บทที่ 26 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(5)
“...”
จางหลงทำท่าเหมือนกับจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ว่าเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี สำหรับพวกเขาที่อดอยากแทบตายมาหลายปีแล้ว มันคงจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าหากว่าทุกคนไม่ได้ใช้วิธีการที่ผิด
“ท่านหัวหน้ากลับไปก่อนเถิดขอรับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากสิ่งที่พวกเราทุกคนได้ทำลงไป พวกเราก็พร้อมยินยอมที่จะรับผลที่ตามมา แต่หากว่า จะให้พวกข้าต้องเฝ้ารอความหวังลมลมแล้งแล้ง จนอาจทำให้ลูกเมียของพวกข้าต้องอดตายไปในปีนี้ ตัวข้านั้นยินยอมให้ทุกคนประณามเหยียดหยามเสียดีกว่า”
เฮ้อ...
จางหลงระบายลมหายใจออกมาอย่างยาวเหยียด สวัสดี ต่อให้ยากว่ากล่าวพวกมันสักเท่าไหร่ แต่ดูจากท่าทางของพวกมันแล้ว พวกมันก็คงจะเตรียมตัวมาก่อนหน้านี้แล้วเช่นเดียวกัน
“ในเมื่อเจ้าพูดอย่างนั้นก็แสดงว่าข้าสามารถนำความทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ไปแจ้งแก่คุณหนูได้ใช่หรือไม่”
“สุดแท้แต่หัวหน้าจะตัดสินใจเลยขอรับ ในเมื่อทำลงไปแล้วก็จะต้องรับผลที่ตามมา พวกข้ารู้ดีว่าสิ่งที่พวกข้าทำนั้นมันผิด แต่พวกเราทุกคนก็มีชีวิตที่ต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกันขอรับ”
“หากเป็นเช่นนั้นแล้วข้าก็ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดอีกต่อไป เพียงแต่หวังว่าไม่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ไปพวกเจ้าจะสามารถยอมรับมันได้ก็เพียงพอแล้ว เพราะข้าคงไม่มีหน้าไปร้องขอกับนางเกี่ยวกับเรื่องของพวกเจ้า ต่อให้เกิดอะไรขึ้นข้าคงไม่สามารถช่วยอะไรได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
“ขอรับ”
สุดท้ายแล้วแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ใดในหมู่บ้าน สุดท้ายแล้วแม้ว่าตัวเขาจะถูกยกย่องให้เป็นผู้นำของกลุ่มคนนี้ แต่เขาก็คงจะไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้ได้อยู่ดี นอกเสียจากว่าคุณหนูเล็กของพวกเขานั้นจะกล่าวโทษพวกมันทุกคน
ซึ่งจางหลงไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้นเลย...
ถึงจะเป็นอีกวันหนึ่งที่วุ่นวายไปบ้าง แต่ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่คนทุกคนในหมู่บ้านจะจดจำไปอีกนานแสนนาน โดยเฉพาะเรื่องราวอีกไม่กี่ชั่วยามนับจากนี้ไป สิ่งที่เกิดขึ้นจะสั่นสะเทือนทุกคน จะสั่นคลอนทุกความเชื่อ และจะบีบบังคับให้ผู้ที่ไม่เชื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้อีก
โดยที่ไม่สนใจไม่แม้แต่จะคิดถึงว่าในตอนนี้ภายในหมู่บ้านจะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง สำหรับคนที่มาอยู่ในโลกใบนี้ได้นานพอสมควรแล้ว ถึงจะมีเพื่อนอย่างเจ้าสังอยู่เป็นเพื่อนแล้วก็ตามที
ถึงอย่างนั้นการที่มีใครที่สามารถให้เราพูดคุยด้วยกันได้ สามารถปรึกษากันได้ มีเพื่อนที่เป็นมนุษย์ด้วยกันอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน มันก็ย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ถึงวันนี้จะเป็นวันหนึ่งที่นางเหนื่อยล้ามากสักแค่ไหน แต่เย่หัวก็ไม่ลืมดูแลสองแม่ลูกอย่างเต็มที่เท่าที่นางจะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน หรือการที่ให้เจ้าสังมาคอยดูแล และทำความคุ้นเคยกับคนทั้งสองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน จนทั้งสองคนสามารถลูบหัวเล่นหางกับเจ้าสังได้อย่างไม่ยากเย็น
แม่นอนอยู่แล้วว่าการที่ได้มาอยู่ในเรือนหลังเดียวกับเซียนน้อยของพวกเขา ทั้งสองแม่ลูกย่อมมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
ในท้ายที่สุดแล้วจากที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่า ทุกคนจะรีบพักให้หายเหนื่อยแล้วเข้านอนกันแต่หัววัน เพื่อให้เย่หัวหายเหนื่อยให้เร็วที่สุด เนื่องจากว่าทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าในตัวเย่หัวนั้นกำลังรู้สึกเช่นไรอยู่
แต่ก็นั่นแหละ…
เนื่องจากก่อนหน้านี้เย่หัวนั้นได้คิดถึงเรื่องราวของเด็กๆในหมู่บ้าน และอยากที่จะให้มีการสอนหนังสืออ่านเขียนกันบ้าง อย่างไรเด็กก็ขึ้นช่วงวัยที่เหมาะแก่การเรียนหนังสือมากที่สุด ถึงไม่รู้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความคิดของนางเพียงคนเดียวไหม แต่อย่างน้อยนางก็อยากให้ทุกคนเติบโตมาโดยสามารถอ่านออกเขียนได้ เพื่อที่จะไม่ให้โดนหลอกไปใช้งานในอนาคต
ซึ่งในหัวข้อนี้เองที่ทั้งสองแม่ลูกต่างก็เห็นด้วย จนกลายเป็นหัวข้อ สนทนาช่วงเวลากลางคืนของทั้งสาม แม้จะมีเป็นช่วงๆ ช่วงที่หลับกันไปบ้างจากความอ่อนเพลีย แต่หากตื่นขึ้นมาก็จะขึ้นมาพูดคุยดื่มกินวนไปวนมาเช่นนั้นตลอดทั้งคืน กว่าที่ทั้งสามจะได้หลับอย่างเต็มที่ก็ปาไปเกือบจะเช้าแล้ว
ซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกับที่คนกว่ายี่สิบคนในหมู่บ้าน ต่างก็ร้องโวยโวยวายกันเสียงดังลั่น มากล่าวร้องทุกข์ที่เรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน
“ท่านหัวหน้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ!!”
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง