บทที่ 42 เย่หัว-เยว่หัว(1)
“ข้ามีเรื่องจะปรึกษาทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ทุกคนได้ดูสิ่งของซึ่งจางหู่ได้นำมาจากโลกภายนอกแล้ว เย่หัวก็นึกถึงบางสิ่งที่นางคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ก่อนที่จะมาพบกับทุกคน
“คุณหนูมีอะไรหรือขอรับ” จางลงที่อยู่ข้างเด็กหญิงไม่ห่างกาย ก็ได้เป็นคนที่ถามขึ้นมา “หรือว่าคุณหนูมีอะไรที่อยากได้อย่างนั้นหรือขอรับ”
“ไม่รู้ว่าเด็กๆได้แจ้งกับท่านหัวหน้าหมู่บ้านบ้างแล้วหรือยัง ว่าข้าได้พยายามทำตำราเรียนให้เด็กๆ มาหลายวันแล้ว”
“ถ้าหากเป็นเรื่องนั้นก็ทราบแล้วขอรับ เสี่ยวหลัวกับเด็กๆคนอื่นๆก็ได้มาบอกข่าวบ้างแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าได้ทำการเขียนต้นฉบับเอาไว้เสร็จหมดแล้ว ท่านหัวหน้าหมู่บ้านพอจะรู้ไหมเจ้าคะ ว่าในหมู่บ้านมีคนที่อ่านออกเขียนได้บ้างไหม”
“ถ้าหากเป็นเรื่องนั้นก็พอมีอยู่สามสี่คนขอรับ”
“ดีเลยเจ้าค่ะ” เด็กหญิงยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อไม่ต้องรอสอนให้เด็กๆ อ่านออกเขียนได้ก่อนที่จะคัดลอก
“ถ้าอย่างนั้นก่อนที่หิมะแรกจะตกอย่างเป็นทางการ พวกเราพอจะมีเวลากันซักกี่วันหรือเจ้าคะ”
“อย่างช้าที่สุดก็เจ็ดวันขอรับ”
“อย่างนั้นหากเป็นไปได้ ข่าวพอจากขอแรงๆท่านจางหู่หน่อยได้ไหมเจ้าคะ”
“ข้าหรือ...ได้แน่นอนอยู่แล้ว” จางหู่ที่ยืนแอบฟังอยู่ตั้งแต่แรก ถึงกับสะดุ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามกลับ “ว่าแต่จะให้ข้าทำอะไรอย่างนั้นหรือ”
“อีกไม่กี่วันหน้าหนาวที่ยาวนานจะมาถึงแล้ว ในเมื่อปีนี้ข้าคิดว่าผู้คนในหมู่บ้านคงไม่ต้องมัวแต่พะว้าพะวงอยู่กับเสบียงอาหาร ข้าเลยอยากจะให้ท่านหัวหน้ากับท่านจางหู่ ช่วยพาคนขึ้นไปหาไม้ไผ่มาให้ข้าหน่อยเจ้าค่ะ”
“ก็ไม่เห็นจะยากอะไรนี่ เรื่องนั้นข้าสบายมากอยู่แล้ว” จางหู่ตอบกลับโดยไม่ลังเล เพราะว่าฟังดูแล้วมันก็เป็นผลดีกับผู้คนในหมู่บ้าน แล้วก็มันเป็นเพียงแค่เรื่องง่ายๆสำหรับเขาด้วยเช่นเดียวกัน มันจึงไม่จำเป็น ต้องคิดอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ทางข้าเองก็ไม่ได้ติดขัดอันใดขอรับ เพียงแต่ว่าคุณหนูต้องการปริมาณเท่าไหร่หรือขอรับ”
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน เดี๋ยวเอาไว้แจกจ่ายสิ่งของพวกนี้ทั้งหมดแล้ว ช่วยตามข้าไปที่บ้านหน่อยได้ไหมเจ้าคะ เพราะว่าข้ามีตำราที่ข้าเขียนเอาไว้อยู่แล้ว และถ้าหากเป็นไปได้ข้าก็ยากที่จะเตรียมเอาไว้ให้เด็กๆทุกคนในหมู่บ้านบ้านละหนึ่งชุด เอาไว้ฝึกอ่านฝึกเขียนในช่วงหน้าหนาวที่จะถึงนี้...”
เด็กหญิงกล่าวไปตามความตั้งใจของตน เนื่องจากว่าในช่วงเวลาที่นางกำลังทบทวนตำราที่นางเขียนอยู่นั้น นางก็ได้นึกถึงสิ่งที่นางลืมมาตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา
นั่นก็คือสิ่งที่เจ้าเพื่อนตัวแสบของนางได้บอกเอาไว้ ว่าให้นางพยายามฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด ถึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแสดงออกถึงความเร่งรีบขนาดนั้น แต่ดูเหมือนว่านางจำเป็นที่จะต้องฝึกจริงๆ
ว่าเมื่อลองมองย้อนกลับไปตั้งแต่ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับนางนั้น เจ้าเพื่อนตัวแสบก็จะส่งข้อความมาบอกแดงเสมอ ว่าให้นางระวังตัวในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้น
และในทุกๆครั้งก็จะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นตามคำเตือนของเพื่อนคนนี้เสมอ
ที่สำคัญที่สุด...
ถึงแม้ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ความรู้สึกวางสิ่งบางอย่างของนางกำลังร่ำร้อง และย้ำเตือนว่านางกำลังลืมเรื่องสำคัญ
แต่ด้วยความยุ่งวุ่นวายในตลอดหลายวันที่ผ่านมา ที่นางพยายามเขียนตำราขึ้นมาให้เสร็จ นางเลยไม่มีเวลา นึกถึงเรื่องราวอย่างอื่น จนกระทั่งในตอนที่ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่คัดลอกและส่งมอบให้เด็กๆได้เรียนรู้ ในช่วงหน้าหนาวที่กำลังจะถึงนี้ นางจึงมาปรึกษากับคนอื่นๆ เพื่อโยนงานที่เหลือไปให้คนอื่นแทน...
ที่สำคัญก่อนที่จะเข้าหน้าหนาว เด็กๆ ก็คงต้องอยู่บ้านก่อนสักพักนึง ไม่ค่อยมีใครมารบกวนนางมากนัก ตั้งแต่พรุ่งนี้หลังจากที่ส่งคนอื่นๆขึ้นไปบนเขา เพื่อตัดไม้ไผ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางจึงคิดว่า จะเริ่มศึกษาตั้งแต่ตอนนั้น
“เพราะถ้าจะออกมาเล่นข้างนอกตลอดวันช่วงหน้าหนาวมันก็คงไม่ดีต่อสุขภาพของทุกคน ข้าเลยอยากจะให้เด็กๆอาศัยช่วงเวลานั้นแบ่งออกไปฝึกเขียนฝึกอ่านดูเจ้าค่ะ”
“นั่นเป็นความคิดที่ดีมากเลย ข้าเห็นด้วยกับนาง” จางหู่พยักหน้ารับ เพราะถึงแม้จะมีเพียงแค่น้อยครั้งที่เขาได้เข้าไปในเมืองใหญ่ๆสักที ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นขอก็สามารถแยกออกได้เลยด้วยตาเปล่า ว่าพวกคนที่อ่านออกเขียนได้กับคนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้นั้น มันแตกต่างกันมากขนาดไหน ยิ่งเป็นในเมืองใหญ่ๆด้วยแล้ว การติดต่อสื่อสารกับผู้คนส่วนใหญ่ การอ่านหนังสือเขียนหนังสือได้นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง “ให้คนในหมู่บ้านเราอาจเอาเขียนได้ ข้าคิดว่ามันก็ดีสำหรับพวกเราทุกคนในวันข้างหน้า”
“ข้าเข้าคิดไม่แตกต่างจากเจ้า” จางหลงก็เห็นด้วยกับน้องชายเช่นเดียวกัน
“ใช่อย่างงั้นก็ตกลงตามนี้นะเจ้าคะ”
“แต่...แต่ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับคุณหนู”
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง