[9]
ชายปริศนาในป่าไผ่ "เลิกทำหน้าแบบนั้นสักทีเถอะ เห็นแล้วกินข้าวไม่ลง" เสียงทุ้มว่าคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกัน มองปากที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ แต่ตานี่ขวางเชียว ก็นะ..ลองมาถูกเหวี่ยงดูบ้างมั้ยล่ะ จะได้รู้ว่าเจ็บแค่ไหน นอนด้วยกันมาอาทิตย์กว่าแต่ทั้งตัวไอ้ฟ่านี่มีแต่รอยช้ำเต็มไปหมด "ไม่รู้ล่ะ ก็ใครใช้ให้พี่มาทำร้ายฟ่าก่อนล่ะ!" "ก็นายอยากคิดไม่ดีกับฉันก่อนทำไม หน็อย..คิดจะลักหลับฉันเป็นครั้งที่สองเหรอ เอาไว้ชาติหน้าเถอะ วันนั้นถ้านายไม่ใช้ยาปลุก บอกไว้เลยนะว่าขนสักเส้นของฉันนายก็ไม่มีทางได้เห็นหรอก!" "แหวะ..อยากเห็นตายล่ะ" ฟีฟ่าพึมพำเบา ๆ เพราะกลัวถูกเหวี่ยงลงจากเรือน ขี้เกียจเถียงด้วย ทั้งที่เมื่อคืนตัวเองนั่นแหละที่เป็นคนถอดกางเกงของเขาออกแท้ ๆ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ กะอีแค่มีเซ็กซ์ครั้งเดียวทำไมต้องอาฆาตกันขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ ฟ่าไม่เข้าใจจริง ๆ เป็นผู้ชายซะเปล่า ตัวก็ใหญ่อย่างกับควายแต่ใจแคบชะมัด ทั้งที่ตอนนั้นตัวเองก็เป็นฝ่ายได้เสียบแท้ ๆ ไอ้หัวหยิกเอ๊ย.. อ้อ..อีกอย่าง บอกไว้เลยนะถ้าคืนนั้นไม่เมาจนขาดสติคนอย่างฟีฟ่าไม่มีทางทำเรื่องโง่ ๆ แบบนี้เด็ดขาด ถึงจะงอนแต่ฟีฟ่าก็กินข้าวจนหมดเกลี้ยงแถมยังกินส่วนของภูมิไปด้วยเพื่อให้หายแค้น และพรุ่งนี้ยังขอของหวานเพิ่มอีกซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ขัดอะไร วัน ๆ หนึ่งของฟีฟ่าแทบไม่มีอะไรทำ หลังไปบิณฑบาตกับหลวงปู่แล้วที่เหลือก็มีแต่สวดมนต์กับนั่งสมาธิซึ่งเป็นอะไรที่ฟีฟ่าไม่ถนัดเลย อย่างวันนี้ต้องนั่งสมาธิในตอนบ่าย ไม่ถึงสิบนาทีก็ฟุบลงบนตักแกร่งอีกตามเคย ดวงตาคู่คมลืมขึ้นมองคนตัวเล็กที่นอนหนุนตักอย่างสบายใจ เสียงกรนน่ารำคาญจนอยากจะโยนตัวมันออกไปไกล ๆ เหมือนทุกครั้งแต่ก็ไม่ทำเพราะจู่ ๆ ก็เกิดง่วงขึ้นมาบ้าง สงสัยจะติดโรคขี้เกียจจากไอ้เด็กโรคจิตนี่แน่ ๆ ร่างสูงเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อพักสายตา วางศีรษะลงบนเบาะรองนั่ง ดึงร่างเล็กมากอดแทนหมอนข้างและหลับตาลง ไม่นานก็หลับตามไปอย่างง่ายดาย ทั้งคู่นอนหลับอยู่ชานหน้าเรือน จนตะวันเริ่มคล้อยภพภูมิจึงได้ลืมตาขึ้นซึ่งเป็นเวลาผีตากผ้าอ้อมพอดีจึงปลุกฟีฟ่าให้ตื่น เกรงว่าถ้านอนตอนนี้ไอ้คนกลัวผีอาจได้เห็นผีเข้าจริง ๆ ก็ได้ "ฟ่า..ตื่นได้แล้ว" มือหนาเขย่าร่างเล็กเพื่อปลุกให้ตื่น ฟีฟ่างัวเงียลุกขึ้นและมองไปทางเสาตกน้ำมัน เห็นเงาเลือนรางของหญิงสาวสวมสไบนั่งพับเพียบอยู่ตรงนั้นและส่งยิ้มหวานมาให้ ..ไอ้หัวหยิกนี่ก็ร้ายเหมือนกันนะ ฉวยโอกาสตอนเขาหลับแอบพาผู้หญิงขึ้นมาบนเรือนซะด้วย เขาคิดพลางมองหน้าภพภูมิทั้งที่ยังตื่นไม่เต็มตา "มองอะไร ขนลุก! รีบตื่นและก็ลงไปกวาดลานหน้าบ้านได้แล้ว" ภพภูมิสั่งเสียงเขียวและหันไปมองยังเสาตกน้ำมัน หญิงสาวในชุดสไบก็หายวับไปทันที ใบไผ่ปลิดปลิวจนเต็มลานหน้าเรือนไม้สีขาว จะกวาดเท่าไรก็ไม่หมดสักที ไหนจะดอกลีลาวดีอีกขยันร่วงกันจริง ๆ ฟีฟ่ายืนหาวหวอดใหญ่พลางกวาดลานไปด้วย จากใบไผ่กองเล็ก ๆ ก็เริ่มใหญ่ขึ้น ..เด็กคนนี้น่ารักจัง ฉันล่ะอยากพาไปอยู่ด้วยจริงๆ.. ..ถ้าหล่อนไม่กลัวพ่อรูปหล่อคนนั้น ก็ลองดูสิ.. น้ำเสียงเยือกเย็นพูดคุยกันอยู่บนแคร่ใต้ต้นลีลาวดี พอเหลือบขึ้นไปบนเรือนก็ประสานเข้ากับดวงตาแข็งกร้าวที่มองลงมาจึงรีบสลายร่างไป หลังพระอาทิตย์ตกดิน ก็เป็นเวลานั่งสมาธิก่อนเข้านอน แต่วันนี้หลังอาบน้ำเสร็จภพภูมิได้ให้ฟีฟ่าสวมชุดขาวและสะพายย่ามเอาไว้ "วันนี้ไม่ต้องนั่งสมาธิเหรอ?" "คืนนี้เราจะเข้าไปในป่าช้ากัน" มือหนาส่งเทียนไขให้ฟีฟ่าถือไว้ "ป่าช้า!! ไม่เอาฟ่าไม่ไปเด็ดขาด พี่ก็รู้ว่าฟ่ากลัวผียังจะให้ไปหาผีอีกเหรอ!" ฟีฟ่าจะวิ่งกลับขึ้นเรือนแต่ถูกคว้าคอเสื้อเอาไว้และดึงตัวกลับมายืนที่เดิม "หลวงปู่สั่งมา คืนนี้ให้พวกเราไปนั่งสมาธิในป่าช้าเพื่อแผ่ส่วนบุญให้ผีไร้ญาติ" ศพไร้ญาติที่ป่าช้าแห่งนี้มีจำนวนไม่น้อยและถูกฝังติด ๆ กันเหลือเพียงทางเดินเล็ก ๆ เท่านั้น ที่ผ่านมาฟีฟ่าเห็นแค่หลุมศพที่อยู่รอบเรือนไม้สีขาว เขายังไม่เคยเดินไปด้านหลังป่าไผ่ที่ทั้งมืดและน่ากลัวแม้จะเป็นในเวลากลางวันก็ตาม "ไม่ต้องกลัว ฉันจะคอยอยู่ข้าง ๆ นายเอง" ถึงจะพูดแบบนั้นแต่คนกลัวผียังไงก็กลัวอยู่ดี รู้ตัวอีกทีฟีฟ่าก็วิ่งหนีขึ้นเรือนไปแล้ว มือหนากำแน่นจนเส้นเลือดปูด เส้นเครียดผุดขึ้นตรงหน้าผากก่อนเดินตามขึ้นไป "ถ้านายไม่ลงมาดี ๆ ฉันจะเอานายไปฝังที่หลังป่าไผ่ คอยดู!" เพียงเท่านี้ร่างเล็กก็รีบวิ่งลงมาแทบไม่ทันและยอมไปด้วยกันแต่โดยดี ฟีฟ่าเดินตัวติดกับภพภูมิ มือหนึ่งจับชายเสื้ออีกมือหนึ่งถือเทียนไขไว้ เปลวไฟจากแสงเทียนให้ความสว่างเพียงน้อยนิดแต่ให้ความน่ากลัวเต็มคาราเบล "เดินดี ๆ สิ ไฟไหม้แขนฉันหมดแล้ว!" ภพภูมิเสียงเขียวเมื่อถูกเปลวไฟจากเทียนไขลนเข้าที่ต้นแขนอยู่หลายครั้ง ถ้ามันไหม้โดนแขนเสื้อเขาคงโดนฌาปนกิจไปแล้ว "ก็ฟ่ากลัวนี่ อีกอย่างทำไมพี่ถึงใช้ไฟฉายคนเดียวล่ะ" ฟีฟ่าต้องสวมชุดขาวสะพายย่าม ใส่รองเท้าแตะคีบและถือเทียนไข ในขณะที่ภพภูมิสวมเสื้อเชิ้ตกางเกงอย่างเท่ สวมรองเท้าหนังสีดำและถือกระบอกไฟฉาย ส่วนข้าวของที่เตรียมมาด้วยก็ใส่ย่ามให้ฟีฟ่าสะพายไว้ "เป็นแค่คนอาศัยอย่าเรื่องมากนักเลย รีบเดินได้แล้วเดี๋ยวจะดึก" ทั้งคู่เดินพ้นเขตอาคมของเรือนไม้สีขาวออกมาแล้ว ตอนนี้เบื้องหน้ามีเพียงหลุมศพจำนวนมากปรากฏอยู่ ฟีฟ่าอยากจะเป็นลมแต่กลัวถูกทิ้งไว้ จำต้องฝืนทำใจแข็งหยิบผ้าออกมาปูเพื่อนั่งสมาธิ มือเล็กสั่นจนผ้าที่ปูไม่เรียบ พอร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิเท่านั้น เขาก็กระโดดไปนั่งเบียดทันที อีกนิดก็จะนั่งบนตักแล้ว "จะมานั่งเบียดทำไม ถอยออกไปหน่อย มันอึดอัดไม่รู้หรือไง!" "มะ..ไม่เอา ฟ่ากลัว.." ตีให้ตายไอ้ฟ่าจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น มือเล็กคล้องแขนแกร่งไว้แนบแน่น เป็นแบบนี้ใครจะนั่งสมาธิได้ ภพภูมิก็เช่นกัน ร่างสูงลุกขึ้นและบอกให้ฟีฟ่าตามมา เขาเดินไปทางหลุมศพหลุมหนึ่งที่เพิ่งถูกนำมาฝั่งเมื่อไม่กี่วัน ดินยังไม่ได้กลบจึงมองเห็นโลงไม้ชัดเจน ฟีฟ่ามองลงไปแล้วลมแทบจับ "ไปเปิดฝาโลงออก!" ภพภูมิออกคำสั่งเสียงเข้มโดยไม่สนใจใบหน้าไร้สีเลือดของคนกลัวผี ฟีฟ่ากลัวจนร้องไห้ออกมาและไม่ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอก ทั้งยังต่อว่าคนใจร้ายใจดำอีก "ไม่เอา..ฟ่าไม่ไป..ไอ้คนเลือดเย็น รู้ว่าเค้ากลัวผียังจะแกล้งอีก คอยดูนะถ้าฟ่าหัวใจวายตายจะตามไปหักคอถึงบ้านเลย ฮือ.." "ฉันบอกให้ไปไง ไม่งั้นฉันจะจับโยนลงไปนะ ของแบบนี้เห็นบ่อย ๆ จะได้ชิน" "ใครจะชินวะไอ้พี่บ้า! ยังไงฟ่าไม่มีทางเปิดโลงดูเด็ดขาด" ภพภูมิตั้งใจจะฝึกฟีฟ่าให้เลิกกลัวผี แต่คนกลัวยังไงก็กลัววันยังค่ำ ฟีฟ่าดิ้นหนีจนทำเทียนไขหลุดมือ ตอนนี้จึงเหลือเพียงแสงสว่างจากไฟฉายในมือของภูมิเท่านั้น "ฟ่าอย่าวิ่ง มันอันตราย!" คนตัวเล็กกลัวจะถูกจับโยนลงไปในหลุมจึงวิ่งหนีทั้งที่ไม่รู้ทาง ด้วยความกลัวทำให้ไม่ได้ยินเสียงตะโกนไล่หลัง ภพภูมิเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งตามไป ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและฟีฟ่าได้คลาดสายตาไปตอนไหนก็ไม่รู้ ฟีฟ่าแทบจะหลับตาวิ่งโดยไม่รู้ว่าทางในป่าช้าแห่งนี้เชื่อมถึงกันทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่บริเวณต้องห้ามอย่างป่าไผ่ "ทะ..ที่ไหนกันเนี่ย" เขาเหมือนจะหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง พอหันหลังกลับก็พบว่าทางที่เพิ่งวิ่งมาได้หายไปเสียแล้ว รอบตัวแม้จะไม่มีหลุมศพให้เห็นแต่บรรยากาศกลับน่ากลัวยิ่งกว่าจุดที่ภพภูมิพาเขาไปนั่งสมาธิเสียอีก เอี๊ยดดดด..อี๊ดดดด.. ร่างเล็กสะดุ้งทุกครั้งยามลมพัดกิ่งไผ่เสียดสีกันจนเกิดเป็นเสียงโหยหวน ต้นไผ่สูงท่วมหัวโยกไหวไปมามองเห็นเป็นรูปร่างคล้ายคน คนจิตอ่อนอย่างฟีฟ่าถึงกับแข้งขาอ่อนจะเป็นลมเสียให้ได้ เขาพาร่างที่สั่นเทาไปนั่งซุกอยู่ใต้กอไผ่ต้นใหญ่และหลับตาแน่นด้วยความกลัว ..นะ..นี่คือความฝัน ไอ้ฟ่ามึงตื่นสิ รีบตื่นเดี๋ยวนี้!.. ฟีฟ่าพยายามบอกตัวเองว่านี่คือความฝัน ถ้าตื่นขึ้นมาเขาคงนอนอยู่ในอ้อมกอดของภพภูมิเหมือนทุกวัน หนุ่มวัยเบญจเพสส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งป่าช้า ท่ามกลางความมืดมิดฟีฟ่าได้ตกเป็นเป้าสายตาของสิ่งที่ไร้ชีวิตบริเวณนั้น พวกมันต่างต้องการผู้ที่จะมาเป็นตัวตายตัวแทนเพื่อจะได้ไปผุดไปเกิดสักที โดยเฉพาะวิญญาณร้ายที่มีดวงตาสีแดงก่ำ มันแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการชีวิตคนตรงหน้านี้ และด้วยมนต์ดำที่แกร่งกล้าเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ทำให้วิญญาณชั้นต่ำทั้งหลายต่างไม่กล้าเข้ามาแย่งเหยื่อกับมัน สายตามุ่งร้ายจับจ้องไปยังร่างเล็กและพร้อมพุ่งออกไปยังเป้าหมายทุกเวลา "ดึก ๆ ดื่น ๆ มาทำอะไรแถวนี้ ไม่กลัวผีหลอกเอารึ?" น้ำเสียงทุ้มต่ำฟังนุ่มนวลถามขึ้น ฟีฟ่าหรี่ตาขึ้นเพียงเล็กน้อยเพื่อดูว่าใครกำลังพูดกับตน พอเห็นว่าเป็นคนจึงค่อยโล่งใจ คิดว่าเป็นชาวบ้านแถวนี้มาหาหน่อไม้ตอนกลางคืน "กะ..กลัวสิ.." ร่างที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของฟีฟ่าเป็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น แต่บรรเหล่าวิญญาณร้ายรวมถึงวิญญาณชั้นต่ำที่จับจ้องฟีฟ่าอยู่ต่างไม่กล้าย่างกรายเข้ามาใกล้รัศมีของเขา พวกมันมีทีท่าหวาดกลัวต่อชายผู้นี้และรีบสลายร่างไปอย่างรวดเร็ว ร่างเล็กลุกขึ้นยืนพลางใช้มือปัดฝุ่นที่ติดอยู่บนชุดขาวออก ถ้าทำเลอะมันจะซักยาก ไอ้หัวหยิกก็งก ต้องอยู่ด้วยกันถึงสองเดือนกลับให้มาแค่สองชุดเท่านั้น "แล้วเจ้า เอ่อ..แล้วเธอมาทำอะไรอยู่แถวนี้ล่ะ กลางค่ำกลางคืนมันอันตรายนะ บิดามารดาของเธอไม่บอกรึ" "ฮะ.." คำพูดของคนตรงหน้าฟังแปร่ง ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ฟีฟ่าคิดว่าเป็นภาษาท้องถิ่นของคนแถวนี้จึงไม่ได้สงสัยอะไร คิดแต่ว่าผู้ชายหมู่บ้านนี้หน้าตาผิวพรรณช่างผุดผ่องเสียเหลือเกิน ราวกับกินหลอดแอลอีดีเข้าไปยังไงยังนั้น เพราะในความมืดยังมองเห็นชัดเจนราวกับเปล่งแสงได้ สงสัยจะเป็นญาติกับหิ่งห้อยแน่ ๆ ฟีฟ่าเพียงแค่คิดในใจ แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับหลุดหัวเราะออกมาในทันที "ฮ่า ๆ ๆ เราไม่ได้เป็นญาติกับหิ่งห้อยหรอกนะ" "เอ๊ะ?" "ไม่มีอะไร เธอพูดต่อเถิด" "ผมโดนเพื่อนแกล้ง พี่เป็นคนแถวนี้เหรอ รู้จักเรือนไม้สีขาวมั้ย ช่วยพาผมไปส่งที่นั่นทีสิ" พูดแล้วโมโห ถ้าไอ้หัวหยิกไม่บังคับให้ไปเปิดโลงดูศพในนั้นเขาคงไม่ตกใจกลัวจนต้องวิ่งเตลิดมาแบบนี้ และสุดท้ายก็หลงทางจนได้ "เราว่าเธอรออยู่ตรงนี้จะดีกว่า สหายของเธอกำลังเดินทางมารับ นี่ก็คงใกล้ถึงแล้ว" "พี่รู้ได้ไง ป่านนี้กลับคงกลับเรือนไปนอนตีพุงแล้ว" คนใจดำแบบนั้นคงไม่มาตามหาเขาหรอก ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่ฟีฟ่ากลับได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนเรียกชื่อตนดังแว่วมาในความมืด สักพักร่างสูงก็มายืนอยู่ต่อหน้า เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศเย็นจัด เห็นแบบนั้นแล้วก็อดดีใจไม่ได้ ไม่คาดคิดว่าภพภูมิจะมาตามหาตนจึงรีบวิ่งเข้าไปหา "พะ..พี่ภูมิ ฟ่าอยู่นี่ โอ๊ย!!" ฟีฟ่าวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจกลับถูกเขกกะโหลกไปโป๊กใหญ่ ทำเอาร้องจนป่าช้าแทบแตก "ฉันบอกให้หยุดไม่ได้ยินหรือไง ซี้ซั้ววิ่งแบบนี้มันอันตรายนะ นายนี่มันโง่จริง ๆ" "กะ..ก็ฟ่ากลัวนี่" มือเล็กลูบหัวป่อย ๆ ในขณะที่ภพภูมิถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ดวงตาคู่คมมองไปรอบตัวที่เป็นป่าไผ่พร้อมกับเงียบเสียงลงชั่วครู่ "นายมาที่นี่ได้ยังไง?" "ฟ่าก็ไม่รู้เหมือนกัน" ฟีฟ่าวิ่งมาตามทางที่มีใครบางคนตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อชักนำให้เขามายังจุดนี้ ระหว่างที่วิ่งฟีฟ่ารู้สึกถึงอันตรายที่อยู่รอบตัวตลอดเวลา กระทั่งผู้ชายคนนี้ปรากฏตัวขึ้นแรงกดดันและความอึดอัดทั้งหลายก็หายไปทันที "จริงสิ..พี่คนนี้เขามาอยู่เป็นเพื่อนฟ่าด้วยนะ" หันมาอีกทีชายหนุ่มร่างเรืองแสงที่เป็นญาติกับหิ่งห้อยก็หายไปซะแล้ว ฟีฟ่าคิดว่าอีกฝ่ายคงจะกลัวภพภูมิจึงแอบหนีไปก่อน "หายไปไหนแล้วล่ะ?" "ใคร?" ภูมิถามเสียงเครียด "คงเป็นชาวบ้านแถวนี้ละมั้ง" ภพภูมิเงียบลงอีกครั้ง รอบ ๆ ป่าช้าแห่งนี้ไม่มีบ้านคนอาศัยอยู่สักหลัง เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับฟีฟ่าแต่บอกให้คนตัวเล็กรีบกลับเรือนเพราะยิ่งดึกกลิ่นอายของวิญญาณก็ยิ่งรุนแรงขึ้นซึ่งถ้าได้รับเข้าไปมาก ๆ จะไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของมนุษย์ ยิ่งคนจิตอ่อนอย่างฟีฟ่าอาจได้รับผลกระทบได้ "ทำไมไม่รีบตามมาล่ะ ชักช้าเดี๋ยวก็ทิ้งไว้ตรงนี้เลย" "ฟ่าเดินไม่ไหว พี่ภูมิให้ฟ่าขี่หลังออกไปหน่อยนะ" "ห๊า! ทำไมฉันต้องให้นายขี่หลังด้วยล่ะ นี่นายกำลังหาเรื่องกอดฉันใช่มั้ย ไอ้เด็กโรคจิต!" ภพภูมิทำหน้าตาขยะแขยงเสียเต็มประดาเมื่อต้องถูกเนื้อต้องตัวฟีฟ่า แต่เพราะความรู้สึกผิดที่บังคับให้ไปเปิดโลงศพจึงยอมให้อีกฝ่ายขึ้นหลังแต่โดยดี ร่างสูงย่อตัวลงเพื่อให้คนตัวเล็กขี่หลังและแบกพากลับเรือน เขาใช้เส้นทางที่อ้อมไปทางด้านหลังที่ทั้งมืดและมีแต่ต้นไผ่สูงท่วมหัว ตลอดทางกลับเรือนได้มีดวงจิตชั่วร้ายติดตามพวกเขากลับมาด้วย หลายครั้งที่มันพยายามพุ่งเข้ามาทำร้ายแต่ถูกพลังงานบางอย่างซัดกระเด็นออกไป ทำให้ไม่สามารถเข้าใกล้ทั้งสองคนได้ "รีบไปเปลี่ยนชุดแล้วรีบมานอนได้แล้ว" ภพภูมิพูดขึ้นเมื่อกลับถึงเรือน ดวงตาคู่คมมองชุดขาวที่เปื้อนดินพลางถอนหายใจออกมา ทั้งที่ออกจากเรือนไปตอนหัวค่ำ แต่เวลาตอนนี้กลับปาไปหลังเที่ยงคืน เป็นเพราะติดอยู่ในอีกห้วงเวลาหนึ่งนานเกินไปนั่นเอง ฟีฟ่ากลับออกมาในชุดเก่ง ซึ่งภพภูมิดูเหมือนจะชินแล้วเพราะไม่ได้บ่นอะไร หลังปิดไฟก็ได้ดึงตัวฟีฟ่าเข้ามากอดไว้ ร่างเล็กนุ่มนิ่มและอบอุ่นทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม กำลังจะหลับอีกฝ่ายดันพลิกตัวเข้าหาและใช้ขากอดก่ายไว้ ทำให้ไข่เล็ก ๆ ของฟีฟ่าแนบเข้ากับหน้าขาแกร่ง เท่านั้นแหละ ภพภูมิถึงกับหายง่วงทันที โครม!! "โอ๊ย!!" "ทำไมถึงไม่ใส่กางใน นี่นายคิดจะลักหลับฉันอีกแล้วใช่มั้ย!" "ใช่ที่ไหนกันเล่า ฟ่ายังไม่ได้ซักผ้าต่างหาก" ร่างเล็กถูกถีบลงจากฟูกและค่อย ๆ คลานกลับขึ้นมานอนตามเดิม ในความมืดทำให้เขาไม่ทันได้เห็นใบหน้าแดงฉานของภพภูมิและส่วนกลางของร่างกายที่แข็งขึ้นตอนพิเศษ - เจย์ - ภาคินแสงสียามค่ำคืนบนถนนบันเทิงเป็นสิ่งที่คนอย่างผมโปรดปรานมากที่สุด แม้อายุจะยังไม่ถึงยี่สิบปี แต่ผมก็สามารถตะลอนหาความสนุกได้โดยอาศัยเส้นสายของภูวเดชเดชานอกจากหน้าตาที่หล่อเหลาเหนือมนุษย์แล้วด้วยความที่เป็นทายาทคนหนึ่งของตระกูลทำให้ผมเป็นที่หมายปองของนักเที่ยวราตรีอย่างล้นหลาม สเปคของผมไม่ใช่สาวสวยหรือน่ารักแต่เป็นหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งผมไม่เคยขาดแคลนเลย แต่ที่โปรดปรานที่สุดก็คือคนสวยขาที่ร้อนแรงและพร้อมจะถ่างขาให้ผมตลอดเวลา"อื้มม..อ๊าา..คุณคิน แรง ๆ กระแทกผมให้แรงกว่านี้อีก อ๊าา.."ทุกครั้งหลังดีลกันในผับเรียบร้อยแล้วผมจะพาพวกเขาไปเริงรักต่อยังโรงแรมระดับห้าดาว ผมเปิดห้องที่มีราคาแพงที่สุดให้กับพวกเขาเพราะเสียงครางด้วยความเสียวซ่านจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ผมจนกระเจิง บ่อยครั้งที่ผมขยับโยกอย่างรุนแรงพวกหนุ่มหน้าหวานถึงกับเข่าทรุดไม่เป็นท่า และทุกครั้งหลังเสร็จกิจผมจะมีค่าตอบแทนให้จำนวนหนึ่งเพื่อป้องกันความยุ่งยากที่จะตามมาผมจะไม่ยุ่งกับคนเดิมซ้ำเป็นหนที่สองเว้นเสียแต่ว่าเด็ดจริง ๆ ดังนั้นจึงมีหลายคนไม่พอใจกับการถูกผมเอาและทิ้งในครั้งเดียว ฉะนั้นผมจึงค่อนข้างระวังตัวเองเป
ตอนพิเศษ - มังกร - ภีมเมื่ออายุครบสิบสองปีทายาทของภูวเดชเดชาจะต้องเลือกคนคุ้มกันขึ้นมาหนึ่งคน โดยคนผู้นี้จะอยู่ข้างกายเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย ตราบลมหายใจสุดท้ายของชีวิตก๊อก ๆ"เข้ามา""ขออนุญาตครับ ท่านผู้นำเชิญคุณภีมให้ไปพบที่ห้องทำงานครับ" ร่างสูงก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมผมปิดหนังสือในมือลงเมื่อคนของคุณพ่อเข้ามาภายในห้องก่อนลุกขึ้นและเดินนำเขาออกไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อไปถึงก็พบคุณพ่อ อาธีร์ นั่งอยู่บนโซฟา ภายในห้องนั้นยังมีเด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมอยู่อีกหนึ่งคน"คุณพ่อต้องการพบผม มีอะไรหรือเปล่าครับ"?"นั่งก่อนสิ"ผมเข้าไปนั่งข้างคุณพ่อ มือหนาวางลงบนศีรษะอย่างอ่อนโยนก่อนหันไปเรียกเด็กชายคนนั้นเพื่อมาแนะนำให้ผมรู้จัก"นี่คือมังกร เขาจะมาเป็นผู้คุ้มกันของลูก ลูกคิดว่าเป็นยังไงบ้างล่ะ"ผมมองสำรวจเด็กชายที่มีอายุเท่ากันตั้งแต่หัวจดเท้าก่อนลุกขึ้นประจันหน้า ส่วนสูงของเขาทำให้ผมถึงกับต้องขมวดคิ้ว คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมน้อยคนนักที่จะมีส่วนสูงมากกว่า ไหนจะกล้ามเนื้อที่โตเกินวัยและผิวที่คล้ำแดดนั่นอีก"ผมยังไงก็ได้ครับ" ผมตอบคุณพ่อไปมังกรไม่ใช่เด็กคนแรกที่คุณพ่อพามาให้ผมเลือก ก่อนห
ตอนพิเศษ - เรือนไม้สีขาว..พ่อยอดขวัญยอดดวงใจของพี่แก้ว พี่จะรอพ่ออยู่ ณ ที่แห่งนี้ ตลอดไป..สายลมพัดเอื่อยผ่านมาทางเรือนไม้สีขาว กระทบกระดิ่งลมเกิดเป็นเสียงกังวานฟังเพราะเสนาะหูเรือนไม้สีขาวหลังน้อยปลูกอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางแมกไม้นานาพันธุ์ โดยเฉพาะแก้วเจ้าจอมที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว ด้านหลังเป็นป่าไผ่ต้นสูงท่วมหัว ถัดออกไปมีบึงน้ำขนาดใหญ่ผ่านอยู่ไหลสายหนึ่งด้วยสุขภาพที่ไม่แข็งแรงทำให้ผมต้องมาอาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้เพียงลำพัง อากาศที่บริสุทธิ์จะช่วยให้อาการป่วยของผมไม่หนักหนาเหมือนตอนอยู่พระนครในแต่ละวันของผมผ่านไปอย่างเชื่องช้าและเงียบเหงานอกจากอ่านตำราและวาดภาพ การไปเดินเล่นริมบึงหลังป่าไผ่ยังไม่สามารถคลายความเบื่อหน่ายนี้ลงไปได้ทิวาผันผ่านล่วงเข้าสู่รัตติกาลแห่งวัน ณ ที่แห่งนี้ยังคงมีเพียงผมเช่นเดิม ผมเคยคิดอยู่บ่อยครั้งว่าจะต้องจบชีวิตอยู่ที่เรือนสีขาวแห่งนี้เพียงลำพัง แต่อย่างน้อยก่อนจะถึงวันนั้นขอให้ความอ้างว้างในใจผมได้เบาบางลงสักนิดก็ยังดีและในที่สุดคำขอก็เป็นจริง เมื่อวันหนึ่งสายลมได้พัดพาคนผู้นั้นเข้ามาในชีวิตของผม"เห็นเดินมาทางนี้นี่นา หายไปไหนแล้วล่ะ""ทางนั้
[23] คิดถึงนะ "มองอะไรอยู่ไอ้ฟ่า ไปกันได้แล้ว" เลิฟเรียกฟีฟ่าที่เอาแต่ยืนมองไปรอบกุฏิของหลวงปู่ ทั้งที่คนอื่น ๆ นั่งรออยู่ในรถกันหมดแล้ว หลังกราบลาหลวงปู่และได้รับพรมาชุดใหญ่ทุกคนจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯ คิดว่าฟีฟ่าจะกระดี๊กระด๊ารีบไปให้ไว ที่ไหนได้กลับอิดออดไม่ยอมขึ้นรถสักที "จะไม่มาส่งจริง ๆ เหรอเนี่ย" ฟีฟ่าเริ่มถอดใจเมื่อไม่เห็นเงาหัวของภพภูมิโผล่ออกมาให้เห็น จนได้ยินเสียงเพื่อนเลิฟตะโกนเรียกอีกครั้งจึงรีบเดินไปขึ้นรถ เพราะหากมีครั้งที่สามจะต้องเป็นเสียงเฮียยูโรแน่ "ไอ้คนใจดำ จำไว้เลย ถ้ามาง้อทีหลังไอ้ฟ่าจะไม่ให้ยกโทษให้แน่ คอยดูสิ!!" เขาต่อว่าภพภูมิก่อนมุดตัวเข้าไปในรถและยังแช่งให้คนพี่นอนไม่หลับ ตั้งใจว่าต่อไปจะไม่เป็นหมอนข้างให้อีกแล้ว ยูโรขับรถพาทุกคนมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ ตลอดทางราบรื่นไร้อุปสรรค ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้านสวนบรรยากาศร่มรื่นที่มีพื้นที่เล็ก ๆ ไว้สำหรับปลูกต้นไม้ขาย ฟีฟ่าฝากให้ป๊าช่วยปลูกต้นไผ่ที่ได้รับมาไว้ที่หลังบ้าน ซึ่งจุดนั้นตรงกับระเบียงห้องของยูโรพอดี ราวกับถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า แม้ไม่ชอบใจแต่ยูโรก็ไม่ได้ขัดอะไร "วันนี้ไม่ออกไปสมัครงานเหรอ
[22] ลาก่อนเรือนไม้สีขาว ภพภูมิยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกลุ่มมือปืนที่ต่างกำลังจดจ่อวัตถุสีดำมาทางเขา มือหนากำแน่นจนสั่นด้วยความเจ็บใจที่มองไม่เห็นหนทางที่จะช่วยฟีฟ่าเพราะตอนนี้แม้แต่ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย "เจอกันชาติหน้านะครับคุณภพ ป่านนี้คุณพ่อคุณคงรอจนเมื่อยแล้ว" รอยยิ้มเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของธีร์ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องกระหน่ำยิงคนตรงหน้า เมื่อตอนรถตกเหวไปพร้อมกับอดีตนายใหญ่ยังอุตส่าห์รอดชีวิตมาได้ คราวนี้ถ้าไม่ตายก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว "อย่ายิงนะ..พี่ภูมิ!!" ฟีฟ่าตะโกนห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว สมุนของธีร์ลั่นไกแทบจะพร้อมกัน โดยมีเป้านิ่งคือภพภูมิ ปัง! ปัง! ปัง! เอี๊ยดดดดด!! เสียงปืนรัวขึ้นดังจนหูแทบดับแต่ช้ากว่ารถยนต์ติดกระจกกันกระสุนที่ขับพุ่งเข้ามาขวางด้านหน้าของภพภูมิเอาไว้ ร่างสูงย่อตัวลงเพื่อหลบคมกระสุนที่ยิงเลยหลังคารถมาได้อย่างหวุดหวิด "รอพี่นานมั้ยจ๊ะที่รัก" คนในรถลดกระจกลงพลางยักคิ้วข้างหนึ่งทักทายภพภูมิ มือหนาดันแว่นตากันแดดขึ้นพลางขยิบตาให้ "เงียบปากไปเลยไอ้เท็นมะ แล้วไอ้เจย์ล่ะ!" "ไอ้เจย์ไปจัดการข้างบนแล้ว เห็นมันว่าจะไปดูหน้าเมียมันด้วย ช่วงนี้ได้ข่าวว่าติดเ
[21] คนบงการ"ผมขอเสนอให้คุณธีร์เป็นผู้นำคนต่อไป"เสียงทุ้มพูดชัดเจนทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ ธีร์แสดงท่าทีลำบากใจเมื่อถูกคะยั้นคะยอให้ยอมรับ ฝ่ายที่สนับสนุนธีร์ต่างแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุดทางด้านฝ่ายที่สนับสนุนอดีตนายใหญ่ต่างหันมองกันด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าเสนอชื่อธีร์ให้ขึ้นเป็นผู้นำคนต่อไป แต่เสียงของผู้ที่สนับสนุนเขาก็ยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง"ผมเห็นด้วยที่จะให้คุณธีร์เป็นผู้นำคนใหม่""ผมก็เหมือนกัน""ทุกท่านกรุณาคิดให้ดี ๆ ก่อนนะครับ ผมคิดว่าตัวผมไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอกนะครับ" ธีร์ลุกขึ้นยืนและบอกทุกคนในห้องอย่างถ่อมตนในขณะที่หลายคนพยายามผลักดันให้เขาขึ้นรับตำแหน่งให้ได้"คุณธีร์ติดตามอดีตนายใหญ่มานาน ฝีไม้ลายมือย่อมดีกว่าพวกเด็กเมื่อวานซืนเยอะ เพื่อความก้าวหน้าของพรรค ผมขอสนับสนุนคุณธีร์อีกเสียงครับ""ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่คุณธีร์ก็ไม่มีใครเหมาะสมแล้ว"ฝ่ายที่เชียร์ธีร์ต่างส่งเสียงสนับสนุนเขาเต็มที่ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่เห็นด้วยแล้วมีจำนวนมากกว่าทำให้ฝ่ายสนับสนุนอดีตนายใหญ่ต้องนั่งเงียบ อยากจะลุกจากเก้าอี้แต่ก็อยากรู้ข้อความ