เข้าสู่ระบบเมื่อรถจอดสนิทหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ เจาหยวนก้าวขาลงจากรถแทบไม่ไหว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็กๆ ที่กำลังจะเดินเข้าสู่ปราสาทของราชสีห์
เสิ่นหลางจูงมือเขาเดินเข้าไปในบ้าน ทุกย่างก้าวช่างหนักอึ้ง ภายในห้องรับแขกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ร่างของชายหญิงสูงวัยสองคนนั่งรออยู่บนโซฟาหลุยส์ตัวใหญ่ นั่นคือท่านประธานเสิ่นเจี๋ย และคุณหญิงหลิวซู บิดามารดาของเสิ่นหลาง บรรยากาศกดดันจนเจาหยวนแทบหยุดหายใจ
เขากำลังจะก้มหัวแนะนำตัวตามบทที่ท่องมาทั้งคืน แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...
คุณหญิงหลิวซูที่ตอนแรกนั่งนิ่งด้วยมาดนางพญา จู่ๆ ก็เบิกตากว้าง จ้องมองมาที่เขาและมือของเขาที่กุมอยู่กับมือของลูกชายท่านอย่างไม่วางตา ก่อนที่มาดนางพญานั้นจะพังทลายลงในพริบตา
“พระเจ้า! เรื่องจริงเหรอเนี่ย!?” คุณหญิงร้องออกมาเสียงดัง ก่อนจะลุกพรวดพราดเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาทันที “เสิ่นหลาง! นี่... นี่ลูก... ลูกมีคนที่ชอบแล้วจริงๆ เหรอ!?”
เจาหยวนยืนตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก คุณหญิงเดินเข้ามาใกล้แล้วจับจ้องใบหน้าของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ แววตาของท่านไม่ได้ดูถูกเหยียดหยาม แต่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและ... ความโล่งอก?
“ในที่สุด! ในที่สุดเจ้าลูกชายท่อนไม้ของฉันก็มีคนรักเป็นตัวเป็นตนซะที!” ไม่พูดเปล่า คุณหญิงโผเข้ามากอดเจาหยวนแน่นจนเขาแทบหายใจไม่ออก “หนูช่างน่ารักเหลือเกินลูก! ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งหนูมาโปรดลูกชายของแม่!”
เจาหยวนอ้าปากค้าง สมองของเขาว่างเปล่าไปหมด นี่มันเรื่องอะไรกัน? ไหนล่ะเช็คสิบล้าน? ไหนล่ะคำพูดดูถูก? ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
เขาหันไปมองเสิ่นหลางเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่อัลฟ่าหนุ่มกลับได้แต่ยักไหล่เบาๆ เหมือนจะบอกว่า ‘ผมเตือนคุณแล้ว’
วันนั้นเจาหยวนไม่ได้ถูกไล่ออกจากบ้านตระกูลเสิ่น แต่เขากลับถูกต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีราวกับเป็นคุณชายคนหนึ่ง คุณหญิงเอาอกเอาใจเขาทุกอย่าง ส่วนท่านประธานเสิ่นเจี๋ยแม้จะดูขรึมๆ แต่ก็ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เขาตลอด มันเป็นสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมายของเขาไปไกลลิบ…
“หยวนหยวน คิดอะไรอยู่เหรอลูก?”
เสียงของคุณหญิงดึงเจาหยวนกลับมาสู่ปัจจุบัน เขาส่ายหน้าเบาๆ พลางยิ้มให้ “เปล่าครับ แค่คิดถึงเรื่องเก่าๆ นิดหน่อย”
“คิดถึงวันแรกที่เราเจอกันล่ะสิ” คุณหญิงพูดเหมือนอ่านใจเขาออก “แม่ยังจำได้ดีเลยนะ วันนั้นลูกน่ารักเหมือนกระต่ายน้อยตื่นตูมเลย”
เจาหยวนได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กับคำเปรียบเปรยนั้น
มื้อค่ำที่บ้านตระกูลเสิ่นนั้นอลังการสมคำร่ำลือเสมอ บนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ที่สามารถนั่งได้ยี่สิบคน มีอาหารจีนเลิศรสนับสิบอย่างวางเรียงรายส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย แต่ความพิเศษของวันนี้คือ อาหารเกือบทั้งหมดเป็นของโปรดของเจาหยวน
“มาลูก มาทานกุ้งผัดซอสเอ็กซ์โอเยอะๆ นี่ของโปรดลูกเลยนี่” คุณหญิงคีบกุ้งตัวโตใส่จานให้เจาหยวน
“ขอบคุณครับคุณแม่”
“เป๋าฮื้อนี่ด้วยนะลูก บำรุงร่างกาย” ท่านประธานเสิ่นเจี๋ยที่นั่งเงียบๆ มานานก็คีบเป๋าฮื้อชิ้นใหญ่ใส่จานให้ลูกสะใภ้เช่นกัน
“ขอบคุณครับคุณพ่อ”
เจาหยวนมองอาหารที่พูนขึ้นเรื่อยๆ ในจานของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้มรับความรักจากพ่อแม่สามี ขณะที่เสิ่นหลางซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ได้แต่มองตาละห้อย
“คุณแม่ครับ ผมก็ชอบกุ้งผัดซอสเอ็กซ์โอนะครับ” เขาเอ่ยขึ้นเรียกร้องความสนใจ
“โตแล้วก็คีบเองสิ” คุณหญิงตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง “อย่าให้หยวนหยวนต้องลำบากบริการเธอด้วยล่ะ”
“โธ่” เสิ่นหลางครางออกมาอย่างน่าสงสาร ก่อนจะหันไปหาพ่อ “คุณพ่อครับ...”
“ฟังแม่เขาเถอะลูก” ท่านประธานเสิ่นเจี๋ยตอบกลับสั้นๆ แต่ได้ใจความ
เสิ่นหลางพ่ายแพ้ย่อยยับ เขาได้แต่ก้มหน้าก้มตาทานข้าวในจานของตัวเองเงียบๆ สลับกับคอยตักอาหารให้ภรรยาและลูกๆ เพื่อทำคะแนน เจาหยวนเห็นท่าทางน่าสงสารปนน่าหมั่นไส้ของสามีแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เขาจึงแอบคีบเนื้อปลาชิ้นสวยที่แกะก้างออกหมดแล้วใส่ไปในจานของเสิ่นหลางเงียบๆ
อัลฟ่าหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ดวงตาคมกริบฉายแววขอบคุณและรักใคร่อย่างสุดซึ้ง ก่อนจะรีบทานเนื้อปลานั้นเข้าไปราวกับกลัวใครจะมาแย่ง
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ โดยเฉพาะเสียงเจื้อยแจ้วของสองแฝดที่กำลังเล่าวีรกรรมที่โรงเรียนให้คุณปู่คุณย่าฟังอย่างออกรส
เจาหยวนมองภาพตรงหน้า ภาพของครอบครัวที่สมบูรณ์และเปี่ยมสุข เขารู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่นำพาเขามาเจอกับเรื่องราวดีๆ เหล่านี้ ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงแอบฝันถึงเงินสิบล้านอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ความสุขที่ได้รับในทุกวันนี้ มันมีค่ามากกว่านั้นนับร้อยนับพันเท่า
เขามองสามีที่กำลังแอบส่งสายตาหวานเชื่อมมาให้ มองลูกชายฝาแฝดที่กำลังยิ้มอย่างร่าเริง และมองพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดูเขาเหมือนลูกชายแท้ๆ
บางที... การไม่ได้เงินสิบล้านนั่น อาจจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาก็ได้
“ระวัง! จะชนแล้ว!” เสิ่นเล่อร้องเสียงหลงเมื่อรถของตัวเองกำลังจะพุ่งเข้าชนขาชั้นวางของ“ดริฟต์สิลูก! ดริฟต์แบบที่ปะป๊าสอน!” เสิ่นหลางตะโกนสั่งการรถคันจิ๋วสีแดงหมุนคว้างอย่างสวยงาม เฉียดขาชั้นวางไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด ก่อนจะพุ่งตรงไปข้างหน้าต่อ เจาหยวนแทบจะหยุดหายใจไม่ได้การละ! ขืนปล่อยไว้แบบนี้สมบัติของชาติต้องพังพินาศเพราะความคึกคะนองของสามพ่อลูกนี่แน่!เจาหยวนสูดหายใจเข้าลึกๆ วางกล่องนาฬิกาเรือนละล้านลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเขาก้าวเดินอย่างมั่นคงไปยังใจกลางของสนามรบย่อมๆ นั้น รังสีอำมหิตอ่อนๆ แผ่ออกมาจากร่างโปร่งบางจนสามพ่อลูกที่กำลังสนุกสนานสัมผัสได้และค่อยๆ ชะลอความเร็วของรถลง“เสิ่นหลาง... เสิ่นอัน... เสิ่นเล่อ...”เจาหยวนเรียกชื่อทั้งสามคนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่เย็นเยียบจนคนฟังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาประสานมือไว้ข้างหน้า ยืนนิ่งๆ มองตรงไปยังจ่าฝูงตัวดี“หยุด... เดี๋ยวนี้ครับ”คำสั้นๆ แต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจนั้นทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักลงทันที รถแข่งสองคันจอดนิ่งสนิทอยู่กับที่ สองแฝดรีบวางรีโมตลงแล้ววิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังหม่าม้าอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผู้สมรู้ร่
หลังจากมื้อค่ำอันแสนอบอุ่นสำหรับเจาหยวน และชวนให้น้อยใจสำหรับเสิ่นหลางสิ้นสุดลง ทุกคนก็ย้ายมายังห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับสวนสวยภายนอกด้วยผนังกระจกใสบานสูง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกคัดสรรมาอย่างดี ผสมผสานความหรูหราเข้ากับความสะดวกสบายได้อย่างลงตัว บนผนังประดับด้วยภาพเขียนจากศิลปินชื่อดัง และในมุมหนึ่งมีแกรนด์เปียโนสีดำขลับตั้งอยู่อย่างสง่างามเจาหยวนถูกคุณหญิงหลิวซูจูงมือให้นั่งลงบนโซฟาบุหนังแท้ที่นุ่มที่สุดราวกับปุยนุ่น ขณะที่ท่านประธานเสิ่นเจี๋ยทรุดตัวลงนั่งบนอาร์มแชร์ตัวโปรดพลางจิบชาอู่หลงชั้นเลิศอย่างสบายอารมณ์ สองแฝดตัวน้อยวิ่งปร๋อไปยังกองของเล่นขนาดมหึมาที่คุณย่าเตรียมไว้ให้ ซึ่งดูเหมือนจะมีของเล่นใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่พวกเขามาเยือนเหลือก็แต่ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล... ที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่อีกฝั่งของโซฟาอย่างโดดเดี่ยวเสิ่นหลางกอดอกมองภาพครอบครัวสุขสันต์ตรงหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงของประดับราคาแพงที่ถูกลืมไว้ในมุมห้อง ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครพูดด้วย เป็นความรู้สึกที่เขาประสบพบเจอเป็นประจำทุกครั้งที่กลับมาที่บ้านใหญ่แห่งนี้“หยวนหยวนลูก” คุณห
เมื่อรถจอดสนิทหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ เจาหยวนก้าวขาลงจากรถแทบไม่ไหว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็กๆ ที่กำลังจะเดินเข้าสู่ปราสาทของราชสีห์เสิ่นหลางจูงมือเขาเดินเข้าไปในบ้าน ทุกย่างก้าวช่างหนักอึ้ง ภายในห้องรับแขกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ร่างของชายหญิงสูงวัยสองคนนั่งรออยู่บนโซฟาหลุยส์ตัวใหญ่ นั่นคือท่านประธานเสิ่นเจี๋ย และคุณหญิงหลิวซู บิดามารดาของเสิ่นหลาง บรรยากาศกดดันจนเจาหยวนแทบหยุดหายใจเขากำลังจะก้มหัวแนะนำตัวตามบทที่ท่องมาทั้งคืน แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...คุณหญิงหลิวซูที่ตอนแรกนั่งนิ่งด้วยมาดนางพญา จู่ๆ ก็เบิกตากว้าง จ้องมองมาที่เขาและมือของเขาที่กุมอยู่กับมือของลูกชายท่านอย่างไม่วางตา ก่อนที่มาดนางพญานั้นจะพังทลายลงในพริบตา“พระเจ้า! เรื่องจริงเหรอเนี่ย!?” คุณหญิงร้องออกมาเสียงดัง ก่อนจะลุกพรวดพราดเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาทันที “เสิ่นหลาง! นี่... นี่ลูก... ลูกมีคนที่ชอบแล้วจริงๆ เหรอ!?”เจาหยวนยืนตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก คุณหญิงเดินเข้ามาใกล้แล้วจับจ้องใบหน้าของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ แววตาของท่านไม่ได้ดูถูกเหยียดหยาม แต่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและ... ความโล่งอก?“
บ่ายวันเสาร์ รถยนต์ซีดานสีดำสนิทเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลผ่านประตูเหล็กดัดขนาดมหึมาที่เปิดออกต้อนรับอย่างช้าๆ สองข้างทางคือสนามหญ้าสีเขียวขจีที่ได้รับการตัดแต่งอย่างประณีต สลับกับสวนดอกไม้นานาพรรณที่กำลังเบ่งบานอวดสีสันงดงาม เส้นทางที่ทอดยาวเข้าไปด้านในเผยให้เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่โตโอ่อ่าที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกของจีนและความโมเดิร์นของตะวันตกได้อย่างลงตัวนี่คือ ‘บ้านใหญ่’ ของตระกูลเสิ่น สถานที่ที่เจาหยวนเคยก้าวเข้ามาด้วยความประหม่าเมื่อหกปีก่อน และเป็นสถานที่ที่ทำให้ภาพฝันในละครน้ำเน่าของเขาพังทลายลงไม่เป็นท่า“ถึงแล้ว! บ้านคุณปู่คุณย่า!” เสียงเจื้อยแจ้วของเสิ่นเล่อดังขึ้นจากเบาะหลัง เด็กชายนั่งไม่ติดที่ด้วยความตื่นเต้น ผิดกับเสิ่นอันที่นั่งนิ่งๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง แต่แววตาที่ส่องประกายก็บ่งบอกว่าเขาก็ดีใจไม่แพ้น้องชายเสิ่นหลางจอดรถเทียบหน้าทางเข้าหลักของตัวคฤหาสน์ และทันทีที่รถจอดสนิท ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างของหญิงสูงวัยแต่ยังคงความงดงามไม่สร่างซา ‘คุณหญิงหลิวซู’ หรืออดีตนักแสดงชื่อดัง หลิวซูซิน ยืนรอต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้มก
“สวัสดีครับ คุณแม่”เสียงของเจาหยวนนุ่มนวลและสุภาพอย่างเคย แม้ในใจจะกำลังตีลังกาสามตลบกับความเป็นไปได้ของเงินรางวัลสิบล้านที่อาจจะหลุดลอยไป เขากระชับโทรศัพท์ในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย รอฟังคำตัดสินชี้ชะตาจากปลายสาย“หยวนหยวน! ลูกรัก!” เสียงที่ตอบกลับมานั้นสดใสและเปี่ยมด้วยความยินดีอย่างที่คุ้นเคย ไม่ได้มีร่องรอยของความเย็นชาหรือการข่มขู่อยู่เลยแม้แต่น้อย “แม่เองนะลูก โทรมาตอนนี้ไม่ได้รบกวนใช่ไหมจ๊ะ”“ไม่เลยครับคุณแม่ ผมกำลังไปบริษัทกับเสิ่นหลาง”“อ้อ เจ้าลูกชายตัวดีก็อยู่ด้วยเหรอ” น้ำเสียงของคุณหญิงเสิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง ก่อนจะกลับมาอ่อนหวานดังเดิมเมื่อพูดกับเขา “ช่างเถอะๆ อย่าไปสนใจเขาเลย แม่มีเรื่องจะคุยกับลูกน่ะ”เจาหยวนเหลือบมองคนขับรถที่นั่งอยู่ข้างๆ เสิ่นหลางยังคงมีสมาธิกับการขับรถ แต่ใบหูของเขาตั้งชันอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกว่ากำลังแอบฟังทุกถ้อยคำอย่างตั้งใจ เจาหยวนได้แต่กลั้นยิ้ม“ครับคุณแม่ มีอะไรหรือเปล่าครับ”“สุดสัปดาห์นี้ลูกกับหลานๆ ว่างไหมจ๊ะ แม่คิดถึงพวกหนูใจจะขาดแล้ว โดยเฉพาะหน้าของลูกน่ะ ไม่ได้เห็นไม่กี่วันเหมือนใจจะเฉาตาย”เจาหยวนกะพริบตาปริบ
หลังจากมื้อเช้าอันแสนวุ่นวายสิ้นสุดลง ก็ถึงเวลาที่ต้องไปส่งสองแฝดที่โรงเรียนอนุบาลนานาชาติซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดมากนัก เสิ่นหลางซึ่งวันนี้แต่งตัวเต็มยศในชุดสูทสีเทาเข้มสั่งตัดพิเศษ ขับรถสปอร์ตคันหรูออกจากที่จอดรถด้วยตัวเอง โดยมีเจาหยวนนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนเบาะหลังคือที่นั่งของสองตัวป่วนที่กำลังร้องเพลงอย่างมีความสุขเมื่อมาถึงหน้าโรงเรียน เจาหยวนกำลังจะลงไปส่งลูกๆ แต่เสิ่นหลางกลับคว้ามือเขาไว้ก่อน“ให้ผมไปส่งเอง” เขากล่าวเสียงนุ่ม“แต่คุณจะไปประชุมสาย...”“ไม่เป็นไร แค่ห้านาที” เสิ่นหลางยืนกราน ก่อนจะลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูให้ลูกชายทั้งสองคน ภาพของท่านประธานเทียนหลงกรุ๊ปในชุดสูทเต็มยศ กำลังจูงมือเด็กชายฝาแฝดในชุดนักเรียนเดินเข้าไปในโรงเรียนกลายเป็นภาพที่เรียกสายตาจากบรรดาผู้ปกครองคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเหล่าคุณแม่โอเมก้าที่มองตามด้วยความชื่นชมเจาหยวนมองภาพนั้นจากในรถแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ เขารู้ดีว่าเสิ่นหลางไม่ได้แค่อยากไปส่งลูก แต่เขาอยากจะ ‘ประกาศอาณาเขต’ ให้ทุกคนรู้ว่าเด็กสองคนนี้และโอเมก้าที่นั่งอยู่ในรถเป็นของเขาต่างหาก... ช่างเป็นอัลฟ่าที่ขี้หวงไม่เปลี่ยน

![นายบำเรอของมาเฟีย [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)





