บทที่ 31 ก่อนหนาวมาเยือน
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ตั้งแต่ที่ผู้คนสามารถเห็นได้ด้วยตาของตนเอง ว่าผลผลิตของมันทั้งสองชนิดนั้นมากมายแค่ไหน ที่สำคัญที่สุดก็คือรสชาติของหัวมันที่ปลูกในหุบเขาแห่งนี้ ยังมีรสชาติดีกว่าเดิมขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เดิมทีแล้วสำหรับพวกเขาทุกคน ลำพังแค่มันที่แย่หัวเอาออกมาให้นั้น ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งหรือมันหวาน ก็ล้วนแล้วแต่มีรสชาติดีกว่าอาหารที่พวกเขาเคยลิ้มลองมานักต่อนักแล้ว ถึงมันจะไม่ผ่านการปรุงมาเลยก็ตามที
ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งต้มหรือมันหวานเผา ก็มีรสชาติกลมกล่อม สามารถทานได้เรื่อยๆไม่ต่างกัน...
แต่ในตอนเที่ยงวันนั้น ในวันที่พวกเขาได้เก็บเกี่ยวมันทั้งสองชนิดเป็นครั้งแรก เด็กหญิงก็ได้ให้ พวกแม่ครัวใช้มันทั้งสองชนิดแทนวัตถุดิบที่นางยังไม่ได้เอาออกมาจากตู้เย็น ซึ่งปรากฏว่าเพียงแค่มันหวานเผาธรรมดาธรรมดา ก็ทั้งหอมอร่อยรสชาติเข้มข้นขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งเหนียวนุ่มเคี้ยวเพลินไม่สามารถหยุดปากได้เลยทีเดียว
ส่วนมันฝรั่งเองเพียงแค่เอาไปต้มน้ำธรรมดาธรรมดา หลังจากที่มันสุกได้ที่แล้วทุกคนเมื่อลองได้ชิมก็ต่างอ้าปากค้างตาโตไปตามๆ กัน เพราะความหอมเพียงแค่กัดคำเดียวก็ฟุ้งเต็มปาก กับรสชาติที่เป็น เอกลักษณ์ของมันฝรั่งที่เข้มข้นขึ้นกว่าเดิมอีกมาก
ที่สำคัญไปกว่านั้น เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทดลองเก็บผลผลิตจากการปลูก พวกเขาก็เลยขอร้องเด็กหญิงว่า ไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อหมูเพิ่มเติมในอาหารของวันนี้ เพื่อทดลองดูว่าสารอาหาร หรือคุณค่าทางอาหารของมันทั้งสองชนิดที่พวกเขาปลูกได้เองนั้น มันให้คุณค่าความอิ่มท้องและพลังงานมากแค่ไหน
ซึ่งมันก็เหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก เพราะลำพังเพียงแค่กินมันต้มและมันเผาธรรมดาธรรมดา แล้วได้กินเพียงแค่พออิ่มท้องเท่านั้น ยังสามารถทำงานตลอดทั้งวันได้โดยไม่มีแม้แต่อาการหิวกระหายแม้แต่น้อย
อย่างสุดท้ายเลยที่สำคัญที่สุด ก็คือปริมาณการเก็บเกี่ยวต่อแปลง มันก็มากเกินกว่าที่ใครจะสามารถจินตนาการได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่มันอยู่ท้อง การให้พลังงาน กับปริมาน มันที่เก็บเกี่ยวได้ในวันแรกเพียงแค่ ไม่กี่สิบแปรง ก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูทุกคนไปอีกหลายวันเลยทีเดียว
อีกทั้งพวกเขายังสามารถเก็บมันหัวเล็กๆเอาไว้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ อีกทั้งยังได้ทดลองปลูกแยกกันระหว่าง พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่มาจากการเพาะปลูกจากพื้นดินที่นี่ และพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่มาจากตู้เย็นของเด็กหญิง แล้วไม่กี่วันต่อมาพวกเขาก็ได้คำตอบแล้วว่าทั้งสองแบบนั้นแทบจะไม่ต่างอะไรกันเลย
ด้วยเหตุนี้เองทำให้หลังจากยี่สิบวันให้หลัง ในตอนที่อากาศเริ่มเย็นลงมากแล้ว หากเป็นปีก่อนหน้านี้ผู้คนคงจะเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องการขวนขวายหาเสบียงมาเตรียมเอาไว้ รองรับกับหน้าหนาวที่ยาวนานในแต่ละปี
แต่ว่าปีนี้มันแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่เพียงแต่ว่าโกดังเสบียงที่มีอยู่ของแต่ละบ้านเท่านั้น ที่เต็มไปด้วยมันทั้งสองชนิดจนไม่มีที่จะเก็บ
แต่พวกเขายังสร้างโกดังหลังใหญ่เอาไว้กลางหมู่บ้านอีกสิบหลัง ซึ่งแต่ละหลังนั้นสามารถอยู่มันได้มากกว่าห้าสิบพันจิน นั่นเท่ากับว่า โดยรวมแล้วพวกเขามีเสบียงสำรอง ที่สามารถซื้อขายได้มากกว่าห้าร้อยพันจิน!
โดยที่แปลงมันของหมู่บ้านก็ยังคงขยายออกไปเรื่อยๆ กินพื้นที่ หลายสิบลี้รอบๆหมู่บ้าน ทำให้ในปีนี้ชาวบ้านทุกคนสามารถสบายใจได้แล้วว่า พวกเขาจะไม่อดตายอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
แต่ว่าท่ามกลางเรื่องดีๆก็มีเรื่องหลายๆเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ใน กลุ่มคนที่ได้รับการให้อภัยจากเหตุการณ์ขโมยของในครั้งนั้น
มีกึ่งหนึ่งที่ผูกแค้นอาฆาตต่อเด็กหญิง ห้าในสิบคนนั้นถึงกับทำการลอบสังหารเด็กหญิงแต่ก็ทำไม่สำเร็จ และโดนชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์ตายคาที่ ส่วนอีกห้าคนที่เหลือนั้นลักลอบขโมยมันหมายจะออกไปจากหมู่บ้าน ซึ่งพวกมันได้เตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว โดยการอำนวยความสะดวกของใครบางคน ได้ทำการลักขโมยมันมากกว่าสิบเล่มเกวียน หวังที่จะออกไปขายนอกหมู่บ้านเพื่อตั้งตัวต่อไป
แต่สุดท้ายแล้วพวกมันก็ถูกจับได้ เนื่องจากการปรากฏตัวของเจ้าสัง ทำให้โคอสูรขั้นสีแดงที่พวกมันหมายที่จะใช้ในการลากเกวียนทั้งสิบเล่ม หวาดกลัวจนนอนเกือบกลิ้งไม่กล้าที่จะลุกไปไหน จนท้ายที่สุด เมื่อรุ่งสางของวันต่อมา ผู้คนก็ได้พบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวเข้า ทำให้ทั้งห้าคนนั้นก็ถูกขับออกไปจากหมู่บ้าน โดยที่ไม่ให้มีอะไรติดตัวไปแม้แต่เพียงชิ้นเดียว
ถึงจะมีเรื่องเข้ามาประปราย แต่สุดท้ายแล้วก่อนหน้าหนาวปีนี้จะมาถึง ผู้คนต่างก็มีความสุขกันมาก เนื่องจากไม่มีใครต้องขึ้นไปเสี่ยงอันตรายบนภูเขาอีกต่อไปแล้ว ทุกคนที่เหลืออยู่ต่างก็ได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยที่มีเสบียงมาก พอ ที่จะให้พวกเขาทุกคนอยู่กันไปอย่างสุขสบายอีกนานนับปี
จนทำให้ปีนี้เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ที่พวกเขาได้รื้อฟื้นพิธีฉลองปีใหม่ขึ้นเป็นปีแรกหลังจากที่ห่างหายไปนาน ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในอีกห้าวัน ข้างหน้า ในตอนที่พวกคนเฒ่าคนแก่กะประมาณว่าจะมีหิมะแรกเกิดขึ้นในตอนนั้น และจะเป็นวันที่คนหนุ่มสาวซึ่งออกไปยังโลกภายนอก จะกลับมาในหมู่บ้านนี้อีกครั้ง...
“นี่มันเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!!”
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง