LOGINเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากค่ำคืนแห่งการตัดสินใจครั้งสำคัญ บรรยากาศในห้องกลับดูแปลกไป อากาศที่เคยอบอวลไปด้วยความกังวลเรื่องเงินทอง บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยประจุไฟฟ้าบางๆ ที่มองไม่เห็น มันคือความประหม่า ความตื่นเต้น และความไม่แน่นอนที่ลอยวนเวียนอยู่ระหว่างคนสองคน พลอยตื่นขึ้นมาก่อนตามปกติ เธอชงกาแฟดำของตัวเองกับมอคค่าร้อนสำหรับฝนอย่างเคย แต่บทสนทนาที่เคยไหลลื่นกลับติดๆ ขัดๆ พวกเธอคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ เรื่องข่าวไร้สาระในอินเทอร์เน็ต ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องโปรเจกต์ลับที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้
"วันนี้... เราจะเริ่มกันเลยไหม" ในที่สุดพลอยก็เป็นฝ่ายทำลายกำแพงความเงียบนั้นขึ้นขณะที่กำลังล้างแก้วกาแฟ
ฝนซึ่งนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาพยักหน้า "อืม... ก็ดีเหมือนกัน ยิ่งเร็วยิ่งดี"
"งั้น... เราต้องไปซื้อของกันก่อน" พลอยพูดเสียงเบาลง "ชุด... แล้วก็... พร็อพนิดหน่อย"
คำว่า "ชุด" ทำให้แก้มของฝนร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เธอทำได้เพียงพยักหน้ารับเบาๆ
สองชั่วโมงต่อมา สองสาวเพื่อนซี้ก็มายืนอยู่หน้าแผนกชุดชั้นในสตรีในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง บรรยากาศที่นี่แตกต่างจากโลกของพวกเธอโดยสิ้นเชิง แสงไฟสีนวลส่องกระทบชุดชั้นในลูกไม้หลากสีสันที่แขวนโชว์อยู่บนราวงามระยับ พนักงานสาวสวยในชุดยูนิฟอร์มส่งยิ้มหวานมาให้ พวกเธอดูเหมือนปลาที่หลงมาผิดน้ำอย่างเห็นได้ชัด
"เอ่อ... เราจะเริ่มจากตรงไหนดี" ฝนกระซิบถามพลอยที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆ
พลอยกลืนน้ำลายเอื๊อก สู้อุตส่าห์รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี เดินตรงไปยังราวแขวนชุดชั้นในสีดำสนิท เธอรู้ดีว่าสีดำจะขับผิวขาวๆ ของเธอให้โดดเด่นขึ้นภายใต้แสงไฟสตูดิโอ เธอหยิบบราลูกไม้ซีทรูตัวหนึ่งขึ้นมาทาบกับตัว แล้วหันไปมองฝนเป็นเชิงถาม
ฝนในฐานะช่างภาพพยายามปรับโหมดความคิดของตัวเองให้เป็นมืออาชีพที่สุด เธอเดินเข้าไปใกล้พลอย หรี่ตามองบราตัวนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ "ดีไซน์สวยนะ แต่... ลูกไม้มันดูหนาไปหน่อย เวลาถ่ายอาจจะเห็นเท็กซ์เจอร์ไม่ชัด ลองดูแบบที่เป็นผ้าซาตินผสมลูกไม้ดีไหม มันจะให้ความรู้สึกที่หรูหราแล้วก็... เย้ายวนกว่า"
คำว่า "เย้ายวน" ที่หลุดออกมาจากปากของฝนทำให้หัวใจของพลอยเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ เธอไม่เคยได้ยินเพื่อนรักของเธอใช้คำแบบนี้มาก่อนเลย ปกติแล้วบทสนทนาของพวกเธอจะวนเวียนอยู่กับเรื่องงาน เรื่องกิน เรื่องซีรีส์ ไม่ใช่เรื่อง... อะไรแบบนี้
พลอยพยักหน้ารับแล้วเดินหาแบบที่ฝนว่า ทั้งสองคนช่วยกันเลือกชุดชั้นในอีกสองสามชุด ผ้าคลุมซีทรูสีขาวบางเบา ถุงน่องตาข่าย และเทียนหอมสำหรับสร้างบรรยากาศ ทุกการตัดสินใจมีฝนเป็นคนช่วยดูเรื่องความเหมาะสมในการถ่ายภาพ พลอยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาให้ฝนจับแต่งตัว แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลย... การได้เห็นฝนในโหมดทำงานจริงจัง ตั้งใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับ "งาน" ของพวกเธอ มันทำให้พลอยรู้สึกอุ่นใจและเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเองมากขึ้น
เมื่อกลับมาถึงคอนโด พวกเธอจัดการเปลี่ยนห้องนั่งเล่นที่รกรุงรังให้กลายเป็นสตูดิโอถ่ายภาพขนาดย่อม โซฟาสีเทาถูกเลื่อนไปชิดผนัง ผ้าม่านถูกปิดทึบเพื่อควบคุมแสง ฝนนำไฟสตูดิโอสองตัวที่เธอมีอยู่ออกมาตั้งจัดมุมอย่างคล่องแคล่ว แสงไฟที่สาดส่องลงมาเปลี่ยนบรรยากาศของห้องที่คุ้นเคยให้กลายเป็นพื้นที่พิเศษที่ดูแปลกตาและน่าตื่นเต้น
"ทุกอย่างพร้อมแล้ว" ฝนพูดขึ้นหลังจากเช็คความพร้อมของกล้องเป็นครั้งสุดท้าย "เหลือแค่... นางแบบ"
พลอยที่ยืนมองอยู่เงียบๆ พยักหน้ารับช้าๆ "ให้เวลาฉันสิบนาทีนะ"
สิบนาทีนั้นให้ความรู้สึกยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์สำหรับคนทั้งสอง ฝนนั่งรออยู่บนพื้นห้อง นิ้วโป้งของเธอเลื่อนไล้บนตัวกล้องอย่างใช้ความคิด ในหัวของเธอพยายามทบทวนมุมกล้อง แสง และเงาที่วางแผนไว้ แต่ภาพที่ปรากฏขึ้นมากลับเป็นภาพของพลอย เพื่อนของเธอ... ในชุดที่พวกเธอเพิ่งไปเลือกซื้อกันมา
เสียงเปิดประตูห้องนอนที่ดังขึ้นทำให้ฝนหลุดออกจากภวังค์ เธอเงยหน้าขึ้นมอง และวินาทีนั้นเอง... โลกทั้งใบของเธอก็เหมือนจะหยุดหมุน
พลอยยืนอยู่ที่นั่น... ในชุดชั้นในผ้าซาตินสีดำขลับที่ตัดกับผิวขาวผ่องของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ ลูกไม้ชิ้นเล็กๆ ที่ประดับอยู่บนขอบเสื้อชั้นในช่วยเพิ่มความอ่อนหวานซ่อนเปรี้ยว กางเกงในเข้าชุดเผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าของสะโพกที่งดงาม เส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ปกติมักจะมัดรวบไว้ลวกๆ วันนี้ถูกปล่อยสยายเคลียคลออยู่บนบ่าเปลือยเปล่า ใบหน้าของเธอไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจัดจ้าน มีเพียงริมฝีปากที่ถูกแต้มด้วยลิปบาล์มให้ดูชุ่มชื้นเท่านั้น แต่แววตาของเธอกลับฉายแววประหม่าและไม่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัด
ฝนรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอ เธอพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เธอทำได้เพียงยกกล้องขึ้นมาบังหน้าตัวเองไว้ ใช้เลนส์เป็นเกราะกำบังความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
"เป็น... เป็นไงบ้าง" พลอยถามเสียงสั่น กอดอกตัวเองไว้เพื่อปกปิดความเขินอาย "มัน... ดูตลกไหม"
"ไม่..." ฝนตอบผ่านเลนส์กล้อง น้ำเสียงของเธอแหบพร่ากว่าปกติ "ไม่ตลกเลยพลอย... แกสวยมาก"
คำชมที่ซื่อตรงนั้นทำให้แก้มของพลอยร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เธอค่อยๆ คลายแขนที่กอดตัวเองออก แล้วเดินไปยังโซฟาที่จัดไว้เป็นฉากอย่างเชื่องช้า ทุกย่างก้าวของเธออยู่ในสายตาของฝนผ่านช่องมองภาพของกล้อง
"โอเค... เริ่มจากท่าง่ายๆ ก่อนแล้วกันนะ" ฝนพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นมืออาชีพที่สุด "พลอย... ลองนั่งเอนตัวพิงพนักโซฟาดูนะ ตามสบายเลย"
พลอยทำตามอย่างว่าง่าย แต่ร่างกายของเธอกลับแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ รอยยิ้มที่พยายามปั้นแต่งขึ้นมาก็ดูฝืนเต็มทน ฝนกดชัตเตอร์ไปสองสามครั้ง แต่ภาพที่ได้กลับดูไร้ชีวิตชีวา
"พลอย... ผ่อนคลายหน่อย" ฝนบอก "ลองหายใจเข้าลึกๆ นะ"
"ก็พยายามอยู่!" พลอยเถียงกลับมาอย่างหงุดหงิด "มันไม่ง่ายนะที่ต้องมานั่งแก้ผ้าต่อหน้าเพื่อนตัวเองแบบนี้!"
"ฉันไม่ได้มองว่าแกแก้ผ้านะ" ฝนพูดสวนขึ้นมาทันที "ฉันมองเห็นเส้น... แสง... และเงา ฉันมองเห็นศิลปะ พลอย... ตอนนี้แกไม่ใช่นางแบบสมัครเล่น แต่แกคือนางแบบมืออาชีพ และฉันก็คือช่างภาพของแก เรากำลังทำงานกันอยู่"
คำพูดของฝนทำให้พลอยนิ่งไป เธอหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างที่เพื่อนบอก 'เรากำลังทำงานกันอยู่' เธอทวนคำนั้นในใจ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของเธอก็เปลี่ยนไป ความประหม่าลดน้อยลง และถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่น
"โอเค... เริ่มใหม่"
การถ่ายทำดำเนินต่อไป คราวนี้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ฝนเริ่มสั่งงานได้อย่างคล่องแคล่ว และพลอยก็สามารถโพสท่าทางต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ฝนให้พลอยเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นท่านอนตะแคง เผยให้เห็นแผ่นหลังที่ขาวเนียนและบั้นท้ายที่กลมกลึง
"พลอย... ลองหันหน้ามาทางนี้หน่อย" ฝนสั่งงานขณะเดินอ้อมไปอีกฝั่ง "ใช่... แบบนั้นแหละ แล้วลองใช้มือลูบไล้ตรงช่วงเอวของตัวเองดูนะ ช้าๆ..."
พลอยทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ปลายนิ้วของเธอค่อยๆ ลากไล้ไปบนผิวเนื้อของตัวเอง ความรู้สึกเย็นเฉียบของแอร์ในห้องตัดกับความร้อนที่กำลังก่อตัวขึ้นในร่างกายของเธอ เสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับเป็นเสียงดนตรีประกอบการเคลื่อนไหวของเธอ
ฝนมองภาพตรงหน้าผ่านเลนส์ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เธอหลงใหลในทุกการเคลื่อนไหวของพลอย แสงไฟที่ตกกระทบลงบนผิวของเพื่อนรักทำให้มันดูเหมือนผ้าไหมชั้นดีที่เปล่งประกาย เธอซูมเลนส์เข้าไปใกล้เพื่อเก็บรายละเอียดของหยดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นบนแผ่นหลังของพลอย... มันดูงดงามและเปราะบางในเวลาเดียวกัน
"สวยมากพลอย... ค้างไว้อย่างนั้นนะ" ฝนกระซิบเสียงแผ่วเบา เธอได้ภาพที่ต้องการแล้ว แต่เธอกลับยังไม่อยากละสายตาไปจากภาพนั้นเลย
หลังจากเซ็ตแรกผ่านไป พลอยก็ไปเปลี่ยนเป็นชุดผ้าคลุมซีทรูสีขาวบางเบา คราวนี้ฉากหลังถูกเปลี่ยนเป็นริมหน้าต่างที่มีแสงแดดยามบ่ายส่องรอดเข้ามาเป็นลำแสง ฝนต้องการภาพที่ดูนุ่มนวลและชวนฝันมากขึ้น
"ฉันอยากได้ฟีลแบบ... เหมือนเพิ่งตื่นนอนตอนเช้าที่สดใส" ฝนอธิบายคอนเซ็ปต์ "ลองยืนพิงขอบหน้าต่าง แล้วปล่อยให้แสงแดดมันตกกระทบลงบนตัวแกนะ"
พลอยทำตาม เธอหลับตาพริ้มปล่อยให้แสงแดดอุ่นๆ อาบไล้ไปทั่วเรือนร่าง ผ้าคลุมที่บางเบาเสียจนแทบจะมองทะลุได้เผยให้เห็นสัดส่วนที่ซ่อนอยู่ภายใต้อย่างรำไร มันเป็นภาพที่ดูบริสุทธิ์และยั่วยวนในเวลาเดียวกัน
ฝนค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้พลอยอย่างช้าๆ เพื่อหามุมกล้องที่ดีที่สุด เธออยากจะเก็บภาพลำแสงที่พาดผ่านลงบนช่วงเนินอกของพลอยพอดี แต่แล้วเธอก็สังเกตเห็นว่าชายผ้าคลุมด้านหนึ่งมันพับอยู่ ทำให้องค์ประกอบของภาพดูไม่สมบูรณ์
"เดี๋ยวนะพลอย... อยู่นิ่งๆ นะ" ฝนพูดเสียงเบา ก่อนจะวางกล้องลงบนโต๊ะใกล้ๆ
เธอเดินเข้าไปหาพลอยที่ยังคงหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่องรู้ราว มือของฝนเอื้อมไปเพื่อจัดชายผ้าคลุมให้เข้าที่ แต่แล้ว... ปลายนิ้วของเธอก็เผลอไปสัมผัสโดนผิวเนื้ออุ่นๆ บริเวณเหนือหัวใจของพลอยเข้าอย่างจัง
วินาทีนั้นเอง... เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแรงสูงวิ่งผ่านร่างของคนทั้งสองคน
พลอยสะดุ้งสุดตัว ลืมตาขึ้นมาสบกับสายตาของฝนที่กำลังเบิกกว้างด้วยความตกใจในระยะประชิด ใบหน้าของพวกเธออยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ต่างคนต่างมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ในดวงตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ... เสียงรถราจากภายนอกหายไป เสียงแอร์ที่เคยดังอยู่ก็เงียบสนิท โลกทั้งใบของพวกเธอเหลือเพียงแค่คนสองคนที่ยืนจ้องตากันนิ่งภายใต้ลำแสงแดดยามบ่าย
ฝนเป็นฝ่ายดึงสติกลับมาได้ก่อน เธอรีบชักมือกลับราวกับถูกของร้อน "ขอ... ขอโทษที พอดีผ้ามันพับอยู่" เธอพูดตะกุกตะกัก ใบหน้าร้อนผ่าวจนรู้สึกได้
พลอยเองก็ทำอะไรไม่ถูก เธอทำได้เพียงพยักหน้ารับเบาๆ หัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก สัมผัสเมื่อครู่ยังคงติดตรึงอยู่ที่ผิวของเธอ... มันเป็นเพียงสัมผัสที่แผ่วเบาและไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับทรงพลังจนทำให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านไปทั้งตัว
บรรยากาศที่เคยเป็นมืออาชีพเมื่อครู่หายวับไปกับตา เหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบที่น่าอึดอัด ฝนรีบคว้ากล้องขึ้นมาถ่ายต่ออีกสองสามภาพอย่างลวกๆ ก่อนจะประกาศจบการถ่ายทำสำหรับวันนี้
"พอ... พอแล้วสำหรับวันนี้ ฉันว่าเราได้ภาพเยอะแล้วล่ะ"
พลอยรีบเดินกลับเข้าห้องนอนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ ส่วนฝนนั่งทรุดลงบนพื้นอย่างหมดแรง เธอยกหลังมือขึ้นมาแตะแก้มตัวเองที่ยังคงร้อนผ่าวอยู่ 'เมื่อกี้มันอะไรกัน' เธอถามตัวเองในใจ 'ทำไมเราต้องใจเต้นแรงขนาดนี้ด้วย'
หลังจากที่พลอยเปลี่ยนกลับมาเป็นชุดอยู่บ้านสบายๆ แล้ว ทั้งสองคนก็นั่งดูรูปที่ถ่ายมาด้วยกันบนหน้าจอแล็ปท็อปของฝน ภาพที่ปรากฏขึ้นมาทำให้พลอยถึงกับอึ้งไป เธอไม่เคยเห็นตัวเองในมุมนี้มาก่อนเลย... ผู้หญิงในรูปดูมั่นใจ เซ็กซี่ และลึกลับน่าค้นหา มันไม่ใช่พลอยคนเดิมที่เธอรู้จัก
"นี่... ฉันเหรอ" พลอยถามเสียงเบา ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
"อืม... ก็แกนั่นแหละ" ฝนตอบ พลางคลิกเลื่อนไปยังภาพต่อไป "ฝีมือฉันเอง" เธอพูดติดตลกเพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด
แต่พลอยไม่ได้หัวเราะด้วย เธอมองลึกเข้าไปในภาพเหล่านั้นแล้วพูดขึ้นว่า "ไม่ใช่แค่ฝีมือแกหรอกฝน... มันคือสายตาของแกต่างหาก แกมองเห็นในสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นในตัวเอง"
คำพูดนั้นทำให้ฝนนิ่งไป... จริงอย่างที่พลอยว่า ภาพเหล่านี้มันไม่ใช่แค่ภาพถ่าย แต่มันคือภาพสะท้อนจากสายตาของเธอ คือมุมมองที่เธอมีต่อเพื่อนสนิทคนนี้มาโดยตลอด... มุมมองที่เธอไม่เคยกล้าพอที่จะยอมรับมันออกมาดังๆ
คืนนั้น ทั้งสองคนต่างแยกย้ายกันเข้าห้องนอนของตัวเอง ไม่มีใครชวนใครไปนอนด้วยเหมือนเคย ต่างคนต่างนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง จ้องมองเพดานที่มืดมิด และปล่อยให้ความคิดของตัวเองล่องลอยไป
พลอยนอนลูบไล้ผิวบริเวณหน้าอกของตัวเองเบาๆ พยายามจะนึกถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของฝนอีกครั้ง ส่วนฝนก็นอนกอดกล้องถ่ายรูปของเธอไว้แน่นราวกับเป็นสิ่งเดียวที่สามารถยึดเหนี่ยวจิตใจของเธอไว้ได้ในตอนนี้
การถ่ายทำครั้งแรกได้จบลงแล้ว... แต่มันก็ได้ทิ้งรอยร้าวเล็กๆ ไว้บนกำแพงที่เรียกว่า "เพื่อนสนิท" และในรอยร้าวนั้นเอง... ก็มีเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้สึกใหม่ที่ซับซ้อนและอันตรายได้เริ่มหยั่งรากลึกลงไปแล้วโดยที่พวกเธอทั้งสองคนยังไม่รู้ตัว
กระบวนการสร้างสรรค์ครั้งสุดท้ายสำหรับโปรเจกต์ "กล้องที่ถูกทอดทิ้ง" ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องมืดที่อบอวลไปด้วยกลิ่นสารเคมี... และก็ไม่ได้เกิดขึ้นภายใต้แสงแดดที่นุ่มนวลในสตูดิโอ... แต่กลับเกิดขึ้นบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าของไฟล์เอกสาร... ในรูปแบบของ "บทสัมภาษณ์ถาม-ตอบ" สำหรับหนังสือภาพถ่ายของพวกเธอ มันคือการเดินทางย้อนกลับไปสำรวจร่องรอยของความทรงจำ... คือการกลั่นกรองความรู้สึกที่ซับซ้อนออกมาเป็นตัวอักษร... และที่สำคัญที่สุด... มันคือการที่พลอยจะได้ค้นพบ "เสียง" ของตัวเองเป็นครั้งแรก พวกเธอนั่งเคียงข้างกันที่โต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่... อ่านคำถามจากสำนักพิมพ์ซ้ำไปซ้ำมา... ทุกคำถามล้วนแต่แหลมคมและเฉือนลึกลงไปถึงแก่นของเรื่องราวทั้งหมด คำถาม: ถึงแรงบันดาลใจ: คุณรู้สึกอย่างไรที่ได้เห็นช่วงเวลาที่เป็นส่วนตัวที่สุดของคุณถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นผลงานศิลปะเพื่อสาธารณะ พลอยนิ่งไปนานกับคำถามนี้... เธอจะอธิบายความรู้สึกที่ทั้งเปราะบางและเปี่ยมไปด้วยพลังนั้นออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร... เธอเริ่มต้นเขียน... ลบ... แล้วก็เขียนใหม่อยู่หลายครั้ง... โดยมีฝนคอยนั่งให้กำลังใจอยู่ข้างๆ... จนในที่สุด... เธอก็ได้พบคำตอบท
สตูดิโอแห่งใหม่ของพวกเธอได้กลายเป็นมากกว่าแค่สถานที่ทำงาน... มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต... เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ความรักและศิลปะของพวกเธอได้เติบโตและหายใจไปด้วยกันอย่างอิสระ และในบรรดาพื้นที่ทั้งหมดที่พวกเธอได้ร่วมกันสร้างขึ้นมานั้น... ก็ไม่มีที่ไหนที่จะมีความหมายและเป็นส่วนตัวสำหรับฝนได้มากเท่ากับ "ห้องมืด" อีกแล้ว มันคือความฝันที่เป็นจริง... คือโลกใบเล็กๆ ที่เธอสามารถควบคุมได้ทุกสิ่งทุกอย่าง... โลกที่ตัดขาดจากแสงสว่างและความวุ่นวายภายนอกโดยสิ้นเชิง บทแรกของการสร้างสรรค์ผลงานในบ้านหลังใหม่นี้ จึงเริ่มต้นขึ้นในความมืดมิดนั้น ฝนก้าวเข้าไปในห้องมืดที่เธอสร้างขึ้นมากับมือเป็นครั้งแรก... ความรู้สึกตื่นเต้นนั้นเปรียบเสมือนเด็กที่กำลังจะได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต เธอปิดประตูลง... และโลกทั้งใบก็จมดิ่งลงสู่ความมืดสนิท... มีเพียงแสงสีแดงจางๆ จากหลอดไฟนิรภัยเท่านั้นที่ส่องสว่างพอให้มองเห็นเค้าโครงของสิ่งต่างๆ... ถาดน้ำยาสามใบที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ... เครื่องอัดขยายภาพที่ตั้งตระหง่านอยู่มุมห้อง... และเสียงน้ำไหลที่ดังมาจากท่อ... ทุกอย่างคือองค์ประกอบของพิธีกรรมที่กำลังจะเร
สตูดิโอแห่งใหม่ที่พวกเธอได้ตัดสินใจเช่าในย่านตลาดน้อยนั้น... ในวันแรกที่ได้กุญแจมา... มันดูไม่ต่างอะไรกับซากปรักหักพังที่ถูกทอดทิ้ง สีบนผนังหลุดลอกร่อนออกมาเป็นแผ่นๆ พื้นไม้เก่าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ก้าวเดิน และฝุ่นหนาก็ปกคลุมทุกตารางนิ้วราวกับหิมะสีเทา... แต่มันก็เป็นซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วย "ศักยภาพ" หน้าต่างบานใหญ่ที่สูงจากพื้นจรดเพดานคือหัวใจของพื้นที่แห่งนี้ มันเปิดรับแสงแดดยามบ่ายของกรุงเทพฯ เข้ามาอย่างเต็มที่ และจากหน้าต่างบานนั้น... พวกเธอก็สามารถมองเห็นวิวของหลังคาบ้านเก่าๆ และชีวิตที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าของผู้คนในย่านเมืองเก่าได้... มันคือผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า... ที่กำลังรอคอยให้พวกเธอได้เข้าไปแต่งแต้มเรื่องราว แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการลงมือทำความสะอาดหรือทาสี... พวกเธอกลับเลือกที่จะเริ่มต้นด้วยการ "ฝัน" พวกเธอนั่งลงบนพื้นห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่น... โดยมีเพียงกระดาษแผ่นใหญ่กับดินสอสองสามแท่งคั่นกลางอยู่... แล้วเริ่มต้นสร้าง "กระดานแห่งความฝัน" (Dream Board) สำหรับพื้นที่แห่งนี้... มันคือการระดมสมองที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความคิดสร้างสรรค์... และมันก็ได้เปิดเผยถ
การยอมรับที่ไร้เงื่อนไขของมิ้นท์ในวันนั้น เปรียบเสมือนก้อนหินก้อนแรกที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบที่นิ่งสงบแห่งชีวิตของพวกเธอ และมันก็ได้สร้างระลอกคลื่นที่แผ่ขยายออกไปอย่างช้าๆ แต่ทรงพลัง... ระลอกคลื่นที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางอารมณ์และสังคมของพวกเธอไปอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศในคอนโดมิเนียมที่เคยเป็นเหมือนป้อมปราการสำหรับหลบซ่อนตัวจากโลกภายนอก บัดนี้ได้กลายเป็นเหมือนบ้านที่เปิดประตูต้อนรับพันธมิตรคนสำคัญเข้ามา ความวิตกกังวลระดับต่ำที่คอยเกาะกินจิตใจของพวกเธออยู่ตลอดเวลาว่าเพื่อนสนิทจะคิดอย่างไร... บัดนี้ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น ในช่วงหลายวันที่ตามมานั้น ชีวิตของพวกเธอได้ค้นพบจังหวะใหม่ที่ผ่อนคลายและเป็นอิสระมากยิ่งขึ้น การมาเยือนของมิ้นท์ที่คอนโดในเย็นวันศุกร์วันหนึ่ง ได้กลายเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนั้น ภาพของคนสามคนที่นั่งล้อมวงกินส้มตำและไก่ย่างกันบนพื้นห้องนั่งเล่นนั้น มันช่างเป็นภาพที่แสนจะธรรมดา... แต่สำหรับพวกเธอแล้ว... มันคือความไม่ธรรมดาที่แสนจะงดงาม พลอยกับฝนสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องคอยระแวดระวังอีกต่อไปแล้ว สัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ที่เ
ความตื่นเต้นที่เคยพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของพวกเธอตลอดค่ำคืนแห่งการเปิดตัวนิทรรศการนั้น ได้ค่อยๆ จางหายไปในระหว่างการเดินทางกลับคอนโดด้วยรถแท็กซี่ ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกที่เหนือจริงและความสุขที่เงียบสงบซึ่งเข้ามาแทนที่ พวกเธอนั่งเคียงข้างกันในความมืด จ้องมองแสงไฟของเมืองกรุงที่เคลื่อนผ่านไปนอกหน้าต่าง แต่จิตใจกลับล่องลอยย้อนกลับไปในช่วงเวลาสำคัญที่เพิ่งจะผ่านมาสดๆ ร้อนๆ "ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยฝน" พลอยเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนด้วยเสียงกระซิบ "ตอนที่สายตาของมิ้นท์มองมาที่เราสองคน... ฉันนึกว่าหัวใจฉันจะหยุดเต้นไปแล้วเสียอีก" "ฉันก็เหมือนกัน" ฝนตอบกลับมาเสียงแผ่วเบา เธอยังจำความรู้สึกเย็นเฉียบที่แล่นไปทั่วร่างของตัวเองในตอนนั้นได้ดี "แต่... วิธีที่มิ้นท์พูดออกมา... 'มันเป็นเรื่องราวความรักที่สวยงาม'... เขาไม่ได้กำลังพูดกับคนอื่น... เขากำลังพูดกับเรา" "ใช่..." พลอยพยักหน้าช้าๆ "เขาไม่ได้เปิดโปงเรา... แต่เขากำลัง... ยอมรับในตัวเรา" พวกเธอเดินทางกลับมาถึงคอนโดที่เปรียบเสมือนรังอันปลอดภัยอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้... มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันยังคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพว
ค่ำคืนแห่งการเปิดตัวนิทรรศการมาถึงพร้อมกับสายลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวและก้อนเมฆสีเทาที่ลอยตัวอยู่อย่างเกียจคร้านบนท้องฟ้าของกรุงเทพฯ บรรยากาศในคอนโดมิเนียมของพลอยกับฝนในเย็นวันนั้น... มันช่างเงียบสงัดและตึงเครียดเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความตึงเครียดที่เกิดจากความโกรธหรือความไม่เข้าใจ... แต่เป็นความตึงเครียดที่เกิดจากการรอคอย... การรอคอยที่จะต้องเผชิญหน้ากับบทพิพากษาสุดท้าย พวกเธอบรรจงแต่งตัวกันอย่างเงียบเชียบ... การเลือกเสื้อผ้าในวันนี้มีความหมายมากกว่าแค่เรื่องของความสวยงาม... มันคือการเลือกชุดเกราะ... คือการพรางตัวเพื่อที่จะแทรกซึมเข้าไปในฝูงชนโดยไม่มีใครจดจำได้ พลอยเลือกชุดเดรสยาวสีดำที่ดูเรียบหรูแต่ก็ไม่โดดเด่นจนเกินไป ส่วนฝน... เธอเลือกที่จะสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงสแล็ค... เป็นชุดที่ทำให้เธอดูเหมือนเป็นเพียงเงาจางๆ ที่พร้อมจะกลืนหายไปกับความมืดได้ทุกเมื่อ ในหัวของฝนนั้นเต็มไปด้วยภาพฉายซ้ำของสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้... 'แล้วถ้ามิ้นท์จำรอยสักของพลอยได้ล่ะ' 'เราจะตอบคำถามของเพื่อนๆ ว่าอย่างไร' เธอกำลังจะก้าวเข้าไปในงานแสดงผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน







