บทที่ 27 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(6)
“ท่านหัวหน้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ!!”
“อะไรอะไร...มีเรื่องอะไรกัน” จางหลงที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากหน้าบ้าน ก็รีบลุกออกจากเตียงไม้ในทันที เนื่องจากเมื่อวานทุกคนเหนื่อยกันมาก แล้วเขาเองก็ต้องมาเหนื่อยใจกับคนในหมู่บ้านอีก ทำให้เมื่อคืนกว่าที่เขาจะหลับได้ก็ดึกแล้ว แล้วนี่ยังต้องมาตื่นตั้งแต่ยังไม่เช้าอีก... “มีอะไรกันตั้งแต่ยังไม่สว่างเนี่ย”
“ท่านหัวหน้าช่วยพวกเราด้วยขอรับ”
“พวกเราผิดไปแล้วขอรับ”
“ท่านหัวหน้าช่วยพาพวกเราไปขอโทษนางเซียนน้อยหน่อยได้ไหมขอรับ”
“พวกเราจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วหรับ”
“ได้โปรดให้อภัยพวกเราสักครั้งเถอะนะขอรับ”
“พวกเราสัญญาว่าจะไม่ให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
“หลังจากนี้ไปข้าจะดูแลลูกๆของข้าให้ดี จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกข้าสัญญา”
“พวกเราไม่รู้เรื่องเลยนะ ขอรับแต่พวกมันดันมาทำเรื่องเลวทรามแบบนี้พวกเราไม่รู้จริงๆขอรับ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะพวกเราไม่รู้อะไรเลย จริงๆนะเจ้าคะ”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ เมื่อวานกว่าที่พวกเราจะกลับมา ก็ค่ำมืดแล้วพวกเราไม่รู้เลยว่าพวกมันไปทำระยำอะไรไว้”
“ถ้าพวกเรารู้พวกเราไม่มีทางให้พวกมันทำเช่นนั้นแน่”
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านช่วยพวกเราด้วยนะเจ้าคะ ข้าไม่อยากให้คุณหนูเข้าใจข้าและคนอื่นๆผิด”
“...”
“...”
“...”
เสียงร้องระงมของผู้คนหลายสิบคน ที่ตอนนี้มารวมตัวกันหน้าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นทั้งเด็กคนแก่ผู้ใหญ่ผู้หญิงผู้ชายทุกเพศทุกวัย ล้วนแล้วแต่ยืนรวมกันเต็มไปหมด ต่างคนต่างก็แย่งกันพูด จนจางหลงแทบจับใจความไม่ได้เลยว่าพวกเขาต้องการที่จะสื่ออะไร
“เดี๋ยวก่อนทุกคน ตอนนี้ข้างงไปหมดแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก่อนที่ข้าจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ อย่างน้อยที่สุดข้าต้องเข้าใจก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเจ้าถึงได้มารวมตัวกันมากมายขนาดนี้”
“แปลงมันขอรับ แปลงมันที่พวกเราได้แอบขโมยมาปลูกเมื่อวานนี้ ตอนนี้มันทั้งหมดได้เน่าเสียส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งเต็มไปหมด และไม่เพียงแค่เฉพาะส่วนของหัวมันเท่านั้น รวมไปถึงแปลงดินโดยรอบก็เกิดการเน่าเสียเช่นเดียวกัน พวกข้าไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...” หนึ่ง ในกลุ่มคนที่เป็นผู้ไปขโมยมันมาจากบ้านของเย่หัวเมื่อวานนี้ ได้เป็นคนกล่าวความขึ้นมา
“...” จางหลงมองไปทางผู้พูด เขาหลับตาลงแล้วระบายลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ เขาไม่ได้มีความรู้สึกอยากที่จะช่วยเหลือพวกมันเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่ามองไปยังคนในครอบครัวของพวกมันที่มิได้เกี่ยวข้อง ก็อดที่จะต้องถอนหายใจออกมายาวๆมิได้“จะเอาเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรืออย่างไร ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกเจ้าจะเป็นคนรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นมาเองมิใช่หรือ”
“...”
“...”
“...”
กลุ่มคนทั้งยี่สิบคนที่เป็นผู้ช่วยกันกระทำความผิดเมื่อวานนี้ ต่างก็รวมตัวกันมาแล้วนั่งคุกเข่าลงต่อหน้าผู้นำของหมู่บ้าน เพราะจริงๆแล้วพวกเขาก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะรุนแรงถึงขนาดนี้ แรกเริ่มเดิมทีเขาก็คิดว่าบางทีนางเซียนน้อยก็อาจจะเพียงแค่ระบายโทสะออกมาบ้าง แต่นี่มันเกินกว่าขอบเขตการระบายโทสะแล้ว มันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการลงโทษของสวรรค์เลยก็ว่าได้
ในตอนแรกเองพวกเขาก็ไม่ค่อยอยากที่จะเชื่อเท่าไหร่นะ ที่พวกผู้ใหญ่และเด็กๆ ต่างก็กล่าวกันว่า เด็กหญิงผู้มาใหม่นั้นเปรียบเสมือนกับนางเซียนที่ลงมาโปรดพวกเขา ทำให้พวกเขากล้าที่จะกระทำสิ่งที่ลงมือไปเมื่อวานโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร
แต่สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เพียงแค่ชั่วข้ามคืนหัวมันที่ควรจะเริ่มแตกหน่อออกใบ กลับกลายเป็นเน่าเปื่อยลงในชั่วข้ามคืนเดียว และไม่ใช่เพียงแค่ส่วนของหัวมันเท่านั้นที่เน่าเปื่อย แต่ผืนดินแห้งแล้งโดยรอบที่ควรจะไม่สามารถพูดถึงคำว่าเน่าได้ด้วยซ้ำ...
ลำพังเพียงจะหาแค่ความชื้นยังหาได้ยากเลย แต่นี่พื้นดินโดยรอบแปลงมันทั้งหมดกลับเน่าเปื่อย และส่งกลิ่นเหม็นออกมาอย่างหนัก จนทำให้พวกเขาที่หลับฝันดี หวังว่าพรุ่งนี้จะมีแปลงมันขนาดใหญ่เป็นของตนเอง ตามที่ได้เห็นมาจากแหล่งของเด็กหญิงแปลกหน้า กลับกลาย เป็นว่าพวกเขาได้นำพาหายนะกลับมาที่บ้านเสียแล้ว
“ผู้ใดกระทำสิ่งนั้นไว้ ก็ย่อมได้รับผลของการกระทำนั้นเสมอ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเราต่างก็รู้ดีมิใช่หรือ พวกเราใช้ชีวิตอยู่กับภาษิตที่ส่งทอดกันมาหลายชั่วอายุคนนี้ แล้วเจ้าจะบอกว่าให้ข้าไปช่วยบอกกล่าวกับนาง มิให้นางโกรธหรือกล่าวโทษพวกเจ้า พวกเจ้าคิดว่ามันเป็นไปได้หรือไม่”
“...”
“...”
“...”
“ถึงข้าจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน และเป็นผู้นำของพวกยาวมานานหลายปี แต่ถ้าจะให้พูดตามตรงแล้ว หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับข้าแล้วแล้วก็ ข้าจะไม่มีวันให้อภัยพวกเจ้าอย่างเด็ดขาด...” จางหลงสอดส่ายสายตาไปมองผู้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาสำนึกผิด แล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“พวกเจ้าเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้กล้าขโมยของของผู้ที่มีคุณต่อพวกเราทั้งหมู่บ้าน มิใช่แค่พวกเจ้าเท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตไปได้ แต่สิ่งที่นางทำคือความพยายามเพื่อให้พวกเราทุกคนรอดชีวิตผ่านหน้าหนาวที่จะถึงนี้ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทุกคนได้สังเกตหรือไม่ แม้แต่นางจะเหนื่อยจนกระทั่งล้มลงหมดสติไป นางก็ยังพยายามช่วยเหลือพวกเจ้าอย่างถึงที่สุด แต่นี่คือสิ่งที่เจ้า...!
...พวกเจ้าทุกคนตอบแทนนางอย่างนั้นหรือ”
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง