บทที่ 10 ค่ำคืนอันยาวนาน
“เฮ้อ...มืดอีกแล้ว”
หลังจากที่เด็กๆ กลับไปจนหมด กว่าที่ฟ้าจะมืดก็ยาวนานนับสิบชั่วโมงเห็นจะได้ ซึ่งพอดวงตะวันลับขอบฟ้าลงไป ก็เหมือนกับในทุกๆ วันที่ผ่านมา ที่นางออกมานั่งถอนหายใจมองท้องฟ้าข้างๆ กองไฟเหมือนทุกวัน
เดือนกว่าๆ...
เหมือนกับว่ามันอาจจะเป็นเหมือนเวลาเพียงแค่สั้นๆ ไม่กี่วัน แต่ในละวันที่เนิ่นนานกว่าโลกเดิมถึงสิบเท่า แล้วแต่ละเดือนยังมีเวลาที่มากถึงร้อยวัน!
ในตอนแรกนางก็ยังคงพยายามนับวันเวลาอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเดินทางมาถึงตรงนี้ นางเริ่มเข้าใจที่ผู้คนเริ่มไม่นับวันเวลากันไปแล้ว ถ้าเช้าก็แค่ตื่นนอน ใช้ชีวิตในยามที่มีแสงตะวันเหมือนปกติทั่วไป หิวเมื่อไหร่ก็กินเพราะถึงยังไงนางก็มีของกินมากพอที่จะให้กินไปชั่วชีวิตอยู่แล้ว ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร
ก็มีแต่ในช่วงเวลากลางคืนที่แสนจะยาวนานนี่แหละที่นางไม่คุ้นชินสักที...
“คนที่นี่เขานอนยังไงกันทีนึงเป็นสิบวันกันนะ ก็จริงแหละที่โลกนี้เวลามันต่างกันมาก แต่โลกเก่าของพวกเราวันนึงมันมีแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงเองนะสัง ถ้าคิดเป็นเวลาของที่นี่ก็สิบสองชั่วยาม แต่ชั่วยามนึงมันควรจะแค่สองชั่วโมงเหมือนในหนังจีนสิ ไม่ใช่ยี่สิบชั่วโมงแบบนี้”
นางบ่นพลางล้มตัวลงกอดเจ้าหมาทิเบตันมาสทิฟฟ์ตัวใหญ่ยักษ์ ที่ไม่ว่าจะคลุกฝุ่นไม่อาบน้ำมานานมากแล้ว แต่ขนของมันก็ยังนุ่มลื่นและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อยู่เสมอ
“...”
เจ้าตูบตัวโตไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับมา เพียงแค่เอาหัวของมันไซ้เด็กหญิงเบาๆ ก่อนที่จะกลับไปนอนต่อเหมือนกับทุกๆ วัน เพราะเย่หัวเองก็มักจะบ่นเรื่องทำนองนี้เหมือนกันในทุกๆ วันที่ผ่านพ้นไป
หลังจากนั้นหนึ่งคนหนึ่งหมาก็พูดคุยกัน...
ไม่ใช่สิต้องบอกว่าเป็นเย่หัวที่พูดคุยเพียงแค่ฝ่ายเดียว โดยจะมีเจ้าสังคอยร้องครางอูมๆ ตอบรับเป็นระยะๆ บ้างก็ผงกหัวหรือคลอเคลียนางเป็นระยะๆ ตั้งแต่ดวงจันทร์ดวงแรกโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้าจนดวงจันทร์ดวงที่สองและสามตามมา
จนเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจจะทราบได้สุดท้ายเด็กหญิงนอนหลับไปโดยที่ก็ยังกอดเจ้าเพื่อนตัวโตอยู่นอนแอ้งแม้งอยู่แบบนั้น แล้วจะมีท่อนฟืนที่ถูกเก็บเอาไว้หลังบ้าน “ลอย” ลงมาเติมในกองไฟเองเป็นระยะๆ
จนกระทั่ง...
“...!”
จู่ๆ เจ้าสังก็ผงกหัวขึ้นมาอย่างแรงมองไปทางชายป่าที่มืดมิด แล้วแยกเขี้ยวครางฮูออกมา แต่เมื่อมันรับรู้ถึงแรงขยับของเด็กหญิงมันก็กลับไปสงบอีกครั้ง โดยที่ยังมองไปทางชายป่าไกลๆ ไม่ว่างตา
“หูดีนักนะมึง!”
ณ ชายป่าที่ไกลออกไปไกลลิบ มีชายผู้นึ่งสบถออกมาอย่างหัวเสีย พลางมองกองไฟที่ยังคงติดอยู่ก่อนที่จะเดินหายลับไปท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนที่ไม่ได้มืดขนาดนั้นเนื่องจากแสงจันทราถึงสามดวง
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้....
ตั้งแต่ในตอนที่ “บุตรชาย” ของเขาได้บอกเล่าว่าเด็กๆ ได้ทำอะไรบ้างในวันนี้เขาก็รู้สึกร้อนรุ่มและหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ไม่สิต้องบอกว่าเขารู้สึกไม่ดีตั้งแต่ที่เด็กหญิงก้าวเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้แล้วด้วยซ้ำ!
ยิ่งเมื่อนางเริ่มแจกจ่ายอาหารให้แก่ผู้คนในหมู่บ้านแลกกับการทำงานเพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ แต่นางกลับมอบเนื้อสัตว์ที่ล้ำค่าหาได้ยากและพืชหัวอะไรสักอย่างที่ให้พลังงานสูงให้กับคนในหมู่บ้าน เขาก็ยิ่งอัดแน่นไปด้วยความโกรธเกี้ยวจนแทบจะไม่สามารถที่จะควบคุมการแสดงออกทางใบหน้าได้เสียด้วยซ้ำ
เขาจึงพยายามที่จะไม่พูดคุยหรือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของ “คุณหนู” คนใหม่ของหมู่บ้านแห่งนี้ถ้าหากไม่มีความจำเป็นจริงๆ
ในช่วงแรกเขาก็คิดว่าไม่นานอาหารที่เด็กหญิงผู้นั้นมอบให้กับคนในหมู่บ้านจะหมดลง แต่ทุกอย่างมันกลับไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวังเอาไว้
เพราะมันกลับแตกต่างจากที่เขาคิดอย่างสิ้นเชิง!
ย้อนกลับไปในช่วงแรกๆ ที่เด็กหญิงออกปากขอความช่วยเหลือของคนในหมู่บ้าน นางเพียงแค่จ้างวานด้วยหัวมันเผาเพียงแค่ไม่กี่หัวเท่านั้น แลกกับการสร้างที่พักเล็กๆ ให้กับนางและหมาตัวโตของนาง
สำหรับนางนั้นอาจจะเพียงแค่มันไม่กี่หัว แต่สำหรับผู้คนในหมู่บ้านที่แทบจะไม่มีอะไรดีๆ กินมานานแล้ว การที่ได้กินมันเผาที่ทั้งหวานทั้งนุ่มซ้ำยังทำให้ผู้ที่กินมันมีเรี่ยวมีแรงขึ้นอย่างมาก ทั้งยังค่าจ้างในคราแรกครานั้นก็ยังมากพอที่จะให้พวกเขากินอิ่มทั้งครอบครัวด้วยการทำเพียงแค่งานง่ายๆ
จากนั้นมาข่าวคราวนั้นก็ได้ถูกกระจายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ราวไฟลามทุ่ง!
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง