Beranda / แฟนตาซี / เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน / <3> แผนหนีออกจากเมืองเริ่มต้นก่อนพระเอกจะมาถึง

Share

<3> แผนหนีออกจากเมืองเริ่มต้นก่อนพระเอกจะมาถึง

last update Terakhir Diperbarui: 2025-09-05 19:24:40

ทว่า ความงดงามเบื้องหน้ากลับไม่อาจทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้แม้แต่น้อย ในสมองของเขามีเพียงความคิดเดียวที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาดุจแผ่นเสียงตกร่อง นั่นคือปฏิบัติการหนีธงมรณะ

ใช่แล้ว เขาต้องหนี! หนีออกจากเมืองชิงเย่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่พระเอกของเรื่องอย่างเจิ้งเฟิงเยวี่ยจะเดินทางมาถึง เพราะตามพล็อตที่เขาเขียนไว้ การปรากฏตัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ยคือสัญญาณเตือนว่าหายนะกำลังจะมาเยือนป่าทางตะวันตก และตัวประกอบที่ชื่อกงหยางเหวินคนนี้ ก็คือเครื่องสังเวยชั้นดีที่จะถูกนำไปบูชายัญเพื่อเปิดตัวพระเอกอย่างยิ่งใหญ่

“เสี่ยวซ่า” เขาเอ่ยเรียกเสียงเบาในใจ “ตามเนื้อเรื่องเดิม พระเอกจะมาถึงเมืองนี้เมื่อไหร่?”

[จากการคำนวณตามเส้นเรื่องหลัก เจิ้งเฟิงเยวี่ยจะเดินทางมาถึงเมืองชิงเย่ในอีก 36 ชั่วโมงข้างหน้า]

เวลาเหลือน้อยเต็มที!

หัวใจของเขาดิ่งวูบลงไปกองอยู่แทบตาตุ่ม การเดินทางออกจากเมืองต้องใช้เสบียง และเสบียงก็ต้องใช้เงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายังไม่มีแม้แต่แดงเดียว ภารกิจหาเงิน 1 เหรียญทองแดงจึงไม่ใช่แค่ภารกิจสำหรับมือใหม่ แต่มันคือตั๋วโดยสารเที่ยวเดียวสู่การมีชีวิตรอดของเขา

“เอาล่ะ จะหาเงินยังไงดี” เขากวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างคนอับจนหนทาง “ใช้แรงงานเป็นไง? แบกหาม รับจ้างทั่วไป”

ความคิดนั้นดูเข้าท่าที่สุดสำหรับคนไม่มีอะไรเลย เขาเดินตรงไปยังกระดานประกาศของสมาคมนักผจญภัย ที่นั่นมักจะมีภารกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับชาวบ้านทั่วไปแปะอยู่ด้วย และก็เป็นจริงดังคาด มีใบประกาศรับคนงานช่วยขนลังสินค้าที่ท่าเรืออยู่ใบหนึ่ง ค่าจ้าง 5 เหรียญทองแดงสำหรับงานครึ่งวัน

“งานสบาย ๆ” เขายิ้มร่า เดินลิ่วไปยังท่าเรือทันที

สิบห้านาทีต่อมา...

“แค่ก ๆ ไม่... ไม่ไหวแล้ว...” กงหยางเหวินทิ้งตัวลงนั่งหอบแฮ่กอยู่ข้างลังไม้ใบเขื่อง หลังจากที่พยายามยกมันขึ้นแต่กลับทำได้แค่ขยับมันไปได้สองนิ้วถ้วน ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือด เหงื่อกาฬไหลท่วมตัวราวกับไปอาบน้ำมา ค่าพละกำลัง 5 หน่วย และความทนทาน 4 หน่วยของเขา มันช่างไร้ประโยชน์เสียยิ่งกว่าไม้จิ้มฟันในสมรภูมิรบเสียอีก

[ระบบขอแนะนำให้โฮสต์ประเมินขีดความสามารถของร่างกายตัวเองก่อนรับงาน เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน]

“เงียบไปเลยนะ!” เขาเถียงในใจอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินคอตกออกมาจากท่าเรือพร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะของคนงานคนอื่น ๆ

แผนแรกล้มเหลวไม่เป็นท่า

เขาทรุดตัวลงนั่งในตรอกแคบ ๆ สมองตีบตันไปหมด จะทำอย่างไรดี? ความรู้ในฐานะผู้เขียนล่ะ? เขารู้ตำแหน่งของสมุนไพรหายาก รู้ที่ซ่อนของหีบสมบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาเขียนไว้เป็นอีสเตอร์เอ้ก

“เสี่ยวซ่า ข้าสามารถใช้ข้อมูลในหัวไปหาสมุนไพร หรือสมบัติที่ข้าเคยเขียนพล็อตไว้ได้ไหม?”

[การกระทำดังกล่าวมีความเสี่ยงสูง ข้อมูลในความทรงจำของโฮสต์อาจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของโลกปัจจุบันได้ และการเข้าป่าตามลำพังด้วยค่าสถานะปัจจุบันของท่าน มีโอกาส 98.7% ที่จะเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร]

[หากท่านต้องการข้อมูลที่แม่นยำ สามารถซื้อแผนที่สมบัติระดับเริ่มต้นได้จากร้านค้าระบบ ในราคา 50 แต้มเอาตัวรอด]

“ข้าจะมีแต้มให้ซื้อได้ยังไงเล่า!” กงหยางเหวินแทบอยากจะทึ้งหัวตัวเอง เขากำลังติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่หาทางออกไม่เจอ ต้องมีเงินเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อหาเงิน!

ขณะที่กำลังจมดิ่งอยู่ในความสิ้นหวังนั้นเอง สายตาของเขาก็พลันเหลือบไปเห็นหมอดูเฒ่าคนหนึ่งกำลังนั่งทำนายโชคชะตาให้กับหญิงสาวนางหนึ่งอยู่ที่มุมถนน แผงของเขามีเพียงโต๊ะเล็ก ๆ กับลูกแก้วขุ่นมัวหนึ่งใบ แต่กลับมีคนสนใจไม่น้อย

ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมาในหัว

เขไม่มีพละกำลัง ไม่มีทักษะต่อสู้ แต่เขามีสิ่งหนึ่งที่คนในโลกนี้ไม่มี นั่นคือความรู้ในฐานะผู้สร้าง เขารู้เรื่องราวของโลกนี้ดีกว่าใครทั้งหมด รู้ชะตากรรมของตัวละครเกือบทุกตัว แล้วทำไมเขาจะเป็นหมอดูบ้างไม่ได้เล่า

เมื่อคิดได้ดังนั้น กงหยางเหวินก็ลุกพรวดขึ้นทันที เขาวิ่งไปเก็บเศษถ่านจากเตาไฟที่มอดแล้ว และหาแผ่นไม้เรียบ ๆ ที่ถูกทิ้งไว้หลังร้านค้า เขาใช้ถ่านเขียนตัวอักษรหวัด ๆ ลงไปบนแผ่นไม้ว่า หยั่งรู้ฟ้าดิน ทายชะตาแม่นยำราวตาเห็น (ครั้งแรกดูฟรี!)

จากนั้นเขาก็หาทำเลเหมาะ ๆ ในตรอกที่ไม่พลุกพล่านจนเกินไป ปักป้ายไม้ลงบนพื้น แล้วนั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิราวกับผู้วิเศษที่หลุดพ้นจากทางโลก สร้างบรรยากาศให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาอีกนิด

เวลาผ่านไปสิบนาที... ยี่สิบนาที... ไม่มีแม้แต่เงาของลูกค้าเดินผ่านมา มีเพียงสายลมที่พัดเอาฝุ่นมาคลุกเคล้ากับความหวังที่เริ่มจะริบหรี่ของเขา

“เฮ้อ... สงสัยจะไม่ได้ผล” เขากำลังจะถอดใจ แต่แล้วเงาร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งก็ทาบทับลงมา

“เฮ้! เจ้าหนู” เสียงห้าว ๆ ดังขึ้น “ป้ายของเจ้าน่าสนใจดีนี่ บอกว่าดูฟรีครั้งแรกใช่หรือไม่?”

กงหยางเหวินลืมตาขึ้น พบว่าเป็นชายร่างกำยำในชุดเกราะหนังเก่า ๆ ใบหน้ามีรอยบาก ดูท่าทางน่าจะเป็นนักผจญภัยระดับล่างคนหนึ่ง นี่คือเหยื่อ เอ๊ย ลูกค้ารายแรกของเขา!

“เชิญนั่งก่อนท่านนักผจญภัยผู้กล้า” หยางเหวินปรับโทนเสียงให้ดูขรึมขลัง “ข้าสัมผัสได้ถึงไอแห่งความสับสน และอับจนหนทางที่แผ่ออกมาจากตัวท่าน”

นักผจญภัยคนนั้นเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจก่อนจะหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆๆ เจ้าพูดจาแปลกดีนี่ ข้าชื่อ ปังหู่ ข้าแค่กำลังกลุ้มใจเรื่องภารกิจปราบก็อบลินเท่านั้นแหละ หาทางเข้าถ้ำลับของพวกมันไม่เจอเสียที”

เข้าทาง! กงหยางเหวินจำได้แม่นยำ เพราะภารกิจนี้คือภารกิจรองที่เขาเขียนไว้สำหรับนักผจญภัยหน้าใหม่โดยเฉพาะ

เขายื่นมือออกไปเบื้องหน้า “ขอข้าสัมผัสฝ่ามือของท่านได้หรือไม่ พลังแห่งโชคชะตามักจะซ่อนอยู่ในเส้นลายนั่น”

ปังหู่ยื่นมือมาให้อย่างงก ๆ เงิ่น ๆ หยางเหวินแสร้งทำเป็นเพ่งพินิจลายมืออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับผู้หยั่งรู้ “ข้ามองเห็นถ้ำ ทางทิศใต้ของป่า ท่านมองข้ามบางสิ่งไป ที่ผนังถ้ำด้านในสุด มีหินก้อนหนึ่งที่ดูหลวมกว่าก้อนอื่น จงผลักมัน แล้วเส้นทางสู่รังที่แท้จริงจะปรากฏ”

ปังหู่ชะงักไป ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “เจ้า... เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

“ข้าไม่ได้รู้ แต่โชคชะตาเป็นผู้ชี้นำ” หยางเหวินตอบกลับอย่างสุขุม “แต่จงระวังให้ดี ในนั้นมีก็อบลินคลั่งตัวหนึ่งเฝ้าอยู่ จุดอ่อนของมันคือดวงตาข้างซ้าย”

ปังหู่ดึงมือกลับ จ้องมองหยางเหวินด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม ความขบขันหายไปสิ้น เหลือเพียงความทึ่งและความลังเล เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้วงเข้าไปในถุงหนังข้างเอว และโยนเหรียญสีทองแดงเหรียญหนึ่งลงบนพื้นตรงหน้าหยางเหวิน

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้วิเศษจริงหรือแค่นักต้มตุ๋น แต่คำพูดของเจ้ามันน่าสนใจ” ปังหู่กล่าว “เหรียญนี่ถือว่าเป็นค่าเสียเวลา ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง ข้าจะกลับมาพร้อมรางวัลที่มากกว่านี้”

พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้กงหยางเหวินนั่งตะลึงอยู่กับที่

[ติ๊ง! ภารกิจสำหรับมือใหม่: ก้าวแรกสู่การเอาชีวิตรอด สำเร็จ!]

[ท่านได้รับกล่องของขวัญสำหรับมือใหม่ x1 แต้มเอาตัวรอด +10]

เสียงสวรรค์! ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ!

กงหยางเหวินเอื้อมมือที่สั่นเทาไปหยิบเหรียญทองแดงขึ้นมา ความเย็นเฉียบของโลหะที่สัมผัสปลายนิ้วทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจพองโต

เขาไม่รอช้า รีบเก็บป้ายและเผ่นออกจากตรอกทันที เป้าหมายต่อไปคือร้านขายเสบียง เขาจะซื้อขนมปังแห้งกับถุงน้ำ แล้วจะออกจากเมืองนี้ไปทันทีในคืนนี้

เขามองไปยังประตูเมืองที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกล ๆ แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ปฏิบัติการหนีธงมรณะได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และเขาจะไม่มีวันยอมให้จุดจบของตัวเองถูกเขียนขึ้นตามบทประพันธ์เด็ดขาด

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <35> แผนการสอบตก

    “ผู้สมัครคนต่อไป... กงหยางเหวิน แห่งเมืองชิงเย่!”ณ มุมหนึ่งหลังเสาหิน ร่างที่พยายามทำตัวลีบเล็กที่สุดสะดุ้งเฮือก กงหยางเหวินหลับตาปี๋ ก่นด่าโชคชะตาในใจเป็นรอบที่ล้าน แต่แล้วเขาก็ลืมตาขึ้น‘เดี๋ยวนะ ข้าจะกลัวอะไร?’ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นในสมองที่กำลังตื่นตระหนก เขานึกย้อนไปถึงวันที่เขาตื่นขึ้นมาในกระท่อมผุพัง วันที่เขาได้เห็นหน้าต่างสถานะของตัวเองเป็นครั้งแรก‘พละกำลัง 5 ความว่องไว 6 สติปัญญา 7 ความทนทาน 4 โชค 1’ ใช่แล้ว นี่มันค่าสถานะของสไลม์เลเวลหนึ่งชัด ๆ เขามันคือตัวประกอบที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ใด ๆในสถานการณ์อื่น นี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังที่สุด แต่สำหรับวินาทีนี้มันคือใบเบิกทางสู่อิสรภาพ มันคือตั๋วเที่ยวเดียวที่จะพาเขาหลุดพ้นจากพันธนาการของเจิ้งเฟิงเยวี่ย“ฮ่า ๆๆ” เขาแทบจะหัวเราะออกมา “สวรรค์มีตา! เจิ้งเฟิงเยวี่ยสอบผ่านเพราะเขาเก่งกาจ แต่ข้า! ข้าจะสอบตกเพราะข้ามันกาก!”นี่คือแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุด ‘แผนการสอบตก’ เขาไม่ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอ เพราะเขาอ่อนแอจริง ๆกงหยางเหวินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก้าวเท้าออกจากที่ซ่อนด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง เขาเดินไปยังกลางลานป

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <34> การทดสอบของเจิ้งเฟิงเยวี่ย

    กงหยางเหวินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นไก่ป่าหลงฝูงหงส์อย่างแท้จริงเขาถูกเจิ้งเฟิงเยวี่ยลากมาลงทะเบียนด้วยจนได้ และบัดนี้กำลังยืนตัวลีบซ่อนอยู่หลังเสาหินต้นหนึ่ง พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุด ขณะที่ผู้สมัครคนอื่น ๆ สวมใส่อาภรณ์ตระกูลที่ปักเย็บอย่างวิจิตร บ้างก็สวมเกราะหนังชั้นดี เขากลับอยู่ในชุดผ้าป่านธรรมดาที่เพิ่งซื้อมาจากเมืองชิงเย่ ดูไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้ที่ติดตามคุณชายมาสอบ“กลุ่มต่อไป!” เสียงอาจารย์ผู้คุมสอบดังขึ้นอย่างเฉียบขาด “เจิ้งเฟิงเยวี่ย แห่งเมืองชิงเย่ ก้าวเข้าสู่ลานประลอง!”ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีเข้ม เจิ้งเฟิงเยวี่ยไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาก้าวเท้าออกจากกลุ่มผู้สมัครอย่างมั่นคง ท่วงท่าสง่างามราวนกกระเรียนที่เยื้องย่าง แผ่นหลังตั้งตรงดุจกระบี่ที่ยังไม่ถูกชักออกจากฝัก รัศมีเยียบเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แผ่ออกมาจาง ๆ ทำให้เสียงซุบซิบโดยรอบเงียบลงไปหลายส่วน“นั่นใครน่ะ? หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่มาจากเมืองชิงเย่ เมืองบ้านนอกนั่นมีคนแบบนี้ด้วยรึ?”“ดูท่าทางสงบนิ่งนั่นสิ ไม่เหมือนคนที่กำลังจะเข้าทดสอบเลย เหมือนมาเดินเล่นในสวนหลังบ้านเสียมากกว่า”

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <33> เมืองหลวงซีหยาง

    เมื่อม่านหมอกยามเช้าจางลง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็กทำให้กงหยางเหวินถึงกับลืมหายใจเบื้องหน้าของพวกเขาคือกำแพงเมืองมหึมาที่ทอดกายยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับมังกรหินที่กำลังหลับใหล มันสูงตระหง่านเสียดฟ้า หอคอยสังเกตการณ์ตั้งตระหง่านเป็นระยะ ๆ ธงทิวโบกสะบัดอย่างองอาจ นี่ไม่ใช่กำแพงไม้ผุพังที่เขาเคยลอบมุดหนีออกมาทันทีที่ผ่านประตูเมือง กลิ่นอายของความเจริญก็ปะทะเข้าหน้าอย่างจัง คลื่นมนุษย์ที่สวมใส่อาภรณ์หลากสีสันเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจดังเซ็งแซ่จนแทบไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง โรงเตี๊ยมและร้านค้าไม่ได้เป็นเพียงกระท่อมไม้ชั้นเดียวอีกต่อไป แต่กลับเป็นอาคารสูงสามชั้น สี่ชั้น ที่สลักเสลาอย่างวิจิตรงดงาม กลิ่นหอมของเครื่องเทศราคาแพงและอาหารเลิศรสลอยตลบอบอวลกงหยางเหวินตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง เขารู้สึกไม่ต่างอะไรกับหลิวเหล่าเหล่าเข้าสวนทัศนา[1] นี่คือเมืองหลวงซีหยางที่เขาเคยจินตนาการไว้ในหน้ากระดาษ แต่ของจริงกลับยิ่งใหญ่และมีชีวิตชีวากว่าจินตนาการของเขานับร้อยเท่าทว่าบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้างกายเขากลับมีท่าทีที่แตกต่างออกไปเจิ้งเฟิงเยวี่ยยังคงสงบนิ่งดุจหินผา แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แววตาของเขากล

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <32> ทางลัด

    เจิ้งเฟิงเยวี่ยกระตุกบังเหียนม้าอย่างแรงจนมันร้องฮี้ สองตาของเขาที่เคยสงบนิ่งกลับทอประกายเจิดจ้าจับจ้องไปยังป่าทึบทางซ้ายมือ ราวกับเพิ่งมองทะลุกลลวงของโลกทั้งใบได้สำเร็จ‘ผู้สร้าง!’ นี่คือความคิดเดียวในหัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ย ‘เขาพูดอีกแล้ว! เขาใช้คำว่าคนเขียน!’คำพูดเมื่อครู่ไม่ใช่การตัดพ้อต่อโชคชะตา แต่มันคือการประกาศิต มันคือการชี้แนะจากผู้สร้างที่ทนเห็นหุ่นเชิดเช่นเขาเดินทางผิดพลาดบนเส้นทางที่เขียนไว้ไม่ดีอีกต่อไปไม่ได้“ท่านหยางเหวิน!” เจิ้งเฟิงเยวี่ยหันขวับมา สีหน้าของเขาจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทางลัดมันอยู่ในป่านี้ใช่หรือไม่?”กงหยางเหวินที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำลายกฎแห่งความเงียบของตัวเองไปเสียแล้ว ถึงกับแข็งทื่อเป็นหิน‘ฉิบหาย ข้าพูดอะไรออกไป!!’“เอ่อ... ข้า...” กงหยางเหวินอ้าปากพะงาบ ๆ พยายามจะแก้ตัว “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย อากาศมันร้อนน่ะ ท่านอย่า...”“ข้าเข้าใจแล้ว” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขากระแทกส้นเท้าเข้ากับสีข้างม้า “ในเมื่อท่านชี้แนะแล้ว ข้าจะลังเลได้อย่างไร!”สิ้นเสียงนั้น ม้าศึกคู่ใจของเขาก็พุ่งทะยานออกจากถนนหลวง เปลี่ยนทิศทางบุกฝ่าพงหนามและ

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <31> การเดินทาง

    ทว่าสำหรับกงหยางเหวินแล้ว ฉายานี้หนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซานกดทับบ่า“ข้าตัดสินใจแล้ว” เขาบอกกับตัวเองในใจ ขณะที่ม้าคู่ใจเริ่มย่างก้าวออกจากเขตเมือง มุ่งหน้าสู่ถนนหลวงสายหลัก “นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะยึดมั่นในคติพูดมากยากนาน ข้าจะเป็นดั่งปลาในห้วงน้ำลึก จะไม่ปริปากพูดสิ่งใดที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป!”นี่คือแผนการเอาตัวรอดขั้นสูงสุดของเขา หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทุกคำพูด ทุกคำบ่น แม้กระทั่งการจาม ล้วนสามารถนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากวังวนแห่งความเข้าใจผิดนี้ ก็คือการปิดปากเงียบเสียเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ควบม้าอยู่ข้าง ๆ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป สหายร่วมทางของเขาที่ปกติมักจะมีท่าทีล่อกแล่กหรือบ่นพึมพำ บัดนี้กลับนิ่งขรึม ดวงตาจับจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่ไหวติง‘เขากำลังเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งสยบความเคลื่อนไหว’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยครุ่นคิดในใจด้วยความเลื่อมใส ‘บรรยากาศรอบตัวเขาดูสงบเย็นยิ่งนัก นี่คือจิตของผู้บรรลุธรรมโดยแท้’ความจริงแล้ว กงหยางเหวินแค่กำลังเกร็งจนแทบหยุดหายใจ เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่พูดอะไรออกมาเสียงกีบม้าดังกระทบพื้นด

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <30> แพ้เกสรดอกไม้

    หลังจากจัดการกับภัยคุกคามจากโจรภูเขาที่เหลือรอดจนสิ้นซากแล้ว การเดินทางของทั้งสองก็กลับสู่ความสงบสุขครั้งหนึ่ง เจิ้งเฟิงเยวี่ยดูจะยิ่งให้ความเคารพยำเกรงในตัวอาจารย์ผู้ซ่อนเร้นของเขามากขึ้นไปอีกหลายส่วน ทุกการกระทำของหยางเหวินไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ล้วนถูกตีความไปในเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งได้เสมอส่วนกงหยางเหวินนั้นเขาเริ่มจะปลงตกกับชีวิตแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักแสดงตลกที่ถูกโชคชะตาผลักให้ขึ้นไปแสดงบนเวทีละครโศกนาฏกรรม ไม่ว่าจะพยายามเล่นมุกตลกแค่ไหน คนดูก็ยังคงร้องไห้และซาบซึ้งไปกับการแสดงอันลึกซึ้งของเขาอยู่ดีหลายวันต่อมา พวกเขาได้เดินทางเข้าสู่แคว้นที่มีชื่อเสียงด้านความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณและสัตว์วิเศษหายาก ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ พวกเขาได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจเข้าโดยบังเอิญ“พวกท่านได้ยินหรือไม่ ว่ากันว่าเมื่อคืนมีคนเห็นบุปผาจันทราบานสะพรั่งอยู่ในทุ่งทางตะวันออกของหมู่บ้านด้วยล่ะ” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“จริงรึ! บุปผาจันทราในตำนานนั่นน่ะนะ ว่ากันว่ามันจะเบ่งบานเฉพาะในคืนที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างเต็มที่เท่านั้น และน้ำค้างที่เกาะอยู่บนกลีบของมันก

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status