บทที่ 41 ใจกลางความมืดมิด(จบ)
เย่หัวเองก็สงสัยเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่เด็กเหมือนกับร่างกายนี้แล้ว ต่อให้หากเทียบเวลาแล้วจริงๆนางจะเป็นเพียงแค่เด็กมากๆ สำหรับพวกเขาทุกคนก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้นประสบการณ์ชีวิตของนางก็มีมากไม่น้อยเช่นเดียวกัน
“ในเมื่อท่านหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่ามีมิได้มีเจตนาร้ายต่อข้า เช่นนั้นก็สามารถบอกได้เลยเจ้าค่ะ ข้ามิได้โกรธเคืองผู้ใดโดยไร้เหตุผลอย่างแน่นอน ทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขออนุญาตเล่านะขอรับ...”
หลังจากนั้นจางหลงจึงได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมด ที่เขาได้ทดลองตลอดช่วงเวลาสิบกว่าวันที่ผ่านมา
อย่างแรกเลยก็คือเขาลองให้คนเอาสิ่งของที่เย่หัวมอบให้ ทั้งหัวมัน เนื้อสัตว์ ของกินเล่น ไม่ว่าจะเป็นขนม หรือแม้แต่พวกมันตากแห้งมันทอดทั้งหลายเท่าที่พอจะรวบรวมได้ แล้วให้คนเอาออกไปนอกหมู่บ้านโดยพลการ โดยไม่มีการบอกต่อนางก่อน
ผลการทดลองในครั้งนี้ปรากฏว่า ในทันทีที่ขาก้าวออกไปนอกเขตของหุบเขาแห่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเย่หัวทั้งหมดละลายกลายเป็นน้ำสีดำเหม็นเน่า คล้ายคลึงกับในตอนที่มีโจรขโมยมันของนางไปปลูกเมื่อไม่กี่วันก่อน
อย่างที่ 2 ก็คือเขาลองเอามันซึ่งเป็นผลผลิตจากการเพาะปลูกของพวกเขาเอง ลองกลับไปแอบปลูกที่ไกลไกลจากหมู่บ้านโดยไม่ออกจากภูเขา และก็เหมือนกับครั้งที่แล้วก็คือมิได้มีการบอกกล่าวต่อเย่หัวก่อน ปรากฎว่ามันทั้งหมดได้แข็งกลายเป็นหิน มิสามารถใช้ประโยชน์ใดๆ ได้เลย นอกจากขว้างปาทิ้ง
แต่พอเป็นการทดลองครั้งที่ 3 เขาลองไปบอกให้เด็กๆ ขอต่อเย่หัวว่าจะเอามันกลับไปปลูกเล่นที่บ้านหนึ่งหัว แล้วเอาไปปลูกข้างนอกหนึ่งหัว ปรากฎว่ามันทั้ง 2 หัวนั้นกลับแตกดอกออกใบอย่างอุดมสมบูรณไม่ต่างจากที่ปลูกในแปลงมันของหมู่บ้านเลย
“มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วยหรือเจ้าคะ” เย่หัวพยายามควบคุมรอยยิ้มที่ใบหน้าของนาง แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุดเท่าที่นางจะทำได้
ส่วนจางหู่ที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วนั้น ในตอนแรกเขาแทบจะไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่หากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลุดออกมาจากพี่ชายของเขาเอง ซ้ำตัวเขายังได้ลองกินหัวมันที่ว่านั้นเมื่อคืนนี้แล้ว
ซึ่งผลของมันนั้นทำให้เพียงแค่ค่ำคืนเดียว พลังของเขาก็ก้าวหน้าไปถึง 2 ส่วน เขาไม่อยากคิดเลยว่าถ้าหากอาจารย์ของเขามาถึงที่นี่แล้วได้เห็นหัวมันที่ว่านั้น จะเป็นอย่างไร...
ถ้าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความจริง ซึ่งมันก็คงจะไม่แตกต่างไปจากสิ่งที่พี่ชายของเขาและเด็กๆทุกคนได้บอกเล่ามากนัก คำว่านางเซียนน้อยก็คงจะไม่เกินไปจากความจริงเท่าไหร่ ต่อให้นางจะไม่ใช่เซียนจริงๆที่ตกลงมาจากฟากฟ้า แต่พลังของนางก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนเคารพนับถือนางแล้ว
“หากว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ข้างน้อยทำให้คุณหนูไม่พอใจ หรือมีอะไรที่ล่วงเกินคุณหนูและเจ้าสังของคุณหนูเอาไว้ ข้าหน่อยขออภัยคุณหนูด้วยนะขอรับ”
เมื่อได้ยินได้ฟังและปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน น้ำเสียงที่เคยแข็งกระด้างออกไปทางกระโชกโฮกฮาก ก็อ่อนนุ่มและนอบน้อมลงเสียยิ่งกว่าเด็กๆที่ปฏิบัติต่อนางเซียนน้อยของพวกเขาด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็เรียกรอยยิ้มจากทุกคนในหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี
“ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ...” เด็กหญิงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ข้าว่าเราไปดูของที่ซื้อหามาจากข้างนอกดีไหมเจ้าคะ ข้าจำอะไรได้ไม่มากนัก เพียงแค่อยากรู้ว่ามีอะไรที่พอจะสามารถมาใช้เป็นเครื่องปรุงอาหารได้บ้าง...”
“ได้... ได้เลยขอรับ ถ้าหากมีสิ่งใดที่คุณหนูต้องการหรืออยากได้คุณหนูสามารถบอกข้าหรือพี่ใหญ่ได้โดยตรงเลยขอรับ ทุกสิ่งทุกอย่างคุณหนูสามารถเอามันไปได้เลย หรือคุณหนูจะเอามันไปทั้งหมดเลยก็ได้นะขอรับ...” จางหู่รีบตอบอย่างลนลาน เรียกเสียงหัวเราะครืนจากผู้คนได้เป็นอย่างดี
.
.
.
“มีความสุขกันเข้าไปเถอะ เดี๋ยวรอให้เจ้าส่งคนขึ้นไปเอาไม้ไผ่บนเขา แล้วให้ไอ้หมาเวรนั่นไปคุ้มกันผู้คนด้านนอก เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเป็นคนปลิดชีพเจ้าด้วยตัวเอง...”
ห่างไกลออกไป...
มีร่างร่างหนึ่งที่กำลังเฝ้ามองเด็กหญิง กับผู้คนในหมู่บ้านที่กำลังหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน พลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความคับแค้น
“...”
“ตกลงว่าเจ้าช่วยอะไรข้าไม่ได้จริงๆเลยใช่ไหม ตกลงว่าข้าต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเองเลยใช่ไหม ตกลงแล้วเจ้ามีประโยชน์อะไรกับข้ากันแน่ไอ้ปีศาจนรก!!”
“...”
“10 คน... ให้ค่าเปลี่ยนใครก็ได้เป็นมนุษย์มารได้10คนอย่างนั้นเหรอ แล้วข้อจำกัดของมนุษย์มารเล่า”
“...”
“คนที่จะเป็นมนุษย์มารได้ต้องมีจิตใจธรรมชาติเป็นทุนเดิมเหมือนเดิม แต่ก็มีความสามารถทางร่างกายที่เพิ่มขึ้น...ก็ดีนี้ อย่างน้อย เจ้าก็ทำตัวเป็นประโยชน์เสียบ้าง ดีกว่าการทำได้เพียงแค่เกาะข้าเป็นกาฝากอยู่เช่นนี้เป็นไหนๆ”
“...”
“ก็ดี หวังว่าสิ่งที่เจ้ามอบให้ข้านั้นจะสามารถถ่วงเวลามากพอ ให้ข้าฆ่าไอ้เด็กเวรนั่นได้ แล้วหลังจากนั้นข้าก็จะฆ่าทุกคนที่ทำให้ลูกชายของข้าหลงไหลพวกมัน พวกมันทุกคนจะต้องตายอย่างทรมานที่สุด!”
จางเว่ยมองไปทางผู้คนที่มีความสุขอย่างคับแค้น โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าดวงตาของเขาทั้ง 2 ข้างในตอนนี้กลายเป็นสีดำสนิดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยความเห็นผิดของเขานี้เอง ที่ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม เขาที่เอาแต่โทษทุกคนอยู่เสมอ สัส
ในอีกไม่ช้าเขาจะต้องทำในสิ่งที่เขาจะต้องโทษตัวเองไปตลอดชีวิต หรือแม้แต่ตอนที่อยู่ในโลกหลังความตายแล้วก็ตาม
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง