เข้าสู่ระบบหลังจากจัดการสองแฝดตัวน้อยเสร็จสิ้น ภารกิจต่อไปก็คือการปลุกพายุลูกที่สาม เจาหยวนเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่ที่ยังคงมีเพียงแสงสลัวลอดผ่านม่านทึบ บนเตียงคิงไซส์ขนาดใหญ่โต ร่างสูงกำยำของ ‘เสิ่นหลาง’ นอนคว่ำหน้าอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา เห็นเพียงกลุ่มผมสีดำขลับที่ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย กับแผ่นหลังกว้างที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจสม่ำเสมอ
กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าของเสิ่นหลางเป็นกลิ่นไม้จันทน์หอม ให้ความรู้สึกอบอุ่น สุขุม และน่าเกรงขาม เป็นกลิ่นที่ทำให้โอเมก้าทั่วประเทศใจสั่นยามที่เขาปรากฏตัวในที่สาธารณะ แต่สำหรับเจาหยวนแล้ว กลิ่นนี้ในยามเช้ามันช่างเหมือนกลิ่นของเด็กชายตัวโตที่กำลังนอนขี้เซาไม่ผิดเพี้ยน
เจาหยวนทรุดตัวนั่งลงข้างเตียงอย่างแผ่วเบา ยื่นมือไปลูบไล้กลุ่มผมของสามี “เสิ่นหลาง ตื่นได้แล้วครับ จะเจ็ดโมงแล้วนะ”
ไม่มีการตอบสนองใดๆ นอกจากเสียงครางงัวเงียในลำคอ
“คุณต้องไปประชุมเช้านี้นะครับ เดี๋ยวสายนะ” เจาหยวนลองอีกครั้ง พลางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆ
คราวนี้ร่างสูงพลิกตัวกลับมานอนหงาย ดวงตาคมกริบที่ปกติจะฉายแววเฉียบขาดอยู่เสมอยังคงปิดสนิท แต่ริมฝีปากหยักได้รูปกลับขยับพูดออกมาเสียงอู้อี้ “ขอห้านาที... หยวนหยวน... ขอกอดหน่อย”
ไม่พูดเปล่า สองแขนแข็งแรงก็ตวัดรวบเอวบางของเจาหยวนเข้าไปกอดไว้แน่น ก่อนจะซุกใบหน้าหล่อเหลาลงกับหน้าท้องแบนราบของภรรยาอย่างออดอ้อน สูดดมกลิ่นชานมไข่มุกหอมหวานเข้าเต็มปอด
เจาหยวนได้แต่ปล่อยให้สามีตัวโตทำตามใจ นี่คือเสิ่นหลางในเวอร์ชันที่คนทั้งโลกไม่มีวันได้เห็น ชายผู้ที่สามารถทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ บัดนี้กลับทำตัวไม่ต่างจากเสิ่นเล่อที่กำลังเรียกร้องความสนใจจากเขา
“พอเลยครับ ลุกได้แล้ว” เจาหยวนดึงแก้มสามีเบาๆ “ลูกๆ รอทานข้าวเช้าอยู่”
“ให้ลูกรอก่อน... ให้พ่อทานก่อนไม่ได้เหรอ” เสิ่นหลางพูดเสียงแหบพร่า ลืมตาขึ้นมองภรรยาด้วยแววตาพราวระยับ ก่อนจะเลื่อนใบหน้าขึ้นมาหมายจะขโมยจูบอรุณสวัสดิ์
ปัง!
ประตูห้องนอนถูกเปิดออกอย่างแรง พร้อมกับการปรากฏตัวของสองสมาชิกตัวน้อย
“ปะป๊าขี้โกง! จะกินหม่าม้าก่อนพวกเราได้ยังไง!” เสิ่นเล่อตะโกนลั่น ก่อนจะวิ่งนำทัพมาแล้วกระโดดขึ้นเตียงหมายจะแทรกกลางระหว่างพ่อกับแม่
เสิ่นอันตามมาติดๆ ปีนขึ้นเตียงอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเข้าไปกอดเจาหยวนจากอีกด้านหนึ่ง พร้อมกับส่งสายตาตำหนิไปให้ผู้เป็นพ่อ
สงครามแย่งชิงหม่าม้ายามเช้าได้อุบัติขึ้นอย่างเป็นทางการ เสิ่นหลางแสร้งทำเสียงไม่พอใจ “เฮ้! นี่หม่าม้าของปะป๊านะ เจ้าเด็กสองคนนี้!”
“หม่าม้าของพวกเราต่างหาก!” สองแฝดประสานเสียงตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้
ภาพของชายร่างสูงใหญ่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากผ้าห่มกับเด็กชายตัวเล็กสองคน โดยมีเจาหยวนอยู่ตรงกลางและได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนกลายเป็นภาพชินตาไปเสียแล้ว สุดท้ายเจาหยวนก็ต้องเป็นคนยุติสงครามด้วยการประกาศิตว่า “ถ้าอีกห้านาทีทุกคนยังไม่ไปที่โต๊ะอาหาร วันนี้งดพุดดิ้ง”
คำขู่ได้ผลชะงัด สามพ่อลูกหยุดชะงักทันที ก่อนจะรีบผละออกจากกันแล้ววิ่งแข่งกันไปยังโต๊ะอาหาร เจาหยวนมองตามแผ่นหลังของ ‘ลูกชาย’ ทั้งสามคนแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ นี่เขามีสามีหรือมีลูกชายคนโตกันแน่นะ
อาหารเช้าง่ายๆ ถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะเรียบร้อย ขนมปังปิ้ง นมสด และผลไม้ แต่ความสงบสุขบนโต๊ะอาหารอยู่ได้ไม่นาน เมื่อเสิ่นหลางเริ่มเล่นกับลูกๆ ด้วยการใช้ขนมปังทำเป็นเครื่องบินแล้วบินไปมา ส่งผลให้เสิ่นเล่อทำตามอย่างสนุกสนานจนแยมสตรอว์เบอร์รีเปรอะไปทั่วใบหน้า มีเพียงเสิ่นอันที่ยังคงนั่งกินอย่างสงบเสงี่ยม แต่ดวงตากลับจับจ้องการเล่นของพ่อกับน้องชายอย่างสนใจ
เจาหยวนถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ของเช้าแล้วก็ไม่รู้ เขายื่นทิชชู่ไปเช็ดปากให้เสิ่นเล่อ พลางส่งสายตาดุๆ ไปให้ตัวต้นเรื่อง “เสิ่นหลาง เลิกเล่นได้แล้วครับ คุณเป็นประธานบริษัทนะ ไม่ใช่เด็กสามขวบ”
“อยู่กับหยวนหยวน ผมก็เป็นแค่เด็กสามขวบของหยวนหยวนคนเดียวนั่นแหละ” เสิ่นหลางตอบกลับหน้าตาเฉย พร้อมกับขยิบตาส่งมาให้หนึ่งที ก่อนจะหันไปจัดการอาหารเช้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว
เจาหยวนรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เขาก็ยังไม่ชินกับคำพูดหวานเลี่ยนที่ออกมาจากปากชายที่เคยมีภาพลักษณ์เย็นชาคนนี้อยู่ดี
“ระวัง! จะชนแล้ว!” เสิ่นเล่อร้องเสียงหลงเมื่อรถของตัวเองกำลังจะพุ่งเข้าชนขาชั้นวางของ“ดริฟต์สิลูก! ดริฟต์แบบที่ปะป๊าสอน!” เสิ่นหลางตะโกนสั่งการรถคันจิ๋วสีแดงหมุนคว้างอย่างสวยงาม เฉียดขาชั้นวางไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด ก่อนจะพุ่งตรงไปข้างหน้าต่อ เจาหยวนแทบจะหยุดหายใจไม่ได้การละ! ขืนปล่อยไว้แบบนี้สมบัติของชาติต้องพังพินาศเพราะความคึกคะนองของสามพ่อลูกนี่แน่!เจาหยวนสูดหายใจเข้าลึกๆ วางกล่องนาฬิกาเรือนละล้านลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเขาก้าวเดินอย่างมั่นคงไปยังใจกลางของสนามรบย่อมๆ นั้น รังสีอำมหิตอ่อนๆ แผ่ออกมาจากร่างโปร่งบางจนสามพ่อลูกที่กำลังสนุกสนานสัมผัสได้และค่อยๆ ชะลอความเร็วของรถลง“เสิ่นหลาง... เสิ่นอัน... เสิ่นเล่อ...”เจาหยวนเรียกชื่อทั้งสามคนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่เย็นเยียบจนคนฟังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาประสานมือไว้ข้างหน้า ยืนนิ่งๆ มองตรงไปยังจ่าฝูงตัวดี“หยุด... เดี๋ยวนี้ครับ”คำสั้นๆ แต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจนั้นทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักลงทันที รถแข่งสองคันจอดนิ่งสนิทอยู่กับที่ สองแฝดรีบวางรีโมตลงแล้ววิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังหม่าม้าอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผู้สมรู้ร่
หลังจากมื้อค่ำอันแสนอบอุ่นสำหรับเจาหยวน และชวนให้น้อยใจสำหรับเสิ่นหลางสิ้นสุดลง ทุกคนก็ย้ายมายังห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับสวนสวยภายนอกด้วยผนังกระจกใสบานสูง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกคัดสรรมาอย่างดี ผสมผสานความหรูหราเข้ากับความสะดวกสบายได้อย่างลงตัว บนผนังประดับด้วยภาพเขียนจากศิลปินชื่อดัง และในมุมหนึ่งมีแกรนด์เปียโนสีดำขลับตั้งอยู่อย่างสง่างามเจาหยวนถูกคุณหญิงหลิวซูจูงมือให้นั่งลงบนโซฟาบุหนังแท้ที่นุ่มที่สุดราวกับปุยนุ่น ขณะที่ท่านประธานเสิ่นเจี๋ยทรุดตัวลงนั่งบนอาร์มแชร์ตัวโปรดพลางจิบชาอู่หลงชั้นเลิศอย่างสบายอารมณ์ สองแฝดตัวน้อยวิ่งปร๋อไปยังกองของเล่นขนาดมหึมาที่คุณย่าเตรียมไว้ให้ ซึ่งดูเหมือนจะมีของเล่นใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่พวกเขามาเยือนเหลือก็แต่ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล... ที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่อีกฝั่งของโซฟาอย่างโดดเดี่ยวเสิ่นหลางกอดอกมองภาพครอบครัวสุขสันต์ตรงหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงของประดับราคาแพงที่ถูกลืมไว้ในมุมห้อง ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครพูดด้วย เป็นความรู้สึกที่เขาประสบพบเจอเป็นประจำทุกครั้งที่กลับมาที่บ้านใหญ่แห่งนี้“หยวนหยวนลูก” คุณห
เมื่อรถจอดสนิทหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ เจาหยวนก้าวขาลงจากรถแทบไม่ไหว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็กๆ ที่กำลังจะเดินเข้าสู่ปราสาทของราชสีห์เสิ่นหลางจูงมือเขาเดินเข้าไปในบ้าน ทุกย่างก้าวช่างหนักอึ้ง ภายในห้องรับแขกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ร่างของชายหญิงสูงวัยสองคนนั่งรออยู่บนโซฟาหลุยส์ตัวใหญ่ นั่นคือท่านประธานเสิ่นเจี๋ย และคุณหญิงหลิวซู บิดามารดาของเสิ่นหลาง บรรยากาศกดดันจนเจาหยวนแทบหยุดหายใจเขากำลังจะก้มหัวแนะนำตัวตามบทที่ท่องมาทั้งคืน แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...คุณหญิงหลิวซูที่ตอนแรกนั่งนิ่งด้วยมาดนางพญา จู่ๆ ก็เบิกตากว้าง จ้องมองมาที่เขาและมือของเขาที่กุมอยู่กับมือของลูกชายท่านอย่างไม่วางตา ก่อนที่มาดนางพญานั้นจะพังทลายลงในพริบตา“พระเจ้า! เรื่องจริงเหรอเนี่ย!?” คุณหญิงร้องออกมาเสียงดัง ก่อนจะลุกพรวดพราดเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาทันที “เสิ่นหลาง! นี่... นี่ลูก... ลูกมีคนที่ชอบแล้วจริงๆ เหรอ!?”เจาหยวนยืนตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก คุณหญิงเดินเข้ามาใกล้แล้วจับจ้องใบหน้าของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ แววตาของท่านไม่ได้ดูถูกเหยียดหยาม แต่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและ... ความโล่งอก?“
บ่ายวันเสาร์ รถยนต์ซีดานสีดำสนิทเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลผ่านประตูเหล็กดัดขนาดมหึมาที่เปิดออกต้อนรับอย่างช้าๆ สองข้างทางคือสนามหญ้าสีเขียวขจีที่ได้รับการตัดแต่งอย่างประณีต สลับกับสวนดอกไม้นานาพรรณที่กำลังเบ่งบานอวดสีสันงดงาม เส้นทางที่ทอดยาวเข้าไปด้านในเผยให้เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่โตโอ่อ่าที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกของจีนและความโมเดิร์นของตะวันตกได้อย่างลงตัวนี่คือ ‘บ้านใหญ่’ ของตระกูลเสิ่น สถานที่ที่เจาหยวนเคยก้าวเข้ามาด้วยความประหม่าเมื่อหกปีก่อน และเป็นสถานที่ที่ทำให้ภาพฝันในละครน้ำเน่าของเขาพังทลายลงไม่เป็นท่า“ถึงแล้ว! บ้านคุณปู่คุณย่า!” เสียงเจื้อยแจ้วของเสิ่นเล่อดังขึ้นจากเบาะหลัง เด็กชายนั่งไม่ติดที่ด้วยความตื่นเต้น ผิดกับเสิ่นอันที่นั่งนิ่งๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง แต่แววตาที่ส่องประกายก็บ่งบอกว่าเขาก็ดีใจไม่แพ้น้องชายเสิ่นหลางจอดรถเทียบหน้าทางเข้าหลักของตัวคฤหาสน์ และทันทีที่รถจอดสนิท ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างของหญิงสูงวัยแต่ยังคงความงดงามไม่สร่างซา ‘คุณหญิงหลิวซู’ หรืออดีตนักแสดงชื่อดัง หลิวซูซิน ยืนรอต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้มก
“สวัสดีครับ คุณแม่”เสียงของเจาหยวนนุ่มนวลและสุภาพอย่างเคย แม้ในใจจะกำลังตีลังกาสามตลบกับความเป็นไปได้ของเงินรางวัลสิบล้านที่อาจจะหลุดลอยไป เขากระชับโทรศัพท์ในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย รอฟังคำตัดสินชี้ชะตาจากปลายสาย“หยวนหยวน! ลูกรัก!” เสียงที่ตอบกลับมานั้นสดใสและเปี่ยมด้วยความยินดีอย่างที่คุ้นเคย ไม่ได้มีร่องรอยของความเย็นชาหรือการข่มขู่อยู่เลยแม้แต่น้อย “แม่เองนะลูก โทรมาตอนนี้ไม่ได้รบกวนใช่ไหมจ๊ะ”“ไม่เลยครับคุณแม่ ผมกำลังไปบริษัทกับเสิ่นหลาง”“อ้อ เจ้าลูกชายตัวดีก็อยู่ด้วยเหรอ” น้ำเสียงของคุณหญิงเสิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง ก่อนจะกลับมาอ่อนหวานดังเดิมเมื่อพูดกับเขา “ช่างเถอะๆ อย่าไปสนใจเขาเลย แม่มีเรื่องจะคุยกับลูกน่ะ”เจาหยวนเหลือบมองคนขับรถที่นั่งอยู่ข้างๆ เสิ่นหลางยังคงมีสมาธิกับการขับรถ แต่ใบหูของเขาตั้งชันอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกว่ากำลังแอบฟังทุกถ้อยคำอย่างตั้งใจ เจาหยวนได้แต่กลั้นยิ้ม“ครับคุณแม่ มีอะไรหรือเปล่าครับ”“สุดสัปดาห์นี้ลูกกับหลานๆ ว่างไหมจ๊ะ แม่คิดถึงพวกหนูใจจะขาดแล้ว โดยเฉพาะหน้าของลูกน่ะ ไม่ได้เห็นไม่กี่วันเหมือนใจจะเฉาตาย”เจาหยวนกะพริบตาปริบ
หลังจากมื้อเช้าอันแสนวุ่นวายสิ้นสุดลง ก็ถึงเวลาที่ต้องไปส่งสองแฝดที่โรงเรียนอนุบาลนานาชาติซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดมากนัก เสิ่นหลางซึ่งวันนี้แต่งตัวเต็มยศในชุดสูทสีเทาเข้มสั่งตัดพิเศษ ขับรถสปอร์ตคันหรูออกจากที่จอดรถด้วยตัวเอง โดยมีเจาหยวนนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนเบาะหลังคือที่นั่งของสองตัวป่วนที่กำลังร้องเพลงอย่างมีความสุขเมื่อมาถึงหน้าโรงเรียน เจาหยวนกำลังจะลงไปส่งลูกๆ แต่เสิ่นหลางกลับคว้ามือเขาไว้ก่อน“ให้ผมไปส่งเอง” เขากล่าวเสียงนุ่ม“แต่คุณจะไปประชุมสาย...”“ไม่เป็นไร แค่ห้านาที” เสิ่นหลางยืนกราน ก่อนจะลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูให้ลูกชายทั้งสองคน ภาพของท่านประธานเทียนหลงกรุ๊ปในชุดสูทเต็มยศ กำลังจูงมือเด็กชายฝาแฝดในชุดนักเรียนเดินเข้าไปในโรงเรียนกลายเป็นภาพที่เรียกสายตาจากบรรดาผู้ปกครองคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเหล่าคุณแม่โอเมก้าที่มองตามด้วยความชื่นชมเจาหยวนมองภาพนั้นจากในรถแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ เขารู้ดีว่าเสิ่นหลางไม่ได้แค่อยากไปส่งลูก แต่เขาอยากจะ ‘ประกาศอาณาเขต’ ให้ทุกคนรู้ว่าเด็กสองคนนี้และโอเมก้าที่นั่งอยู่ในรถเป็นของเขาต่างหาก... ช่างเป็นอัลฟ่าที่ขี้หวงไม่เปลี่ยน







