คนตัวโตที่นั่งคอตั้งเริ่มเมื่อยแล้ว เขามองตามแผ่นหลังบางที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ เธอเดินไปเก็บมะเขือที่ปลูกไว้เป็นแนวยาวตลอดฝั่งด้านข้างของบ้าน ทำได้เป็นระเบียบและน่าอยู่ใช้ได้นี่ แต่นั่นเธอเดินไปไกลเกินหรือเปล่านะ
ต้องลำบากลงไปตามดูอีกแล้ว เขาแค่จะไปดูเธอเก็บมะเขือหรอกน่า เกิดเก็บลูกเน่าให้ทำไงล่ะ? เขาจะขาดทุนเอาได้นะ... “เลิกกับมันนานยัง?” เมื่อกี้คิดเรื่องมะเขือจริง ๆ นะ แต่ที่ถามไปนั้นสมองมันยังไม่กรั่นคำถามก็แค่นั้นเอง เดี๋ยวถามเรื่องนี้เสร็จค่อยถามเรื่องผักต่อแล้วกัน “อุ้ย! อะ เอ่อ...นานแล้วมั้งจ๊ะ” เธอตกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ เขาก็เดินเข้ามาด้านหลังเธอ อีกนิดเดียวก็จะโดนตัวเธอแล้ว น้ำค้างรีบถอยออกห่างก่อนที่จะเอ่ยอึกอัก เธอกลัวเศษดินบนตัวเธอจะไปเปื้อนเขาเอา และยิ่งไปกว่านั้นก็คงไม่กล้าบอกว่าแท้จริงแล้ว เธอกับคนที่เขาเอ่ยถึง ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน “แล้วมันทิ้งอะไรไว้ให้บ้างล่ะ?” อย่าเพิ่งถามถึงเรื่องมะเขือ! รอแป๊บหนึ่ง “...” เธอไม่รู้จะตอบเขาอย่างไรดี ดวงตาคู่กลมสั่นไหวเล็กน้อย ช้อนตามองใบหน้าหล่อเหลาที่เธอเคยหลงใหล ใบหน้าคมรับกับจมูกโด่ง ดวงตาเฉี่ยวลึกแม้ดูน่ากลัวบ้าง ทว่ากลับน่ามองยิ่ง “ดูแล้วก็คงไม่ทิ้งอะไรไว้ให้นั่นแหละ แต่อย่างว่า หวังสูงเองนี่” “อึก!” คำพูดนั้นสาดเข้าใส่หน้าเธออย่างจัง หัวใจดวงน้อยปวดหนึบขึ้นมาอีกครั้ง คำพูดที่ผ่าลึกกลางใจทำให้คนตัวเล็กกว่าสีหน้าดูไม่ได้ เธอไม่ได้หวังสูง แต่แค่ไม่มีสิทธิ์หวังเท่านั้น เพราะเธออ่อนแอ... เชี่_แล้ว เขาพูดแรงไปหรือเปล่านะ แต่ไม่เห็นต้องสนใจนี่ “ช่างมันเถอะ ฉันไม่ได้อยากรู้หรอก ถามไปงั้น รีบ ๆ เก็บมาฉันจะได้รีบกลับ” เขายอมลดน้ำเสียงลง เธอนี่ดูท่าคงจะกลัวเสียงดังจริงนั่นแหละ พูดเข้าหน่อยก็น้ำตาคลอแล้ว เขาก็ไม่ใช่ไอ้คนชั่วปากหมาที่จะด่าเรี่ยราดนี่? “ดะ ได้จ้ะ แล้วนี่พี่จะกลับกรุงเทพวันไหนหรือจ๊ะ?” น้ำค้างก็ยังเป็นน้ำค้าง เธอเก็บทุกอย่างไว้ในใจ ซ้ำยังเผยใบหน้าส่วนที่ยิ้มแย้มให้เขาอีกต่างหาก เป็นคนอื่นล่ะก็คงชักกรรไกรตัดผักมาแทงคอหอยตายไปแล้วป่านนี้ “ไม่มีกำหนด” “นึกว่าพี่จะกลับเร็ว ๆ นี้ซะอีก” สาวเจ้ายังคงยิ้มได้ ในใจก็แอบชื้นขึ้นมา อย่างน้อย ๆ ก็ยังพอมีเวลาได้เจอะเจอใบหน้านี้ แม้ไม่นานนักก็ตาม แต่ได้เท่านี้ก็เป็นบุญแล้ว “กลับเร็วกลับช้าก็เรื่องของฉันไหม?” เขาขี้เกียจคุยกับเธอแล้ว? จึงเอ่ยทิ้งท้ายเสียงแข็ง ก่อนจะเดินไปนั่งบนแคร่ใต้ต้นมะขามใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลกัน น้ำค้างรู้ตัวว่าเขาไม่อยากคุยด้วย จึงรีบเร่งมือเก็บมะเขือให้เขา เธอเข้าใจว่าเขาคงอึดอัดพอสมควรที่ต้องมายืนคุยกับเธอแบบนี้ แต่ทว่าอีกคนกลับเหยียดกายนอนบนแคร่สบายใจเฉิบ กล้าสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออก ช่างผ่อนคลายดีจริง ๆ “พี่กล้าจ๊ะ มะเขือได้แล้วจ้ะ” “ฮะ อ๋อ อืม” ดีนะที่ไม่หลับจริง ไม่งั้นเขาได้เก๊กท่าไม่อยู่แน่ เธอนี่ก็จริง ๆ เลยน้ำค้าง เก็บช้ากว่านี้ก็ไม่มีใครว่าเธอหรอกน่า... “เท่าไหร่?” “ห้าสิบก็พอแล้วจ้ะพี่” เธอเอ่ยเสียงใสพลันยิ้มหวานให้อีกฝ่าย จริง ๆ เธอเก็บให้เขาเยอะมาก แต่ไม่คิดเงินเต็มจำนวน เพราะอยากช่วยทำบุญด้วย แต่หากไม่รับเงินเลย ลูกเธอก็ต้องกินนมกินขนมที่ใช้เงินซื้อนี่ “ฮะ?” เขาอึ้งหน่อย ๆ แต่ก็ปรับสีหน้าเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่าเธอไม่มีทางดูออกแน่นอน ชายหนุ่มควักเอากระเป๋าเงินสีดำในกางเกงขาสามส่วมตัวสั้นที่เขาสวมอยู่ ก่อนจะหยิบเอาธนบัตรสีเทาออกมาห้าใบ ก่อนจะยื่นมันให้เธอ “อือ อะนี่” “นะ หนูไม่มีเงินทอนให้พี่กล้านะจ๊ะ” “ใครบอกว่าฉันจะเอาเงินทอน เอาไป ฉันให้” เขาว่าพลันยัดเงินใส่มืออีกฝ่าย นี่ขนาดทำงานหนักทั้งงานบ้านงานสวนมือยังนิ่มน่าจับมาดมขนาดนี้ได้... “ไม่เอาจ้ะพี่ มันเยอะเกินไปฉันรับไว้ไม่ได้หรอก” เธอส่ายหน้าไปมาราวกับนาฬิกาแกว่งพร้อมกับคืนเงินให้เขา มันเยอะมากสำหรับเธอ เธอไม่กล้ารับจริง ๆ “ฉันให้ก็เอาไปเถอะน่า” “พี่กล้า~” เขาไม่สนใจว่าเธอจะพยายามตามเอาเงินคืน กล้าเดินถือถุงมะเขือกลับขึ้นรถไปทันที รู้ดีว่าหากอยู่ต่อเดี๋ยวเธอก็ยืดเยื้อไม่รับเงินอีก ไว้เดี๋ยวเขามาใหม่แล้วกัน “เอาไว้ให้ลูกกินขนม” “พี่~” ปลายเสียงที่เอ่ยเรียกเขาทั้งเบาทั้งสับสน จนกระทั่งเขาขับรถออกไปทิ้งให้เธอยืนใจสั่น พลันยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว มือเรียวเล็กกุมเงินในมือไว้แนบอก เธอทั้งดีใจและขอบคุณเขา หลังจากนั้นเธอก็รีบเก็บเงินไว้ด้วยความตื่นเต้น วันนี้แม้จะอบอ้าวหน่อย แต่ทว่าเธอกลับมีแรงฮึด ทำงานเสร็จเร็วกว่าปกติ ในช่วงบ่ายจึงปั่นจักรยานไปนาที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย เธอลืมของไว้จึงต้องรีบไปเอา เสร็จแล้วก็จะได้ไปรับลูกต่อ เธอเดินดูสวนข้าวโพดสักพัก อันไหนเก็บได้ก็เก็บไปก่อนเพราะเดี๋ยวตอนเย็นพี่ก้องก็จะมาช่วยรับไปขายให้ เธอทำงานไม่สนแดดสนฝน สนก็แค่จะหาเงินอย่างไรมาเลี้ยงดูลูก แต่ทว่าช่วงบ่ายกลับมืดครึ้มเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักลมก็พัดอย่างแรงจนเธอต้องรีบเดินเข้ากระท่อม “อ๊ะ!” ยังไม่ทันเดินเข้าไปหลบก็โดนลมพัดเอาฝุ่นเข้าตาเต็ม ๆ ทั้งเจ็บและแสบเอามาก ๆ เธอมองไม่เห็นสิ่งใดแต่ทว่าหูกลับได้ยินเสียงเครื่องยนต์ขับเข้ามาก่อนเสียงจะดับไป “มายืนเป็นนางเอกเอ็มวีอะไรตรงนี้ เดี๋ยวสังกะสีก็ปลิวมาตัดคอเอาหรอก!! ” คนที่พูดจาไม่น่าฟังคนนี้จะเป็นใครไหนเลยนอกจากพี่กล้า เขาเข้ามาตะคอกเธอพร้อมกับออกแรงฉุดแขนคนตัวเล็กให้หลบเข้าไปด้านในกระท่อมก่อน “พะ พี่” เธอเรียกชื่อเขาพลันมือปัดป่ายไปด้วย ก็เธอเจ็บตาจนลืมตาไม่ขึ้นนี่ “อะไร!?” เขาเหมือนคนนรกเผาหัวอยู่ตลอดเวลา หัวร้อน เสียงดัง แถมยังว่างตามเธอมาได้อีก “พี่อย่าเดินเร็วสิจ้ะ หนูมองไม่เห็น”“มาแล้วจ้ะ ๆ” สาวงามที่ถูกกล่าวถึงก่อนหน้าเดินมาพร้อมกับรอยยิ้มแป้น เธอมองเห็นเขากับลูกตั้งแต่ไกล ก่อนหน้าก็เห็นยิ้มแย้มดีแต่พอเข้ามาใกล้ ๆ กลับพบว่าสีหน้าเขาดูอธิบายยากสุด ๆ“พี่กล้าเป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?” เธอสังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้าจึงเดินเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อเอ่ยถาม“พ่อหึงแม่”เขายังไม่ทันเอ่ยสิ่งใดต้นไผ่ในอ้อมแขนก็บอกแม่ก่อนซะแล้ว ทำเอาคนเป็นแม่ยิ้มเขิน ก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กชายตัวน้อยอย่างเอ็นดู“งั้นเหรอ เดี๋ยวต้นไผ่ไปหาคุณครูก่อนนะลูก ลูกต้องลงแข่งวิ่งนะ”เธอลอบมองหน้าพ่อของลูกก็อดขำไม่ได้ เวลานี้หน้าเขาบึ้งตึงมากเลยทีเดียว แต่ก็อุ้มลูกเดินไปส่งให้คุณครูดูแลต่อ หน้าที่เขาต่อจากนี้ก็คงเป็นการพาคุณเมียไปเปลี่ยนชุด และส่งคืนชุดให้ทางร้านกับช่างแต่งหน้า“ไปเปลี่ยนในห้องน้ำไหม? เดี๋ยวพี่รอ”“พี่หึงหนูเหรอจ๊ะ?” น้ำค้างแกล้งถามพลันเกาแขนแกร่งด้วยท่าทีออดอ้อน เวลานี้เธอทำเช่นนี้ได้โดยไม่อายใครเพราะไม่มีคนพลุกพล่านมากนัก“ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว&r
“งีบก่อนไหมถ้าถึงในเมืองเดี๋ยวพี่ปลุก” เจ้าของเสียงทุ้มที่กำลังจัดชุดและเครื่องประดับทั้งหลายของเมียสุดที่รักไว้ด้านหลังรถแล้วจึงเอ่ยถาม“ไม่เป็นไรจ้ะพี่” เจ้าของร่างที่นั่งเบาะข้างส่งยิ้มพร้อมกับมองเขาด้วยแววตาหวานเยิ้ม เธอมองเขาอย่างไม่วางตาจนอีกคนเริ่มสงสัย“ทำไมมองพี่แบบนั้นล่ะ?”“หนูดีใจ”“หืม?”“หนูดีใจที่พี่คอยดูแลหนูกับลูกไงจ๊ะ” แววตาที่สื่อออกมาล้วนไม่ผิดเพี้ยนไปจากคำพูด เธอทั้งขอบคุณและดีใจที่มีเขาอยู่ข้างกาย ตั้งแต่ได้กลับมารักกันหนนี้เขาดูแลเธอกับลูกดีมาก ชาตินี้ไม่นึกเสียดายหรือเสียใจจริง ๆ ที่ไม่เคยโกรธเคืองเขาได้ลงเลย“ก็ลูกเมียพี่ทั้งคนนี่ รักขนาดนี้จะไม่ดูแลดีได้ไง” คนตัวโตเอ่ยเสียงน่าฟังพร้อมกับยกมือขึ้นลูบเรือนผมนุ่มอย่างเบามือ คล้ายกับอยากทะนุถนอมคนข้างกายเป็นที่สุดเวลานี้เป็นแวลาตีสี่แล้ว เขาต้องพาสาวสวยลูกหนึ่งข้างกายไปแต่งหน้าเเป็นนางป้ายของหมู่บ้าน ในงานแข่งกีฬาตำบลครั้งนี้ ก็เมียเขาสวยมากนี่นา หากไม่บอกใครจะเชื่อว่ามีลูกมาแล้ว
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!” น้ำค้างดิ้นหนีสุดแรงเกิด เธอใช้แรงทั้งหมดที่มีถีบชายคลั่งคนนั้นออกห่าง ก่อนจะพยายามควานหาอาวุธใกล้มือที่สุด ความกลัวทำเธอเกือบสติหลุด แต่เพราะตอนนั้นเธอต้องเอาชีวิตรอด นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้!“แม่~~”“ไผ่อย่าออกมาลูก!”ใจคนเป็นแม่หล่นวูบเมื่อเห็นร่างน้อย ๆ ของลูกชายเริ่มพลิกตัวลุกขึ้นเพราะถูกรบกวนการนอน สิ่งที่ทำให้เธอกลัวต่อจากนี้ไม่ใช่การที่ถูกไอ้คลั่งนี้ทำร้าย แต่เธอกลัวมันจะทำลูกเธอด้วย!“แม่! ปล่อยแม่นะ!”ต้นไผ่ไม่ฟังคำทักท้วง เด็กน้อยเปิดมุ้งออกมาเจอเข้ากับภาพชายท่าทางน่ากลัวกำลังลากตัวแม่อยู่ เด็กน้อยทั้งตกใจและเป็นห่วงแม่ ไม่สนสิ่งใดรีบวิ่งเข้าไปดึงแม่มา แต่ทว่าแรงเด็กก็มีน้อยนิด แรงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หรือจะไปสู้คนกำลังคลั่งยา ใช่! ไอ้บ้านี้เหมือนคนคลั่งยาในข่าวมาก ทั้งหน้าตาก็คุ้นซะเหลือเกิน!“ไอ้เปี๊ยกมึงนี่ตื่นไม่ดูเวลาเลยเว้ย!”ไอ้บ้านี่ไม่สนใจต้นไผ่สักนิดเพียงแต่ตวาดเสียงดัง ส่วนที่มันสนใจก็คือสาวเจ้าคุณแม่ลูกหน
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา…“ยังไม่ทันกินเบียร์เลย มึงอย่าลืมเก็บห้าลังนั้นไว้ให้กูนะไอ้กล้า”“โอเค ๆ ”เสียงพูดคุยของคุณพ่อลูกโตแล้วหนึ่งอย่างกล้า กับคุณพ่อป้ายแดงอย่างก้องที่เมียเพิ่งจะคลอดลูกสาวให้เป็นของขวัญ ก้องเพิ่งจะคุยกับกล้าได้ไม่กี่คำก็ต้องเดินไปเอาของต่อ วันนี้เป็นวันผูกข้อมือหนูน้อยสมาชิกใหม่ของบ้าน ชาวบ้านมากมายต่างมารวมตัวกัน กล้าที่นั่งอยู่มุมด้านข้างเขาเห็นหลานแล้วให้ของขวัญหลานเป็นทองเส้นหนึ่ง ตอนนี้ก็นั่งมองเมียตัวเองอุ้มเด็กสาวตัวน้อยอย่างชื่นชม เขาเองก็อดชื่นชมไม่ได้เดี๋ยวพี่เสกเข้าท้องให้อีกคนดีไหมจ๊ะ?“เอามาอีกสักคนไหมล่ะน้ำค้าง ดูท่าต้นไผ่น่าจะชอบนะนั่น”เป็นป้าจันทร์ผู้ใหญ่อีกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเอ่ยหยอกล้อน้ำค้างด้วยความเอ็นดู ป้าจันทร์รู้ว่าตอนนี้กล้าดูแลน้ำค้างกับลูกดีมาก คงไม่ต้องห่วงว่าน้ำค้างจะเหนื่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ชาวบ้านที่เห็นน้ำค้างและกล้ามาตั้งแต่ยังเล็กเห็นแล้วก็โล่งใจ แต่บางคนก็ยังหมั่นไส้กล้าไม่เลิกก็ยังมี“น่าจะไม่ไหวหรอกจ้ะป้า” น้ำค้าง
เป็นเวลาเกือบค่ำแล้ว บรรยากาศช่วงนี้กำลังดีเหมาะแก่การนั่งกินแบบสบาย ๆ กล้าจูงมือเมียสุดสวยส่วนน้ำค้างก็จูงมือลูกชายตัวน้อยเดินเข้ามาพร้อมกัน เธอไม่รู้ว่าต้องสั่งอะไรยังไงมีแค่เขาเท่านั้นจัดการให้ทุกอย่าง กระทั่งรับบทคนย่างคนตักก็ล้วนเป็นเขาคนเดียว เธอมีหน้าที่แค่ป้อนลูก และมองดูลูกกินอย่างเอร็ดอร่อย“อร่อยไหมลูก?” ผู้เป็นแม่เอ่ยถาม มือก็ป้อนเนื้อให้ลูกกินไม่หยุด“อร่อยมากครับ^^”“กินเยอะ ๆ นะ จะได้โตมาหล่อเหมือนพ่อ”“…”ต้นไผ่โยกหน้าไปมองพ่อที่นั่งฝั่งขวาของแม่ก็ถึงกับส่ายหัวไปมา แต่เพราะอาหารที่แม่ป้อนยังเต็มปากต้นไผ่จึงไม่โต้ตอบ ได้แต่เคี้ยวแก้มตุ้ย ๆ อย่างน่าเอ็นดู“ไม่เถียงแสดงว่าจริง” กล้าเอ่ยยิ้ม ๆ เข้าข้างตัวเองซะใหญ่โต“ลูกเคี้ยวอยู่จ้ะพี่” เป็นน้ำค้างที่สะกิดเขาทั้งยังหัวเราะ เธอดูสดใสและมีความสุขมากกว่าเมื่อก่อน แววตามีประกายทุกครั้งที่มองเขาและลูก เขาอยากเห็นภาพแบบนี้ไปนาน ๆ จังน้ำค้างยังคงป้อนลูกต่อ ยิ่งเห็นต้นไผ่ชอบเธอยิ่งป้อนไม่หยุด ก
“พี่กล้าพอเถอะจ้ะ”น้ำค้างเพียงเอ่ยเตือนเขาสั้น ๆ แต่คำเตือนนั้นเหมือนกับคำสั่งซะมากกว่า กล้าหุบปากทันที ก่อนจะสะกิดเอวน้ำค้างเพื่อบอกเธอว่า เขาอยากอุ้มต้นไผ่เหมือนกับไอ้ชัยบ้าง ต้นไผ่เข้าใกล้เขาก็แค่่เวลาเล่นของเล่น เวลาปกติเหมือนกลัวเห็บหมัดจากเขากระเด็นเข้าตัวซะอย่างนั้น“ต้นไผ่เป็นลูกพ่อกล้าจริงเหรอครับ?” ชัยไม่สนใจคุยกับกล้าต่อ เขาถามลูกชายน้ำค้างคนสวยของเขา แวบแรกก็แค่สงสัยแต่ไม่ชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้านส่วนมากก็ทำแต่งาน ไม่ค่อยพักอยู่บ้านจึงไม่รู้เรื่องราวเท่าที่ควร“…” ต้นไผ่ไม่ตอบ แต่กลับไม่ปฏิเสธในทันที เด็กชายพยักหน้ายอมรับแบบขอไปที ทำเอาคนเป็นพ่อตัวจริงหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก อย่างน้อยก็ดีกว่าต้นไผ่บอกว่าเขาไม่ใช่พ่ออยู่หรอก ถึงอย่างนั้นหลักฐานทาง DNA ที่ปรากฏบนใบหน้าก็คงจะเถียงขาดใจแน่ ๆ“งะ งั้นเหรอครับ” ชัยที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแอบชมชอบแม่ของเด็กน้อยหน้าหล่อคนนี้ คราวก่อนเขากลับไปเคลียร์งานเร็วไปหน่อย ยังไม่ถามไถ่อะไรเยอะแยะ อยากคุยกับน้ำค้างก็ไม่ได้คุยด้วยซ้ำ มาคราวนี้ไอ้กล้าก็มาประ