บทนำ
ฉันเป็นอัลฟ่านะ
ท่ามกลางกลิ่นควันพิษจากท่อไอเสียของรถมากมายหลากยี่ห้อที่ขับเคลื่อนผ่านถนนเลนใหญ่ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มไปทั่วทุกทิศทาง บวกกับเสียงตะโกนดังลั่นโหวกเหวกของผู้คนที่สัญจรย่างผ่านไปมา ชวนให้มหานครแห่งนี้ดูไม่เงียบเหงาจนเกินไป
ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางสูงราวหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร เขาใส่เสื้อยืดสีเทาหม่นคู่กับกางเกงยีนทรงสลิปเปอร์สียีนแต่งขาด สวมรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดตา ใบหน้าหมดจดหล่อเหลาชวนให้ใครก็ตามที่พบเจอเป็นต้องเหลียวหลังจนคอแทบเคล็ดไปซะทุกที
มือข้างหนึ่งซุกเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตัวเก่ง ส่วนอีกข้างก็ถือแว่นตากันแดดเอาไว้ หากมองเผินๆ ก็ไม่ต่างจากชายหนุ่มเจ้าสำราญที่มั่งมีเงินทองซึ่งพบเห็นทั่วไป
หากไม่ใช่ฝ่าเท้าข้างหนึ่งของชายหนุ่มผู้นี้ กำลังกระทืบอัลฟ่าหนุ่มด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ก่อนเจ้าตัวจะสบถออกมาอย่างเหลืออดเหลือทนว่า “ผมเป็นอัลฟ่า หัดแหกตาก่อนจะฉุดด้วยครับไอ้ฉิบหาย เพราะไม่งั้นแทนที่คุณจะได้โอเมก้ามาเป็นเมีย คุณก็จะได้ส้นตีนจากอัลฟ่าอย่างผมแทน” ว่าจบชายหนุ่มก็ใช้ฝ่าเท้าเตะเข้าไปที่ร่างของคนที่นอนคลุกฝุ่นอย่างเต็มแรงอีกที
ก่อนจะมีเสียงฝีเท้า วิ่งตามเข้ามา จากนั้นเจ้าของเสียงฝีเท้าก็ร้องห้ามออกไปว่า “พอแล้วไอ้ศิน...ไอ้บ้า แกกำลังจะกระทืบมันตายอยู่แล้ว” ว่าจบเจ้าของคำพูดดังกล่าวก็ยื่นมือไปดึงร่างแบบบางของคนที่กำลังกระทืบผู้เคราะห์ร้ายอย่างเต็มกำลัง
ส่งผลให้คนที่ถูกรั้งมาด้วยพละกำลังของอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์ ที่มีพละกำลังมหาศาล ถึงกับถลาไปกระแทกกับแผ่นอกกว้างอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ศศินหรือศินจึงช้อนสายตาเงยมองคนที่มายุติการทะเลาะวิวาทหนนี้ด้วยสายตาที่ไม่พอใจ ก่อนเจ้าตัวจะโพล่งออกไปว่า “อะไรของแกวะไอ้แดน จู่ๆ ก็มาห้ามกันเนี่ย แกไม่เห็นเหรอว่าไอ้บ้าตัณหาเนี่ยมันฉุดฉัน”
สิ้นเสียงดังกล่าวดีแลนหรือแดนอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์ก็หลุบตามองคนที่ตัวเตี้ยกว่า พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงเย้าออกไปว่า “ก็ใครใช้ให้แกตัวเล็กกว่าอัลฟ่าทั่วไปได้ขนาดนี้ แถมยังหน้าหวานอีกต่างหาก นี่ถ้าแกมีกลิ่นฟีโรโมนเวลาเข้าใกล้ด้วย เชื่อสิแม้แต่ฉันเองก็ยังเข้าใจผิดเลย”
ว่าจบเจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะฝังปลายจมูกลงไปบนต้นคอขาวอย่างเผลอใจ แล้วเงยหน้าขึ้นทันที ก่อนเจ้าตัวจะพูดต่อว่า “น่าเสียดายที่ไม่ว่าฉันจะดมกี่ทีก็ไม่มีกลิ่นของโอเมก้า...”
ทว่าดีแลนเอ่ยออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ถูกฝ่ามือเรียวเล็กของคนตรงหน้าผลัดใบหน้าเขาออกอย่างเต็มแรง แล้วพูดเสียงดังลั่นออกไปอย่างไม่พอใจ “แกทำห่าอะไรของแกวะไอ้แดน”
ว่าจบเจ้าตัวก็กระโดดหนีออกมาทันที พร้อมกับยกมือของตัวเองลูบต้นคอไปมา นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงจับจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่พอใจ แล้วเตรียมจะมีเรื่องอย่างเต็มที่ พร้อมกับตวาดออกไปว่า “ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้ววะว่าฉันไม่ชอบ”
จนคนที่ถูกจ้องหน้าเห็นคนที่ตัวเล็กกว่ากำลังขู่ฟ่อๆ ไม่ต่างกับแมวน้อยที่กำลังพองขน เขาจึงรีบยกมือทั้งสองอย่างยอมแพ้ แล้วพูดออกมา “โถ่...ขอโทษ ฉันแค่เผลอล้อเล่นเท่านั้นแหละน่า ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ”
ด้วยเหตุที่ว่าดีแลนนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนตรงหน้าไม่ชอบให้ใครมาเข้าใจผิดและปฏิบัติต่อตัวเองที่เป็นอัลฟ่า แต่กลับมาหาว่าเป็นโอเมก้าที่บอบบางน่าทะนุถนอมเหล่านั้น
เพราะถึงแม้ศศินจะเป็นอัลฟ่า แต่เขาก็มีเลือดของมารดาที่เป็นโอเมก้าที่ผ่านเรื่องราวมามากมายผสมอยู่ครึ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มจึงไม่ต้องการให้ผู้ใดมาดูถูกและปฏิบัติไม่ดีต่อโอเมก้าเหล่านั้นให้เห็นต่อหน้าต่อตา
หลังจากที่เห็นดีแลนยืนขอโทษแล้วทำหางลู่หูตกต่อหน้า พร้อมกับพูดขอโทษขอโพยขึ้นมา ศศินจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขำออกมา แล้วพูดออกไปว่า “เออๆ ช่างเถอะ ช่างเถอะ วันนี้แกต้องไถ่โทษด้วยการเลี้ยงข้าวฉันก็แล้วกัน”
พอได้เห็นคนตรงหน้าอารมณ์เย็นขึ้นมาอยู่บ้าง ดีแลนก็หลุบตามองคนที่นอนกองอยู่เบื้องล่าง แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “แล้วนี่แกจะทำยังไงกับหมอนี่ต่อล่ะ”
ศศินจึงหันหน้ากลับไปมองร่างของชายหนุ่มที่ถูกตัวเองกระทืบลงจนจมฝ่าเท้าอีกที แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ทิ้งไว้ตรงนี้แหละเดี๋ยวพอได้สติมันก็ลุกขึ้นกลับบ้านเอง” ว่าจบชายหนุ่มก็สาวเท้าเดินไปหาเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ไปเถอะ ฉันหิวข้าวแล้ว อย่าลืมล่ะว่าวันนี้นายต้องเลี้ยง”
จากนั้นจึงยืนมือไปตบแผ่นหลังของคนที่ตัวใหญ่กว่า เพื่อให้เดินออกไป แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรดีแลนก็ไม่ขยับสักที เรียวคิ้วเข้มจึงขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ ศศินจึงพูดออกไปว่า “แกจะดูจนมันท้องเลยไหมไอ้แดน ไปได้แล้ว” เมื่อเห็นว่าคนตัวโตกว่าไม่ยอมจากไปไหน
สิ้นเสียงดังกล่าวดีแลนก็เอ่ยออกไปว่า “คนนะไม่ใช่ปลากัดสักหน่อย” ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าไปเท้าเดินเคียงข้างกับเพื่อนสนิทของตน เพื่อพากันไปยังร้านอาหารตามเป้าหมายเดิมของคนทั้งคู่ก่อนที่เจ้าแมวตัวเล็กจะถูกอัลฟ่าตัวใหญ่ฉุดไปจนมีเรื่องขึ้นมา
หลังจากที่คนทั้งสองมาถึงสวนอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ศศินก็จัดการสั่งอาหารแบบไม่เกรงใจ แล้วยื่นเมนูอาหารคืนไปให้พนักงานเสิร์ฟที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดกับรายการอาหารตรงหน้าพร้อมกับพูดออกมาว่า “สั่งขนาดนี้จะทานหมดเหรอครับ”
ก่อนจะมีเสียงของดีแลนตอบอย่างขำๆ ว่า “หมดสิครับ คุณเห็นเขาตัวเล็กแค่นี้แต่กินล้างกินผลาญนะคุณ รีบๆ ไปทำอาหารมาเถอะถ้าเขาโมโหหิวขึ้นมา เดี๋ยวหมอนี่จะวิ่งไปกินผนังร้านแทน”
ได้ยินเช่นนั้นศศินถึงกับถลึงตาจ้องมองดีแลนอย่างไม่ชอบใจ แล้วหันไปพูดกับพนักงานเสิร์ฟแบบทีเล่นทีจริงด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าไปเชื่อมันครับ ไอ้นี่มันโกหก ผมน่ะเวลาหิวจะไล่ขบหัวมันมากกว่า”
พนักงานเสิร์ฟที่เห็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ส่งมาให้ก็ถึงกับตาพร่า จึงรีบก้มหน้าลงพอเป็นพิธี “ครับ” ก่อนจะรีบหมุนกายพร้อมกับสาวเท้าเดินจากไป
เมื่อเห็นว่าพนักงานในร้านเดินจากไปไกลศศินจึงอดไม่ได้ที่จะหันกลับมาส่งค้อนวงใหญ่ให้เพื่อนสนิทของตัวเองอีกที
ก็เห็นอีกฝ่ายตอบกลับมาโดยการยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างยอมแพ้ เขาจึงพูดต่อทันทีว่า “ว่าแต่วันนี้นึกครึ้มอะไรมาชวนฉันกินข้าวเย็น ทุกทีเวลานี้แกไม่ไปเที่ยวหว่านเสน่ห์ตกโอเมก้าหนุ่มๆ ก็ต้องไปเที่ยวแล้วสิ”
ได้ยินเช่นนั้น ดีแลนจึงไม่คิดที่จะพูดอ้อมค้อมให้เสียเวลา เขาจึงเอ่ยออกไปว่า “ฉันอยากให้แกช่วยอะไรฉันอย่างหนึ่งว่ะ”
“เรื่องอะไรของแกดูมีลับลมคมใน” ว่าจบชายหนุ่มก็ยื่นมือไปยกแก้วน้ำที่วางอยู่ไม่ไกล หมายจะดื่มเพื่อดับกระหาย
และเมื่อคนตรงหน้าตั้งคำถามขึ้นมา ดีแลนก็โน้มตัวเล็กน้อยมาจ้องหน้า จากนั้นจึงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แกช่วยแต่งงานกับฉันทีได้หรือเปล่า”
“หา”