บนเครื่องบิน
ผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสที่กำลังถูกให้บริการทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ชายหนุ่มที่เดินทางจากเที่ยวบินตรงจากมิลานอิตาลีมายังสุวรรณภูมิ หยิบรับเอาแก้วไวน์ขึ้นกระดกดื่ม ไฟล์ทนี้คงอีกราวๆ 10 กว่าชั่วโมงก่อนจะถึง เขาปลดเข็มขัดทันทีที่ไฟสัญญาณดับลง แล้วนั่งดื่มหันหน้ามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ด้านหน้าตอนนี้ยังคงเห็นวิวเมืองที่เครื่องพึ่งจะเทคออฟไปเมื่อครู่ ก่อนที่มันจะค่อยๆ หายเข้ากลีบมวลเมฆที่เห็นเป็นแค่สีขาว เขาเดินทางไฟล์ทเช้า กะว่าถึงกรุงเทพก็ดึกจะได้เข้านอนเก็บแรงไว้ไปงานวันเกิดของลลินดาต่อในวันรุ่งขึ้น หญิงสาวที่ทางครอบครัวเลือกสรรให้ และลลินดาก็เป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มของเขากับเพทาย เมื่อสมัยเรียนมหาลัยเอกชนชื่อดังด้วยกันที่เมืองไทย พ่อแม่ของพวกเขาต่างเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ในแง่ธุรกิจบางทีก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะให้สองครอบครัวอยากเป็นปึกแผ่นเดียวกัน คิดเรื่องนี้ทีไร ชายหนุ่มก็ข่มตาลงอย่างช้าๆ อีกทั้งตอนนี้ทามไทเอง ก็ไม่มีท่าทีว่าจะอยากลงหลักปักฐานกับใครเป็นตัวเป็นตนจริงๆ จังๆ สักที เขาไม่เคยพาใครเข้าบ้านทั้งๆ ตอนนี้อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ปีนี้เขา 34 แล้ว “สเต๊กริบอายรมควันค่ะ และไวน์แดงที่คุณผู้ชายสั่งค่ะ” เสียงของสาวสวยที่เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารจานหรู หลังจากที่ชายหนุ่มพึ่งทานเมนูเรียกน้ำย่อยอย่าง คาเวียร์เสิร์ฟพร้อมแครกเกอร์และซอสครีม เธอค่อยๆ หลังจากที่หญิงสาวค่อยๆ รินไวน์อย่างพิถีพิถัน เธอก็เก็บขวดไวน์ใส่ไวน์ไว้ในช่องวางพิเศษ “ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมเรียกได้ทุกเมื่อนะคะ ทานอาหารให้อร่อยค่ะ Enjoy flight” เธอพูดพร้อมกับรอยยิ้มอันสดใส ทามไทเพียงแค่โค้งศีรษะให้หญิงสาวเล็กน้อย และยิ้มให้เธอกลับน้อยๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อรักษามารยาท แล้วเขาก็ค่อยๆ หั่นเนื้ออย่างใจเย็น ก่อนจะจ้วงมันงับเข้าปากและเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างสบายใจ ไวน์แดงที่ถูกคนร่างสูงกว่า 190 ดื่มไปจนถึงครึ่งทาง ก่อนที่เขาจะย้ายไปยังอีกฝั่ง ก่อนจะปรับเอนเตียงลงเพิ่มอีกเล็กน้อย และก็ปรับหรี่ไฟบนหัวเตียงให้สว่างขึ้นกว่าเดิมเพื่อนอ่านหนังสือที่ตนเองชอบ ด้วยความเมา ทำให้เขาหลับสนิทแทบตลอดทั้งไฟล์ท มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อสาวสวยคนเดิมมาเช็กดูสัญญาณเข็มขัดของคนที่กำลังหลับปุ๋ย ทามไทรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเล็กน้อยจากแอร์โฮสเตสที่กำลังยืนอยู่ข้างเตียงเขา เธอเข้ามาอย่างเงียบๆ เพื่อตรวจดู เข็มขัดนิรภัยและรัดมันให้แน่นอีกครั้งหลังจากที่เขาหลับไปในท่าที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไร “ขอโทษค่ะ คุณผู้ชาย ทำคุณตื่นเลยนะคะ” เสียงนุ่มๆ เอ่ยเบาๆ ขณะที่เธอยิ้มให้เขาอย่างสุภาพ ทามไทพลิกตัวกลับไปมองเธอในอาการที่ยังคงเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น เขาแค่พยักหน้ารับเบาๆ ขณะที่ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เขาค่อยๆ รู้สึกถึงความเมาที่ยังคงค้างอยู่ในหัว จนทำให้ท่าทางการตอบสนองยิ่งช้าและยังเซื่องซึม “ขอบคุณครับ” เขาพูดเสียงแหบพร่า ดวงตายังคงค้างจากความง่วงดูราวกับไม่ค่อยมีพลังที่จะทำอะไร เขาเลื่อนมือไปดึงเข็มขัดนิรภัยขึ้นมาโดยที่ยังไม่ลุกออกจากท่านอน “ถ้าอย่างนั้น… ผมจะขอนอนต่ออีกหน่อยครับ” เขาพูดกับเธอในน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความขี้เกียจ แต่แอร์โฮสเตสก็แค่ยิ้มบางๆ ก่อนที่จะเดินจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งให้เขาอยู่ในความเงียบที่มีแต่เสียงของเครื่องยนต์เบื้องล่าง ทามไทหลับต่อเนื่องลากยาวอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะหลับลึกขนาดนี้ เขามักจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ตื่นตัวตลอดเวลา แต่คราวนี้มันต่างออกไป ร่างกายและจิตใจของเขาทั้งหมดดูเหมือนจะต้องการการพักผ่อนอย่างจริงจัง… และไม่ต้องการคิดถึงเรื่องใดๆ ก่อนที่เขาจะหลับลึกไปอีกครั้ง เขาก็แค่พึมพำเบาๆ กับตัวเองว่า “ลลินดา… คงไม่มีอะไรที่ต้องคิดมาก… ใช่ไหม?” เขานอนนิ่งๆ ตามเสียงเครื่องบินที่กรีดผ่านอากาศ ท่ามกลางความรู้สึกที่คล้ายกับการล่องลอยในความฝัน ไม่รู้ว่าความจริงหรือความฝันกำลังดึงเขาไปอยู่ในที่ไหนกันแน่ ชายหนุ่มหลับสนิทไปอีกครั้ง ท่ามกลางความเงียบสงบของห้องโดยสาร การเดินทางครั้งนี้เหมือนจะช่วยให้เขาหลีกหนีจากความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่อยากเผชิญหน้า ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกนึกถึงความค้างคาของบางอย่างในใจ แม้จะมีลลินดาอยู่ข้างกาย แต่กลับไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเต็มที่กับความรักในครั้งนี้ พอเครื่องบินเริ่มลดระดับลง ทามไทค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขายืดตัวขึ้นจากที่นอนและยกมือไปนวดขมับ ก่อนจะเห็นแอร์โฮสเตสสาวสวยเดินเข้ามาด้วยท่าทางสุภาพตามมาตรฐานสากลอีกเช่นเคย “ถึงเวลารัดเข็มขัดแล้วนะคะ” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเช็กดูสถานะของเข็มขัดนิรภัย ทามไทพยักหน้าและจัดการรัดเข็มขัดให้เรียบร้อย เขาหันไปมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง สายตาของเขาเหลือบไปเห็นวิวที่เปลี่ยนจากท้องฟ้าสีฟ้ากลายเป็นสีดำมืดที่ถูกปกคลุม นี่คงใกล้ถึงที่หมายแล้วสินะ จู่ๆ เขาก็นึกถึงใบหน้าใครอีกคนขึ้นมา แม้ว่ามันจะผ่านมาตั้ง 11 ปีแล้ว แต่เขากลับยังไม่เคยลืมหนุ่มลูกครึ่งไทยสวีเดนคนนั้นได้เลย คนที่เคยเป็นรักแรกของกันและกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่เคยง่ายและทั้งคู่ก็จบกันไปแบบงงๆ ในตอนนั้นทั้งคู่ต่างก็เต็มไปด้วยความกังวลและคำถามเกี่ยวกับตัวเอง ตอนนั้นทั้งสองยังไม่เข้าใจตัวเองเต็มที่ การแยกย้ายและความห่างเหินที่เกิดขึ้น ใครคนนั้นยังคงเป็นคนที่เขาไม่สามารถลืมเลือนไปได้ และก็คงไม่ต่างจากอีกคน ที่ไม่เคยลืมเขาได้เช่นกัน ทามไทถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากลับมานั่งตรงที่นั่งของตัวเองแล้วปรับท่าทางให้อยู่ในท่าที่สะดวกที่สุด ก่อนจะหันมองใบหน้าเคร่งขรึมของตัวเองในกระจกหน้าต่าง กรุงเทพ - ประเทศไทย … เครื่องบินจอดสนิทที่สนามบินสุวรรณภูมิ ทามไทปลดเข็มขัดนิรภัยและยืดตัวออกจากที่นั่ง ท่าทางเขาไม่เร่งรีบเหมือนเช่นเคย แม้ว่าการกลับมาที่นี่จะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน เขายังรู้สึกเหมือนกับว่าวันเวลาทุกอย่างที่ผ่านมามันล่องลอยไปอย่างไม่มีจุดหมาย ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นและเดินไปยังทางออกที่รออยู่ เขาเห็นฝูงชนมากมายที่มายืนรอรับผู้โดยสาร ดูเหมือนจะเป็นวันธรรมดาที่ไม่ได้พิเศษอะไร เสียงของผู้คนที่พูดคุยและเสียงล้อรถเข็นที่ดังระงม เขามารอรับกระเป๋าตรงสายพาน และเดินออกไปด้านนอก ไม่นานนักก็เห็นคนขับรถมารอรับ ชายหนุ่มยื่นกระเป๋าให้คนขับก่อนจะไปนั่งยังที่นั่งของตน ครืดดด …. ครืดดด… เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน ข้อความจากลลินดา “ถึงแล้วแจ้งลลินด้วยนะคะ พรุ่งนี้เรามีงานที่ต้องไปด้วยกันนะคะ อย่าลืมค่ะ” เขาส่งข้อความตอบกลับไปสั้นๆ “ถึงแล้วครับ เดี๋ยวเจอกัน” ลีมูซีนคันหรูก็ขับเคลื่อนออก โดยไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากของคนทั้งคู่ ทำเอาคนขับเกร็งอยู่ไม่น้อย ในรอบ 11 ปีที่เขาพึ่งได้กลับมาไทยอีกครั้ง ในฐานะผู้บริหารอย่างเต็มตัว แต่เขาหารู้ไม่ว่าเลขาที่พึ่งถูกรับเลือกมา ดันเป็นใครอีกคนที่เขาต่างเฝ้าคิดถึงอยู่ไม่หาย ส่วนอีกคนก็รู้แล้วว่าตนเองต้องได้มาทำงานกับใคร คนที่ใจไม่เคยลบเลือนใครอีกคนไปจากใจได้เลยเช่นกัน พวกเขาต้องเก็บอาการอย่างไรกันล่ะทีนี้ ..บรรยากาศในร้านริมหาดนั้นเต็มไปด้วยเสียงเพลงของดนตรีสดที่ทำให้ความรู้สึกของทุกคนดูผ่อนคลาย แต่ภายในใจของทามไทและเพทายกลับมีสิ่งที่ซ่อนอยู่มากมาย ทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ขณะที่อลิสและลลินดานั่งอยู่ข้างๆ บนโต๊ะไม้สีอ่อนที่ตั้งอยู่ใกล้กับริมทะเล เสียงคลื่นซัดสาดทำให้บรรยากาศดูสงบ แต่ในหัวของทั้งสองกลับเต็มไปด้วยความคิดทามไทมองไปที่เพทายที่นั่งห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว เขาพยายามเก็บความรู้สึกที่ปั่นป่วนภายในใจเอาไว้ ไม่ให้ใครเห็น เขาสังเกตเห็นว่าเพทายพูดคุยกับอลิสได้อย่างเป็นกันเอง เสียงหัวเราะของทั้งสองเหมือนเสียงของคู่รักที่เพิ่งพบกันไม่นาน มันทำให้ทามไทรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เขาก็รู้ดีว่าเพทายและอลิสไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเกินกว่าคำว่าพี่น้อง แต่ทำไมลึกๆ เขากลับรู้สึกไม่สบายใจในขณะเดียวกัน เพทายที่นั่งอยู่ข้างๆ อลิสก็รู้สึกถึงสายตาของทามไทที่จ้องมาที่เขาอย่างไม่ค่อยพอใจ เขารู้สึกได้ถึงความตึงเครียดในอากาศ แต่มันกลับเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถแสดงออกได้ ทุกครั้งที่เขาหันไปมองทามไท ทามไทก็จะทำเพียงแค่ยิ้มให้ แม้ว่าในดวงตาจะมีแววแปลกๆ ที่ทำให้เพทายไม่แน่ใจว่าเขาคิดอะไรอลิสหันไปม
เมื่อทั้งคู่ถึงคอนโด พวกเขาต่างหิ้วของกินพะรุงพะรัง มีทั้งของทานเล่นและเบียร์ยี่ห้อดังที่แอลกอฮอล์สิบเปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ปกติคนอย่างทามไทไม่ค่อยแตะเบียร์สักเท่าไหร่ แต่วันนี้ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษทั้งคู่ใช้เวลาเสพสุขร่วมกันอีกหลายรอบ ราวกับจะทดแทนเวลาที่ขาดหายไป ก่อนจะหมดแรงหลับใหลไปพร้อมกันเช้าวันอาทิตย์เสียงโทรศัพท์ภายในห้องดังขึ้น ทำเอาทามไทที่นอนขี้เซาภายใต้อ้อมกอดกันและกันต้องค่อยๆ ผละตัวออกอย่างแผ่วเบาจากร่างของใครอีกคน ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูด้วยความไม่เต็มใจเท่าใดนัก เขาได้ยินเสียงมารดาดังมาจากปลายสาย“ทาม วันนี้บ้านเรานัดกับบ้านลลินดาไว้ที่บ้านพักตากอากาศ จำได้ใช่ไหมลูก?”ทามไทถอนหายใจเบาๆ “ครับๆ ไปอยู่แล้ว แต่ผมจะพาเลขาส่วนตัวไปด้วย”“อ้าว พาเลขาไปทำไมลูก นี่มันนัดสังสรรค์กันในครอบครัวนะครับลูก”“เขารู้เรื่องงานมากกว่าผมอีกครับแม่ อีกอย่างเขาก็สนิทกับลลินดาอยู่แล้ว แม่ไม่ต้องห่วงหรอก รับรองแม่เจอเขาก็จะร้องอ๋อ” ทามไทเอ่ยตัดบทบนรถยนต์คันหรูระหว่างทาง“ทาม นายจะให้ผมไปทำไมเนี่ย ผมรู้สึกแปลกๆ นะ” เพทายบ่นพลางขยับเนกไทที่ถูกบังคับให้ใส่“แปลกอะไร นายก็ส
จู๊ดๆ …เสียงปลดล็อกประตูรถยนต์คันหรูแบบ4 ที่นั่ง วันนี้เขาเลือกเอาคันที่มีขนาดกว้างพิเศษมา ซึ่งปกติแล้วชายหนุ่มมักจะขับสปอร์ตแบบสองที่นั่งซะมากกว่าคนร่างเล็กกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูเพื่อขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับ ทว่าเขากลับกระชากร่างบางกว่าเข้าไปยังเบาะด้านหลัง ก่อนจะสั่งการให้เครื่องสตาร์ทด้วยระบบสั่งการด้วยเสียง และปรับระบบแอร์โดยการควบคุมผ่านท่าทาง หรือระบบที่เรียกว่า ‘Gesture Control’ คนร่างสูงควบคุมปรับเบาะ ปรับองศาต่างๆ ผ่านระบบนี้ทั้งหมด“นี่ใช่มั้ยคือสาเหตุที่นายเลือกขับคันนี้มา” เพทายหันมามองก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า “นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่นายเลือกจอดมุมนี้”ไม่ว่าจะจอดตรงไหนมุมใดของห้าง มันก็ไม่มีใครเห็นหรอก เพราะนอกจากกระจกที่มืดแล้ว ยังมีม่านทึบที่เขาพึ่งสั่งการให้มันปิดทึบขึ้นอีกชั้น คนตัวสูงกว่า 190 เอาแต่ยกยิ้มในใจ“ฉันยังไม่ได้ปลดปล่อยเลยนะทาย นายจะให้ฉันค้างเติ่งไม่ได้นะ ฉันหิวนายอีกแล้วที่รัก” เสียงแหบพร่าวาบหวามทำเอาใครอีกคนแทบจะกระโดดจ้วงเขาในทันทีคนตัวสูงไม่รอข้ารีบเปลื้องกางเกงด้านล่างของตัวเองออกจนหมด ก่อนจะจับหัวอีกคนกดลงตรงกลางกาย คนถูกกระทำก็อ้าปากงับก่อนจ
(บทนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่แนะนำให้ลอกเลียนแบบ)“ไหนนายบอกจะพาผมไปค้างด้วย แล้วนายมาจอดรถบนห้างทำไม นี่คนเยอะแยะนะ ชั้นนี้คนมาดูหนังกันเยอะ”“นายแม่งป้อด”“นายจะไม่ให้ผมพักบ้างรึไงทาม”ชายหนุ่มหัวเราะกับเสียงออดอ้อนของอีกคน“เราไปดูหนังกัน ผมจองไว้แล้ว” ทามไทเอ่ยบอก“นายจองห้องวีไอพีหรอ?”“ถ้าวีไอพี มันจะไปสนุกได้ยังไง”“ไม่เอานะทาม อย่าเล่นแบบนี้ ผมกลัว!!”เมื่อชายหนุ่มเห็นสีหน้าของใครบางคนก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เลยเลือกที่จะนั่งกอดซบกันและดูหนังเฉย แต่รับรองว่าหนังจบ เขาจะจัดคนขี้กลัวตรงลานจอดรถในห้างนี่อย่างสาสมพอถึงโรงหนังเพทายก็อ้ำอึ้งเล็กน้อย เพราะที่ทามไทเลือกมันเป็นที่นั่งแบบ sweet seat มันเป็นกึ่ง private ที่เน้นความส่วนตัวพื้นที่กว้างขวางมีพนักพิงกั้นโซนให้ความรู้สึกเป็นพื้นที่เฉพาะ และขณะเดียวกันก็อยู่ด้านบนสุดเพทายหยุดยืนมองเบาะนั่งสวีทซีทที่อยู่ตรงหน้าแล้วหันไปมองทามไทอย่างไม่ไว้ใจ“ทาม..นายจะทำอะไรของนายเนี่ย” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมคว้ามืออีกฝ่ายให้เดินตามเข้าไปนั่ง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเบาะโซฟากว้างข้างๆ กัน“ฉันแ
ทันทีที่หญิงสาวเข้ามาด้านในเพื่อหาทามไท เธอก็ต่อว่าเขาไปชุดใหญ่ ก็เมื่อคืนเขาเล่นหนีหายกันทั้งคู่“ทามอ่ะ จะกลับก็ไม่บอกลลิน”“ก็จะไปบอกได้ไงล่ะครับ ก็ลลินเมา พูดจารู้เรื่องกันซะที่ไหน”“แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะค่ะ”หญิงสาวในชุดเดรสสีแดงสด และรองเท้าเข้าเซต พร้อมด้วยกระเป๋าหนังสีแดงใบจิ๋ว ไม่บอกก็รู้ว่าเธอคือเจ้าแม่แห่งวงการแฟชั่นแค่ไหน ไม่นานนักเสียงอินเตอร์คอมก็ถูกกดเข้ามายังห้องของเลขา แน่นอนว่าคนที่อยู่ด้านในต่างได้ยินด้วย“ครับผม” เพทายกดรับและตอบกลับไปในทันที“คุณเพทายคะ คือคุณอลิสให้ถามน่ะค่ะว่าหลังเลิกงานสะดวกคุยไหม พอดีเธอติดต่อคุณไม่ได้น่ะค่ะ เลยให้อรฝากถาม เพราะคืนนี้ผู้ใหญ่มีนัดคุยกันเรื่องหมั้นค่ะ”คนด้านในที่กำลังนั่งอยู่กับหญิงสาว ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหูอื้อตาลาย และเงี่ยหูรอฟังคำตอบ“งั้นบอกเธอให้ผมทีนะครับว่าตอนเย็นเจอกัน พอดีโทรศัพท์ผมแบตหมดน่ะครับ รบกวนคุณอรด้วยนะครับ”“ได้ค่ะ เดี๋ยวอรจะแจ้งให้นะคะ”“ขอบคุณครับ”โทรศัพท์ของชายหนุ่มแบตหมดและก็ลืมเอาที่ชาร์ตมา อีกอย่างว่าจะไปยืมใครอีกคน เขาก็เหมือนจะติดธุระกับแฟนสาวอยู่ ไม่นานหญิงสาวที่อยู่ด้านในก็ออกมาอย่างหน้าตาบึ้งๆ
“ลลินตามหาทามตั้งนาน แล้วนี่เลขาสุดหล่อของนายล่ะ? ” หญิงสาวเอ่ยแหย่เพื่อนชายอีกคนพอได้ยินคำว่าสุดหล่อก็ตงิดๆ อยู่ไม่หาย แต่ถึงอย่างนั้นก็คงต้องกลั้นใจตอบ อีกอย่างเขารู้ว่าลลินคงแค่แหย่โดยไม่คิดอะไร เธอคงแค่เย้าแหย่เหมือนที่ผ่านมา“เห็นไปรับลมแถวๆ สระหน่ะ นี่ลลิลเมาหรอครับ หน้าแดงเชียว? ”ที่ถามเพราะใบหน้าเธอแดงก่ำมากจริงๆ และตอนนี้นี่เองที่หญิงสาวก็ถือวิสาสะเข้าไปจุ๊บที่ปากของชายหนุ่มอย่างเผลอไผล ทันใดนั้นเองเขาก็มองเห็นว่ามีใครอีกคนคอยจ้องมองคนทั้งคู่อยู่ ชายหนุ่มจึงรีบผลักหญิงสาวออกอย่างไว ก่อนจะตรงดิ่งมายังบุรุษที่กำลังหน้าบึ้ง“มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ”แต่แล้วใครอีกคนกลับไม่พูดอะไร“นายอย่าเงียบแบบนี้สิ ฉันไม่ชอบ”“ก็ผมไม่ได้บอกให้คุณต้องชอบ คุณจะจูบหรืออะไรกับใคร มันเกี่ยวอะไรกับผมด้วย .. ผมเหนื่อย ง่วงแล้ว จะกลับ”‘โกรธทีไร สรรพนามแทนตัวเองเปลี่ยนทุกครั้งเลยนะ’ คนตัวสูงคิดคนแอบงอแงก็แอบวีนใส่ร่างสูงอย่างไม่รู้ตัว“งั้นกลับด้วยกัน”“ได้ไง นี่วันเกิดแฟนนายนะ อีกอย่างผมโอเค”ทามไทไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เขาฝากบอกเพื่อนของลลินดาว่าเมามาก ขอตัวกลับก่อน ก่อนจะดึงกระชากลากถูชายหนุ่มอีกค