงข้อนี้ทำให้หยางเหวินรู้สึกหนาวเยือกไปถึงไขกระดูก อำนาจในฐานะผู้สร้างของเขามันลึกล้ำ และน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก“ท่านรู้ที่มาของมันด้วยรึ?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยถามเมื่อเห็นหยางเหวินยืนนิ่งไปนาน การแสดงออกของหยางเหวินในสายตาของเขาคือความไม่แยแสต่อของล้ำค่า ราวกับว่าสมบัติระดับนี้เป็นเพียงของธรรมดาสามัญสำหรับเขาเท่านั้น“อ่า... ก็เคยได้ยินมาบ้าง” หยางเหวินตอบเสียงอ่อย พลางรีบเก็บซ่อนความตื่นตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย “ในเมื่อมันเป็นยาชั้นดีเช่นนี้ ท่านก็รีบดื่มมันเสียสิ แผลของท่านจะได้หายสนิท”เขากล่าวพลางผายมือไปยังขวดยา มันเป็นการกระทำที่ออกมาจากใจจริง เพราะยิ่งเจิ้งเฟิงเยวี่ยหายเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นเจิ้งเฟิงเยวี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของหยางเหวิน เขาเห็นเพียงความว่างเปล่า แต่เขากลับตีค
“บ้าที่สุด! ติดอยู่ในถ้ำที่ตัวเองไม่ได้เขียนด้วยซ้ำ! ไอ้เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดของข้าก็นำมาสู่หายนะชัด ๆ! นี่ข้าเป็นนักเขียนประเภทไหนกันวะเนี่ย ขนาดพล็อตของตัวเองยังคาดเดาไม่ได้เลย!”เจิ้งเฟิงเยวี่ยยืนมองดูพฤติกรรมแปลก ๆ ของหยางเหวินอย่างเงียบ ๆ ในสายตาของเขา การเดินวนไปวนมา และคำพูดพึมพำเหล่านั้นไม่ใช่การเสียสติ แต่เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมอย่างลึกซึ้งต่างหาก“แล้วดูกำแพงบ้านี่สิ!” หยางเหวินชี้ไปที่ทางตันอย่างหัวเสีย “โคตรจะดาษดื่น! ทางตันหลังอุโมงค์ถล่มเนี่ยนะ! ถ้าข้าเป็นคนเขียนล่ะก็ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใส่ปริศนาอะไรไว้บนกำแพงบ้าง หรือไม่ก็มีสวิตช์ลับซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่กำแพงโง่ ๆ น่าเบื่อแบบนี้!”เขาเดินเข้าไปทุบกำแพงเบา ๆ ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวพิงกำแพงนั้นอย่างหมดแรง “โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้าเลยโว้ย”และในวินาทีที่แผ่นหลังของเขาพิงลงไปบนจุดหนึ่งของกำแพงนั่นเอง...ครืด... ครืดดดดด...เสียงหินเสียดสีกันดังก้องขึ้นมาจาก
ทั้งสองคนเดินเรียงหนึ่งเข้าไปในอุโมงค์ลับ บรรยากาศข้างในนั้นอับทึบและคับแคบยิ่งกว่าข้างนอกหลายเท่า พวกเขาต้องเดินเบียดเสียดไปตามทางเดินที่กว้างพอสำหรับคนคนเดียวเท่านั้น ความมั่นใจของกงหยางเหวินที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อยเมื่อเขาตระหนักว่า ในความทรงจำของเขาอุโมงค์นี้มันควรจะเงียบไม่ใช่หรอกเหรอ แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินเสียงบางอย่างกึกกัก... กึกกัก...มันเป็นเสียงขูดขีดที่ดังมาจากข้างหน้า เป็นเสียงที่น่ารำคาญและชวนให้ขนลุกในเวลาเดียวกัน‘เสียงอะไรวะ?’ หยางเหวินขมวดคิ้ว ‘ในพล็อตไม่ได้มีบอกไว้นี่นา หรือว่าข้าจะลืมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป?’ความมั่นใจของเขาในยามนี้นั้นช่างเปราะบางราวกับแผ่นน้ำแข็งในฤดูใบไม้ผลิ ที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อเจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็หยุดเดินเช่นกัน เขาทำสัญญาณมือให้หยางเหวินเงียบ แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ “มีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างหน้า หลายตัวด้วย”“จะเป็นก็อบลินได้ยังไง” หยางเหวินเผลอโพล่งออกมา
“ขอบคุณ” เจิ้งเฟิงเยวี่ยรับถุงเงินมาโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังกระดานภารกิจขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถงกระดานภารกิจนั้นเปรียบเสมือนบันไดสู่ชื่อเสียงและเงินทอง แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้ มันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ต้องคว้าเอาไว้ บนกระดานเต็มไปด้วยใบประกาศที่เขียนภารกิจต่าง ๆ ไว้มากมาย ตั้งแต่การคุ้มกันคาราวานสินค้า ไปจนถึงการล่าไวเวิร์นในเทือกเขาทางเหนือเจิ้งเฟิงเยวี่ยกวาดสายตามองภารกิจระดับสูงด้วยแววตาครุ่นคิด แต่ก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย บาดแผลของเขายังไม่หายดีพอที่จะรับงานเสี่ยง ๆ เช่นนั้นได้ในขณะเดียวกัน กงหยางเหวินก็กำลังไล่สายตาอ่านภารกิจจากล่างขึ้นบน เขาไม่ได้มองหาภารกิจที่ให้รางวัลสูงที่สุด แต่กำลังมองหาภารกิจที่ปลอดภัยที่สุดต่างหาก และแล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับใบประกาศที่เหลืองกรอบใบหนึ่งในมุมที่ต่ำที่สุดของกระดาน[ภารกิจระดับ F: ปราบก็อบลินในถ้ำทางทิศเหนือ][รายละเอียด: ช่วงนี้มีก็อบลินกลุ่มหนึ่งเข้ามายึดถ้ำทางเหนือของเมืองและคอยดักปล้นชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปมา ขอให้น
เพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ หยางเหวินจึงตัดสินใจชวนคุย “เอ่อ... คุณชายเจิ้ง ท่านมาจากที่ไหนรึ? ท่าทางเหมือนไม่ใช่คนแถวนี้” มันเป็นคำถามพื้น ๆ ที่สุดที่คนเพิ่งรู้จักกันจะถามได้เจิ้งเฟิงเยวี่ยหยุดเดินไปชั่วครู่ แววตาของเขาหรี่ลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำถามนั้น “ที่มาไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง”คำตอบของเขาราวกับสายหมอก จับต้องไม่ได้และซ่อนเร้นความจริงไว้ภายใน มันเป็นคำตอบตามแบบฉบับพระเอกนิยายกำลังภายในที่หยางเหวินเคยเขียนไม่มีผิดเพี้ยน‘ตอบแบบนี้ใครจะไปตรัสรู้กับท่านเล่า!’ หยางเหวินอยากจะตะโกนออกไป ‘แค่ตอบว่ามาจากเมืองหลวงมันจะตายรึไง! ไอ้พระเอกบ้าเอ๊ย!’การเดินทางที่เหลือจึงเต็มไปด้วยความเงียบงันอีกครั้ง จนกระทั่งกำแพงเมืองชิงเย่ปรากฏให้เห็นอยู่ลิบ ๆ นั่นแหละ หยางเหวินถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดก็กลับมาสู่ดินแดนแห่งอารยธรรมเสียทีทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเมือง เขา
‘โอกาสมาแล้ว!’เขากลั้นใจ เงยหน้าขึ้นสบตากับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังเคี้ยวขนมปังด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะฉีกยิ้มครั้งที่สองออกไปรอยยิ้มครั้งนี้ดูพัฒนากว่าครั้งแรกเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่กระตุกรุนแรงเท่าเดิม แต่มันก็ยังคงดูผิดธรรมชาติอย่างร้ายกาจ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูราวกับคนพยายามจะบอกว่าอาหารอร่อยมาก ทั้ง ๆ ที่ในปากมีแต่ทราย เป็นรอยยิ้มที่ฝืนทนจนน่าเวทนาเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังจะกัดขนมปังคำต่อไปถึงกับชะงักค้าง เขามองรอยยิ้มประหลาดนั่นด้วยแววตาที่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม‘รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว’ ความคิดของเขาถักทอเป็นตาข่ายแห่งความซับซ้อนที่พันธนาการความจริงอันแสนเรียบง่ายเอาไว้ ‘เขายิ้มทำไม? เขากำลังพึงพอใจกับสภาพอันน่าอดสูของข้าที่ต้องมานั่งกินขนมปังแข็ง ๆ เช่นนี้รึ รอยยิ้มนี้มันไม่ใช่ความเป็นมิตร มันแฝงไว้ด้วยความเวทนา หรืออาจจะเป็นการหยามหยัน? เขากำลังทดสอบความอดทนและความทะนงในศักดิ์ศรีของข้างั้นหรือ?’คิ้วกระบี่ของเข