บทที่ 18 ความปรารถนาที่เป็นจริง
ในตลอดค่ำคืนอันยาวนานที่เด็กหญิงล่องลอยไปในห้องแห่งความฝันที่ไม่มีใครล่วงรู้ ผู้คนในหมู่บ้านทุกคนต่างก็มีความสุขแทบจะทุกผู้ตัวคน จะยกเว้นก็แต่บุคคนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่อยู่ไม่สุข ผุดลุกผุดนั่งอยู่อย่างนั้น และเริ่มที่จะไม่สามารถควบคุมสติของตนเองในบางครั้ง แต่เมื่อได้ยินเสียงกรนเบาๆ ของบุตรชายมันก็ทำให้สติของเขากลับมา
ความร้อนรนที่แทบจะไม่เคยถูกดับลงไปเลยสักหนตลอดชีวิตตั้งแต่จำความได้ มีเพียงแค่ช่วงเวลาที่นึกถึงบุตรชายผู้สืบสายเลือดของเขาเท่านั้นที่ทำให้เขาพอจะกลับมาพยายามในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้
ความตั้งใจ...
สำหรับคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีอะไรดีหรือแย่ เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งที่บังเอิญมาเกิดในบ้านที่มีพี่ชายที่เก่งกาจในทุกๆ ด้าน เมื่อวันหนึ่งเขาได้แต่งงานมีครอบครัว
และมีเจ้าอวบอ้วนตัวน้อยถือกำเนิดขึ้นมา ทำให้เขาเลิกน้อยเนื้อต่ำใจตัวเองไปชั่วขณะ...
จนกระทั่งในวันหนึ่ง ในตอนที่ลูกชายตัวน้อยอายุได้สามขวบปี แล้วไปชื่นชมพี่ชายผู้แข็งแกร่งและแสนดีของเขาเสียเหลือเกิน มันคือฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้จางเว่ยได้ตอบรับต่อเสียงกระซิบที่ดังอยู่ในหัวมาตั้งแต่จำความได้...
โดยที่มีเป้าหมายแค่เพียงอยากที่จะเป็นคนที่ลูกชายของตนเองชื่นชม นั่นคือความต้องการทั้งหมดและเป็นจุดเริ่มต้นกับข้อตกลงที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเขา
และตัวเขาเองก็ค่อยๆ เดินออกมาจากความตั้งใจของตนเองเรื่อยมา จนแทบจะไม่สามารถที่จะจดจำความตั้งใจของตนเองได้อีกแล้ว
“พังน้อย...พ่อจะทำอย่างไรดี”
เสียงรำพึงเบาๆ ที่แว่วผ่านสายลมดังออกมาจากปากของจ่างเว่ย ที่กำลังหลับตายืนอยู่เงียบๆ อยู่กลางท้องฟ้า โดยที่เขาไม่มีทางจะสามารถรับรู้ได้เลยว่า...
ทางที่เขาเลือกเดินนั้น...
...มันจะนำความเสียใจที่สุดในชีวิตนี้มาให้แก่ตัวเขาในสักวัน
รุ่งสาง
วันนี้ก็เป็นวันธรรมดาๆ อีกวันหนึ่งที่ไม่ได้แตกต่างจากวันที่ผ่านๆ มา ที่เด็กๆ จะมาช่วยกันทำโน่นทำนี่ แต่เนื่องจากไม่ได้มีงานอะไรมากมาย มีแค่การดูแลแปลงที่นอกจากเถามันที่โตเร็วมากกับเถามันที่เริ่มเลื้อยไปไกลกับแตกกิ่งก้านมากกว่าเมื่อวานอีกเกินเท่าตัว
ความเปลี่ยนแปลงที่มากที่สุดในช่วงเช้าก็คงเป็นสายน้ำที่เริ่มขยายตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ถึงจะยังไม่มากพอที่จะไหลไปถึงหมู่บ้าน แต่ตลอดระยะทางครึ่งลี้ที่เป็นส่วนของไร่หน้าบ้านของเย่หัวนั้นจากลำธารที่แห้งขอดไม่กี่วันก่อนก็เริ่มกลายเป็นสายน้ำสายเล็กๆ ที่มากพอจะทำให้เด็กๆ เล่นสนุกกันได้ตลอดวัน
จวบจนกระทั่งเวลาเข้าสู่ช่วงเย็นเย่หัวที่รู้สึกถึงอะไรบางอย่างก็ได้แวะมาดูที่แปลงมัน ในขณะที่เด็กๆ กำลังดื่มกินมื้อสุดท้ายก่อนที่จะกลับบ้านกัน ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่นางรอคอยในที่สุด...
ในส่วนของมันฝรั่งในในตอนนี้โตเกือบจะท่วมหัวของนางแล้ว และที่สำคัญที่สุดเมื่อเขาไปดูใกล้ๆ ดวงตาของเด็กน้อยก็เป็นประกายวาววับ
และเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของมันฝรั่งเป็นไปตามที่ถูกที่ควรแล้ว นางจึงรีบวิ่งไปดูที่แปลงมันหวาน เมื่อได้สังเกตุที่โคนต้นก็ได้เห็นในสิ่งที่นางอยากเห็นเช่นเดียวกัน นั่นก็คือรอยปริแตกที่เหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้ดินพยายามจะดันขึ้นมา แล้วเมื่อมองไปตามข้อตรงปลายยอดที่ออกใหม่ๆ ก็ได้เห็นดอกตูมเล็กๆ ที่ออกมา
“เร็วมาก!”
ดีใจก็ส่วนดีใจแต่ก็อดที่จะตกใจไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วเท่าที่นางจำได้ทั้งมันฝรั่งและมันหวานเองต่างก็มีอายุการเก็บเกี่ยวที่ไล่เลี่ยกัน นั่นคือตั้งแต่เก้าสิบถึงร้อยห้าสิบวัน แล้วแต่พื้นที่และพันธุ์ของมันแต่ละชนิด
โดยปกติแล้วกว่าที่มันจะออกดอกก็น่าจะอยู่ในช่วงกึ่งหนึ่งของอายุมันซึ่งน่าจะอยู่ที่ช่วงสี่สิบวันขึ้นไป...
นี่นางเพิ่งจะปลูกมันไปเมื่อวานซืนตอนบ่ายๆ เย็นๆ ผ่านไปเพียงแค่สองคืนกับสองวัน ถ้าหากคิดตามเวลาของโลกเดิมมันก็ผ่านไปแค่ยี่สิบวันเท่านั้น!
ทั้งๆ ที่คิดเอาไว้แล้วตั้งแต่ที่เห็นหลังจากที่ผ่านคืนแรกไป ว่ามันจะเร็วกว่าโลกเดิมหลายส่วนอยู่ แต่ถ้าเป็นแบบนี้มันก็อาจจะเร็วกว่าที่นางคิดอีกหลายส่วน ซึ่งอาจจะเร็วเป็นเท่าตัวก่อนเก็บเกี่ยวได้
และสิ่งที่ทำให้นางโล่งใจเป็นที่สุดก็คือสิ่งที่นางปรารถนาเป็นความจริงในท้ายที่สุด
“ข้าสามารถช่วยทุกคนได้จริงๆ ”
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง