บทที่ 30 เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังได้ถูกโปรยปราย
หลังจากที่จัดการเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว เย่หัว จึงรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว โดยการที่ให้เด็กๆ ทุกคนมารวมตัวกันที่แปลงมัน
“เอาล่ะทุกคนมาดูนี้ก่อน ตอนนี้ทุกคนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรไหม”
“มันของพวกเรา...ตายหมดแล้วหรือเจ้าคะ” หนึ่ง ในกลุ่ม ของเด็กๆ ได้เอ่ยถามขึ้น เพราะจริงๆแล้วตั้งแต่ตอนที่มาถึงเด็กๆก็ได้มาดูแปลงมันก่อนเป็นอันดับแรก สิ่งที่ทุกคนได้พบเห็นก็คือ ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งที่ตนตายไปเกือบหมดแล้ว มันหวานเองก็มีเถาที่แห้งเหี่ยวไม่เหมือนกับแต่ก่อน มีเพียงแค่ดอกบางดอกที่บานอยู่ ถึงดอกของมันจะงดงาม แต่ลำต้นของมันทั้งเหี่ยวเฉา ใบส่วนใหญ่ของมันก็ตายไปเกือบหมดแล้ว
มันก็ทำให้เด็กๆดังก็คาดเดาไปต่างๆนานา แต่มิมีใครกล้าที่จะเอ่ยถามเนื่องจากผู้ใหญ่ได้ห้ามเอาไว้
ทางฝ่ายผู้ใหญ่เองก็ไม่แตกต่างกับเด็กๆเลย พวกเขานั้นต่างก็หวั่นเกรงว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ มันจะทำให้นางเซียนน้อยของพวกเขาหันมาโกรธเกลียดทุกคน และดลบันดาลให้หัวมันทั้งสองชนิดที่เคยงอกงามเมื่อวานนี้ตายลงไปในที่สุด
ไม่ต่างอะไรเลยจากฝูงวัวสันหลังหวะ ที่รู้ดีว่าพวกตนนั้นได้ทำผิดไป แล้วเมื่อมีความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก็ตีตนไปก่อนไข้แล้วว่ามันเป็นเพราะพวกเขาได้ทำผิดลงไป…
จนเริ่มมีบางคนที่กล่าวโทษผู้คนที่กระทำผิดเมื่อวานนี้ทั้งยี่สิบคน โดยเฉพาะครอบครัวของพวกมันทั้งหมด ที่ต่างก็มองมันด้วยความไม่เป็นมิตร
มันก็จริงอยู่ที่อาจจะมีบางคนที่สามารถสำนึกและรู้สึกผิดได้ จากความผิดบาปที่ตนเองได้กระทำลงไป แต่ก็เช่นเดียวกันที่จะย่อมมีใครบางคนที่คิดว่าทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของเด็กหญิง พร้อมทั้งตัดสินใจว่าตนเองจะโกรธเกลียดตั้งตนเป็นศัตรูนางไปตั้งแต่ตอนนี้...
ถึงมันจะมีอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนก็ตาม
“...”
“...”
“...”
เด็กเล็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไร ต่างก็เหงาหงอยคิดว่าตนเองทำอะไรผิดพลาดไปมันถึงทำให้มันทั้งสองชนิดได้ตายลง ส่วนเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยต่างก็พากันรู้สึกผิดไปตามๆกัน โดยเฉพาะเด็กๆที่มี ผู้ที่กระทำความผิดอยู่ในครอบครัวด้วย ต่างก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในจิตใจ
“ทุกคนใจเย็นๆก่อน ดูจากสีหน้าแล้วพวกเจ้าน่าจะเข้าใจผิด ข้าผิดเองแหละที่ไม่ได้อธิบายเรื่องของการปลูกมันทั้งหมดตั้งแต่แรก”แต่ก่อนที่ทุกคนจะคิดกันไปไกลกว่านี้นั้น นางก็เริ่มเปิดปากอธิบายเสียก่อน “ทุกคนมาดูนี้นะ...”
“...”
“...”
“...”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจอะไร มากมายเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเห็นนางเซียนน้อยกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้งแล้ว เด็กๆ ต่างก็กลับมายิ้มอย่างมีความสุขได้อีกครั้งเช่นเดียวกัน และสิ่งเล็กๆน้อยๆ เหล่านี้ที่เกิดขึ้นนี้เอง มันทั้งหมดก็อยู่ภายใต้สายตาคู่หนึ่งที่มองเย่หัวอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร หรือไม่ว่าใครจะยอมรับมันหรือไม่ แต่ตอนนี้จางเว่ยที่แทรกเข้ามาในระหว่างผู้คนนั้น ก็ได้สังเกตเห็นแล้วว่าเด็กหญิงผู้ซึ่งมาไม่เพียงแค่ไม่กี่วัน ก็ได้ครอบครองจิตใจของผู้คนทั้งหมู่บ้านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
“ในตอนแรกข้าก็คิดเพียงแค่อยากจะให้ทุกคนตกใจเล็กน้อยเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะคิดมากขนาดนี้” เย่หัวยิ้มน้อยๆ ในขณะที่มองเด็กๆ “ที่จริงแล้วเมื่อเรามองเห็นต้นของมันฝรั่งที่ตายไปเกือบหมด เหลือเพียงแค่ต้นไม้กี่ต้น เช่นเดียวกับมันหวานที่เถาเริ่มตายไปมากแล้ว และมีดอกออกประปรายตามจุดต่างๆ มันก็คือช่วงเวลาที่เราสามารถเก็บเกี่ยวมันได้แล้วนั่นเอง ส่วนวิธีการเก็บเกี่ยวนั้นข้าขอแรงหัวหน้าหมู่บ้านหน่อยได้หรือไม่”
“ข้าหรือขอรับ?”
“ใช่แล้ว ถ้าหากเป็นท่านก็คงจะสามารถถ่ายทอดให้กับทุกคนในหมู่บ้านได้ง่ายที่สุด เพราะหลังจากนี้ไปอีกไม่กี่วันพวกเราจะต้องทำแบบนี้ซ้ำซ้ำไปอีกนานเลย”
“ได้แน่นอนขอรับ”
“ทุกๆ คนที่อยู่ใกล้ๆก็ช่วยกันดูด้วยนะ แล้วเอาไปบอกต่อกัน”
ว่าแล้วเด็กหญิงก็เริ่มที่กอมันฝรั่ง นางนั่งยองๆ ลงข้างแปลงมันที่ตอนนี้เหลือเพียงแค่ต้นเล็กๆอยู่เพียงแค่สองสามต้น จากนั้นก็ลองใช้มือเล็กๆของนางขุดคุ้ยพื้นดินรอบๆต้นที่ยังเหลืออยู่ จากดินที่แห้งและแข็งเมื่อไม่กี่วันก่อน ในตอนนี้มันได้กลายเป็นเพื่อนดินอ่อนนุ่มและชุ่มชื้น ทำให้มือเล็กๆของเด็กหญิงวัยแปดขวบ สามารถจ้วงคุ้ยได้อย่างง่ายดาย
“โห... หัวมันโตดีกว่าหัวมันที่มีในตู้เย็นเสียนะเนี่ย” เย่หัวยิ้มออกมาอย่างมีความสุข แล้วชูหัวมันที่หนักราวแปดเหลียง ทั้งที่เป็นหัวมันที่อยู่รอบนอกสุด นางจึงลองขุดไปเรื่อยเรื่อย จนได้หัวมันทั้งใหญ่น้อยทั้งหมดเกือบสามสิบหัว โดยที่มีหัวที่ใหญ่ที่สุดตรงกลางกอนั้น มีขนาดใหญ่เกือบสองจินเลยทีเดียว!
“เหลือจะเชื่อ ข้าไม่เคยเห็นหัวมันฝรั่งที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต นี่ขนาดมันฝรั่งนะแล้วมันเทศจะขนาดไหน”
ด้วยความตื่นเต้นกับผลงานของตนเอง เด็กหญิงวิ่งไปที่แปลงมันหวาน ซึ่งเป็นมันตระกูลมันเทศชนิดหนึ่ง แล้วเริ่มสังเกตหาร่องรอยการปริแตกของพื้นดิน จากนั้นก็ลงมือขุดอย่างช้าช้า...
เพียงแค่หัวแรกที่นางขุดพบ มันก็หนักเกือบสิบจินเข้าไปแล้ว!
มาไม่รู้เลยว่ามันหวานนั้น แต่ละหัวสามารถเติบโตได้สักแค่ไหน เพราะเหมือนจะเห็นผ่านๆ ตามตลาดมันก็มีบ้างหัวที่ใหญ่มากอยู่ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมันหวานพันธุ์ที่นางมีอยู่ในตู้เย็นนั้น ปกติแล้วขนาดหัวจะอยู่ที่เพียงแค่สี่ถึงสิบเหลียงเท่านั้น!
“ตอนแรกข้าเองก็ไม่มั่นใจว่ามันจะได้ผลไหม...” เด็กหญิงอุ้มหัวมันหัวใหญ่เอาไว้ แล้วส่งยิ้มกว้างจนตาหยีไปทางผู้คนที่มองเข้ามา
“แต่หลังจากนี้ไป ทุกคนสามารถสบายใจได้แล้วนะเจ้าคะ ทุกคนทุกครอบครัวที่มาทำงานจะสามารถมีเสบียงอาหาร เก็บเอาไว้กินตลอดหน้าหนาวนี้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
.................................
หน่วยวัดสำหรับน้ำหนัก
หน่วยวัดน้ำหนักของจีนนิยมใช้หน่วย 斤 (jīn, จิน) มีน้ำหนักเท่ากับ 500 กรัม หน่วยที่เล็กถัดลงมาจาก “จิน” คือ 两 (liǎng, เหลียง) มีน้ำหนักเท่ากับ 50 กรัม
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง