Masukพลอย กราฟิกดีไซเนอร์สาวสุดมั่น และ ฝน ช่างภาพสาวมาดเซอร์ผู้เงียบขรึม คือเพื่อนสนิทที่เติบโตและใช้ชีวิตร่วมกันในคอนโดเล็กๆ กลางกรุงเทพฯ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหารุมเร้าทางการเงินที่ใกล้จะถึงทางตัน พลอยจึงได้เสนอทางออกที่แสนจะบ้าบิ่นและอันตราย นั่นคือการสร้างแอคเคาท์ลับในชื่อ "Secret Petals" เพื่อสร้างสรรค์ผลงานภาพถ่ายแนวศิลปะอิโรติกที่ไม่เปิดเผยใบหน้า โดยมีพลอยเป็นนางแบบและฝนเป็นช่างภาพ
Lihat lebih banyakเสียงฝนตกกระทบกระจกหน้าต่างดังเปาะแปะ เป็นซาวด์แทร็กประกอบชีวิตที่น่าหดหู่ของสองสาวเพื่อนซี้ในบ่ายวันอังคารที่แสนธรรมดา "พลอย" หรือชื่อเต็มๆ ว่า พลอยไพลิน นอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาผ้าสีเทาเก่าๆ ดวงตาคมสวยของเธอเหม่อมองเพดานว่างเปล่า ในมือข้างหนึ่งถือสมาร์ทโฟนที่กำลังแสดงหน้าจอแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ ตัวเลขสีแดงฉานของยอดหนี้บัตรเครดิตที่พุ่งทะยานสวนทางกับตัวเลขในบัญชีออมทรัพย์อย่างน่าใจหาย ทำให้เธอต้องถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่ร้อยของวัน
"ฝน..." เธอเอ่ยเรียกเพื่อนรักเสียงอ่อนระโหยโรยแรง "ฉันว่า... ถ้าเดือนนี้ยังไม่มีงานใหญ่ๆ เข้ามานะ เดือนหน้าเราคงต้องเริ่มศึกษาเรื่องการสังเคราะห์แสงเพื่อประทังชีวิตกันอย่างจริงจังแล้วล่ะ"
"เหมือนต้นไม้เหรอ" เสียงเนือยๆ ตอบกลับมาจากมุมห้อง "ก็ดีนะ ประหยัดค่าข้าวดี"
เจ้าของเสียงคือ "ฝน" หรือ เมขลา ช่างภาพฟรีแลนซ์สาวมาดเซอร์ผู้มีโลกส่วนตัวสูง เธอนั่งขดตัวอยู่บนพื้นข้างโต๊ะทำงานญี่ปุ่นตัวเตี้ย กำลังใช้ผ้านาโนเช็ดทำความสะอาดเลนส์กล้องตัวโปรดอย่างเบามือราวกับกำลังประคบประหงมสมบัติล้ำค่าที่สุดในชีวิต แสงสว่างจากหน้าจอแมคบุ๊กที่เปิดทิ้งไว้สะท้อนให้เห็นแววตาที่อ่อนล้าไม่ต่างกัน ในอีเมลเต็มไปด้วยข้อความปฏิเสธงานและใบเสนอราคาที่ไม่เคยได้รับการตอบกลับ
พลอยกับฝนเป็นมากกว่าเพื่อน พวกเธอคือครอบครัว คือส่วนหนึ่งของชีวิตกันและกันมาตั้งแต่จำความได้ รู้จักกันครั้งแรกในชุดนักเรียนมัธยมต้น คบกันมาจนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยในคณะนิเทศศาสตร์เหมือนกัน และตัดสินใจลงเรือลำเดียวกันด้วยการเช่าคอนโดมิเนียมเล็กๆ แห่งนี้ในย่านชานเมืองเพื่อเริ่มต้นชีวิตฟรีแลนซ์ตามความฝัน พวกเธอเคยคิดว่ามันจะสวยงาม... อิสระ... และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ แต่ความเป็นจริงกลับตบหน้าพวกเธอฉาดใหญ่ด้วยค่าครองชีพที่สูงลิ่วและเศรษฐกิจที่ซบเซาจนน่าใจหาย
"ลูกค้าเจ้าล่าสุดที่ให้แก้โลโก้สิบรอบน่ะ... สุดท้ายเขาบอกว่า 'ขอคิดดูก่อน' แล้วก็หายไปเลย" พลอยบ่นอุบ พลางเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปดูตารางงานที่ว่างเปล่าจนน่าตกใจ "ค่าจ้างแค่ไม่กี่พันเองนะ นี่มันอะไรกัน"
"ลูกค้าถ่ายรูปโปรไฟล์สินค้าที่ฉันเพิ่งส่งงานไป ก็ขอแก้สีอีกแล้ว บอกว่าสีลิปสติกมัน 'สดไม่พอ' ทั้งๆ ที่ฉันแก้ให้เขาไปแล้วสามรอบ" ฝนสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยหน่าย "บางทีฉันก็อยากจะตอบกลับไปว่า ให้เขาเอาสีโปสเตอร์มาระบายเองเลยดีไหม"
เสียงหัวเราะแห้งๆ ของคนทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะจางหายไปกับเสียงฝนข้างนอก ความเงียบเข้าปกคลุมห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แห่งนี้อีกครั้ง มีเพียงความอึดอัดและไอกังวลที่ลอยอบอวลอยู่ทุกอณู พลอยพลิกตัวนอนคว่ำ ซบหน้าลงกับหมอนอิงแล้วส่งเสียงครางอย่างสิ้นหวัง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเธอต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ แต่นับวันมันยิ่งถี่ขึ้นและหนักหนาขึ้นทุกที ความฝันที่เคยวาดไว้เริ่มถูกกัดกร่อนด้วยความจริงที่โหดร้าย พลอยเหลือบมองฝนที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขัดเลนส์กล้องอยู่อย่างนั้น ดวงตาของเพื่อนรักแม้จะดูเหนื่อยล้า แต่ก็ยังคงมีความมุ่งมั่นฉายชัดอยู่เสมอ ฝนรักการถ่ายภาพยิ่งกว่าสิ่งใด และนั่นคือสิ่งที่ทำให้พลอยเจ็บปวดใจ เธอทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นเพื่อนรักของเธอต้องละทิ้งความฝันเพราะปัญหาเรื่องเงิน
ทันใดนั้นเอง ราวกับมีหลอดไฟดวงเล็กๆ สว่างวาบขึ้นในหัวของพลอย เธอลุกพรวดขึ้นนั่ง ดวงตาเป็นประกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"ฝน... ฉันมีไอเดีย"
ฝนละสายตาจากเลนส์กล้อง หรี่ตามองเพื่อนอย่างไม่ไว้ใจ "ถ้าเป็นไอเดียประเภทชวนไปขายประกัน หรือลงทุนกับเหรียญคริปโตประหลาดๆ ฉันขอบายนะ"
"ไม่ใช่แบบนั้น!" พลอยปฏิเสธเสียงสูง ก่อนจะคลานเข่าเข้าไปหาฝนอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งลงตรงหน้า ดวงตาของเธอมีแววเจ้าเล่ห์และตื่นเต้นระคนกัน "มันเป็นอะไรที่... ท้าทายกว่านั้น อาร์ตกว่านั้น และ... อาจจะทำเงินให้เราได้เยอะกว่านั้นมาก"
เธอยื่นโทรศัพท์ของเธอให้ฝนดู หน้าจอแสดงผลแอคเคาท์ OnlyFans ของนางแบบสาวชาวต่างชาติคนหนึ่ง รูปภาพที่ปรากฏไม่ใช่ภาพโป๊เปลือยโจ่งแจ้ง แต่เป็นภาพถ่ายเชิงศิลปะที่เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย แสงและเงาที่ตกกระทบลงบนผิวเนื้อสร้างมิติที่ดูลึกลับและน่าค้นหา มันมีความวาบหวามปนเปื้อนอยู่ในทุกอณูของภาพถ่าย
ฝนขมวดคิ้วมุ่น เลื่อนดูภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งทึ่งในความสวยงามของภาพถ่าย และความรู้สึกแปลกๆ ที่ได้เห็นเรือนร่างของผู้หญิงถูกนำเสนอในรูปแบบนี้ "แล้วยังไง... แกจะให้เราไปสมัครเป็นตากล้องให้เขาเหรอ"
"เปล่า" พลอยส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะชี้นิ้วมาที่ตัวเอง แล้วชี้นิ้วไปที่ฝน "ฉันจะเป็นแบบ... แล้วแกจะเป็นคนถ่าย"
ฝนเบิกตากว้าง อ้าปากค้างราวกับได้ยินเรื่องเหลือเชื่อที่สุดในชีวิต "พลอย! แกบ้าไปแล้วเหรอ!"
"ฉันจริงจังนะฝน!" พลอยจับไหล่เพื่อนเขย่าเบาๆ "แกคิดดูดีๆ นะ ฝน... แกเป็นช่างภาพที่มีฝีมือ มีมุมมองที่ไม่เหมือนใคร แกสามารถทำให้ทุกอย่างดูเป็นศิลปะได้ ส่วนฉัน... " เธอหยุดพูดไปชั่วครู่ กวาดสายตามองรูปร่างของตัวเองอย่างประเมิน "ฉันก็... พอไปวัดไปวาได้อยู่น่า" เธอยักคิ้วอย่างทะเล้น "เราจะไม่ทำอะไรที่มันน่าเกลียด เราจะทำคอนเทนต์แนว Erotic Art เน้นความสวยงามของสรีระผู้หญิง แสง เงา และอารมณ์ เราจะไม่เปิดเผยใบหน้า ไม่บอกว่าเราเป็นใคร มันจะเป็นความลับสุดยอดของเราสองคน"
ฝนดึงตัวเองออกจากภวังค์ ส่ายหัวรัวๆ "ไม่ได้พลอย... ไม่ได้เด็ดขาด มันเสี่ยงเกินไป ถ้ามีคนรู้ขึ้นมาจะทำยังไง พ่อแม่เราจะว่ายังไง แล้ว... แล้วเราจะมองหน้ากันติดได้ยังไง" คำถามสุดท้ายหลุดออกมาจากปากอย่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
คำพูดนั้นทำให้พลอยชะงักไปเช่นกัน... เราจะมองหน้ากันติดได้ยังไง... จริงสิ การทำงานแบบนี้มันไม่ใช่แค่การถ่ายรูปสินค้าหรือวิวทิวทัศน์ มันคือการถ่ายเรือนร่างของเพื่อนสนิทที่นอนเตียงเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกันมาหลายปี มันคือการที่ฝนต้องมองเธอในมุมที่แตกต่างออกไป และเธอเองก็ต้องเปลือยเปล่าต่อหน้าสายตาของฝน... ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่รวมถึงความรู้สึกด้วย
"ฉันรู้ว่ามันน่าอึดอัด" พลอยยอมรับ พลางลดมือลงจากไหล่ของเพื่อน "แต่ฝน... เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ เหรอ แกดูหนี้สินของเราสิ ดูค่าเช่าห้องที่กำลังจะมาถึงสิ แกอยากจะยอมแพ้แล้วกลับไปอยู่บ้านจริงๆ เหรอ แกอยากจะทิ้งกล้องของแกแล้วไปทำงานออฟฟิศที่แกเกลียดจริงๆ เหรอ"
ทุกคำถามของพลอยเหมือนลูกศรที่พุ่งเข้าปักกลางใจของฝน เธอหลับตาลง ภาพความผิดหวังของพ่อแม่ลอยเข้ามาในหัว ภาพตัวเองที่ต้องเก็บกล้องเข้ากรุแล้วไปนั่งทำงานในคอกสี่เหลี่ยมวันละแปดชั่วโมงมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน เธอรักอิสระและรักการถ่ายภาพมากเกินกว่าจะยอมให้มันเกิดขึ้นได้
"คนพวกนั้น... เขาสมัครเพื่อดูอะไรแบบนี้จริงๆ เหรอ" ฝนถามเสียงสั่น
"จริงสิ" พลอยตอบอย่างหนักแน่น "มีตลาดสำหรับคอนเทนต์แบบนี้อยู่ และมันใหญ่กว่าที่เราคิดมาก บางคนสมัครเพื่อชื่นชมความสวยงาม บางคนก็... ด้วยเหตุผลอื่น แต่ไม่ว่าเหตุผลของพวกเขาคืออะไร พวกเขายอมจ่าย และนั่นคือสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่เหรอ? เงิน... เพื่อมาต่อชีวิตความฝันของเราไง"
พลอยเห็นความลังเลในแววตาของเพื่อน เธอจึงใช้ไม้ตายสุดท้าย "ฝน... ฉันเชื่อใจแกนะ ฉันเชื่อในสายตาของแก ฉันรู้ว่าแกจะไม่ทำให้ฉันดูน่าเกลียดหรือไร้ค่า แกจะทำให้มันเป็นศิลปะได้ ฉันเชื่อแบบนั้นจริงๆ... และฉันก็ทำเรื่องแบบนี้กับคนอื่นไม่ได้ด้วย นอกจากแก... เพื่อนรักที่สุดของฉัน"
คำว่า "เพื่อนรักที่สุด" และ "เชื่อใจ" มันเป็นเหมือนคาถาที่สะกดให้ฝนต้องนิ่งงันไป ความไว้เนื้อเชื่อใจที่พลอยมีให้มันหนักอึ้งและทรงพลัง เธอรู้ดีว่าพลอยเป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยวเสมอ แต่การตัดสินใจครั้งนี้มันต้องใช้ความกล้าหาญมหาศาล และพลอยก็เลือกที่จะยื่นความไว้วางใจทั้งหมดนั้นมาให้เธอ
ฝนถอนหายใจยาว พ่นลมร้อนๆ ออกมาเพื่อขับไล่ความสับสนในใจ เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของพลอยที่กำลังรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ... ในที่สุด เธอก็พยักหน้าช้าๆ
"ก็ได้..." เสียงของเธอเบาหวิวราวกับกระซิบ "ลองดูก็ได้... แต่เราต้องมีกฎนะ"
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพลอยทันที "ได้เลย! กฎอะไรว่ามาเลย!"
"ข้อแรก... เราจะไม่เปิดเผยใบหน้าเด็ดขาด"
"แน่นอน"
"ข้อสอง... เราจะกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน ถ้ามีอะไรที่แกไม่อยากทำ หรือฉันไม่อยากถ่าย เราต้องหยุดทันที ไม่มีการบังคับ"
"ตกลง"
"และข้อสุดท้าย..." ฝนเว้นจังหวะ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก "ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่ามันกำลังจะทำลายความเป็นเพื่อนของเรา... เราต้องหยุดทันที"
พลอยมองหน้าฝนนิ่ง คำขอนั้นหนักแน่นและจริงจัง เธอจึงพยักหน้ารับอย่างช้าๆ "ฉันสัญญา... ความเป็นเพื่อนของเราสำคัญที่สุด"
บรรยากาศที่ตึงเครียดค่อยๆ คลายลง ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างไม่มีเหตุผล มันเป็นเสียงหัวเราะที่ปนเปไปด้วยความกังวล ความตื่นเต้น และความบ้าบิ่นของวัยหนุ่มสาวที่กำลังจะก้าวข้ามเส้นแบ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิต
คืนนั้น หลังจากที่จัดการกับมื้อค่ำง่ายๆ ด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้ว ทั้งสองคนก็กลับมานั่งล้อมวงกันบนพื้นห้องอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพื่อปรับทุกข์ แต่เพื่อระดมสมองสำหรับโปรเจกต์ลับของพวกเธอ
"เราต้องมีชื่อแอคเคาท์ที่ดึงดูดและน่าค้นหา" พลอยว่าพลางใช้นิ้วเคาะคางตัวเองเบาๆ
"ต้องเป็นชื่อที่ไม่บ่งบอกถึงตัวเราเลย" ฝนเสริม
พวกเธอโยนไอเดียต่างๆ ออกมามากมาย ตั้งแต่ชื่อที่ดูร้อนแรงไปจนถึงชื่อที่ดูลึกลับ แต่ก็ยังไม่มีชื่อไหนที่ถูกใจจริงๆ จนกระทั่งฝนเหลือบไปเห็นดอกยิปโซช่อเล็กๆ ที่พลอยซื้อมาปักไว้ในแจกันบนโต๊ะทำงาน
"แล้วชื่อ 'Secret Petals' ล่ะ" ฝนเปรยขึ้นมา "แปลว่า... กลีบดอกไม้ที่ซ่อนอยู่ มันฟังดูสวยงาม ลึกลับ แล้วก็... สองแง่สองง่ามดี"
พลอยทวนชื่อนั้นในใจช้าๆ 'Secret Petals'... มันสมบูรณ์แบบมาก "เพราะมากฝน... ฉันชอบชื่อนี้ที่สุดเลย" เธอยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มข้างแก้ม
พวกเธอนั่งคุยกันถึงคอนเซ็ปต์และแนวทางของแอคเคาท์ไปอีกพักใหญ่ ก่อนที่ความเหนื่อยล้าจะเข้าครอบงำ คืนนั้นพลอยขอย้ายหมอนของตัวเองไปนอนบนเตียงเดียวกับฝนเหมือนเคย เป็นสิ่งที่พวกเธอทำเป็นประจำในคืนที่ใครคนใดคนหนึ่งรู้สึกไม่สบายใจ
ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน แสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียงส่องให้เห็นเงาของพวกเธอทาบทับกันอยู่บนผนังห้อง บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงแอร์ที่ดังหึ่งๆ และเสียงหัวใจของคนสองคนที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
"แกกลัวไหม" พลอยกระซิบถาม ทำลายความเงียบขึ้น
ฝนนอนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ "กลัวสิ... กลัวมาก"
"ฉันก็เหมือนกัน"
พลอยพลิกตัวหันหน้าเข้าหาฝน ระยะห่างระหว่างพวกเธอมีเพียงน้อยนิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของกันและกัน "แต่ไม่รู้ทำไม... ฉันถึงรู้สึกตื่นเต้นมากกว่า"
วินาทีนั้นเองที่มือของพลอยค่อยๆ เลื่อนไปกุมมือของฝนไว้ใต้ผ้าห่ม ปลายนิ้วที่สอดประสานกันนั้นส่งผ่านความอบอุ่นและความรู้สึกมากมายที่ไร้ซึ่งคำพูด มันไม่ใช่แค่การปลอบใจเพื่อน แต่มันคือการให้คำมั่นสัญญา คือการยืนยันว่าพวกเธอจะเผชิญหน้ากับเรื่องราวบ้าๆ นี้ไปด้วยกัน
ฝนไม่ได้ชักมือกลับ เธอทำเพียงกระชับมือที่กุมกันให้แน่นขึ้นอีกนิด สัมผัสที่คุ้นเคยในค่ำคืนนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป... มันมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ เหมือนกับชื่อแอคเคาท์ของพวกเธอ... 'Secret Petals'... กลีบดอกไม้ที่ซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่คอนเทนต์ที่พวกเธอกำลังจะสร้าง แต่มันอาจหมายถึงความรู้สึกบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจพวกเธอมาโดยตลอด และกำลังจะถูกปลุกให้ผลิบานขึ้นมาในไม่ช้านี้
กระบวนการสร้างสรรค์ครั้งสุดท้ายสำหรับโปรเจกต์ "กล้องที่ถูกทอดทิ้ง" ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องมืดที่อบอวลไปด้วยกลิ่นสารเคมี... และก็ไม่ได้เกิดขึ้นภายใต้แสงแดดที่นุ่มนวลในสตูดิโอ... แต่กลับเกิดขึ้นบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าของไฟล์เอกสาร... ในรูปแบบของ "บทสัมภาษณ์ถาม-ตอบ" สำหรับหนังสือภาพถ่ายของพวกเธอ มันคือการเดินทางย้อนกลับไปสำรวจร่องรอยของความทรงจำ... คือการกลั่นกรองความรู้สึกที่ซับซ้อนออกมาเป็นตัวอักษร... และที่สำคัญที่สุด... มันคือการที่พลอยจะได้ค้นพบ "เสียง" ของตัวเองเป็นครั้งแรก พวกเธอนั่งเคียงข้างกันที่โต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่... อ่านคำถามจากสำนักพิมพ์ซ้ำไปซ้ำมา... ทุกคำถามล้วนแต่แหลมคมและเฉือนลึกลงไปถึงแก่นของเรื่องราวทั้งหมด คำถาม: ถึงแรงบันดาลใจ: คุณรู้สึกอย่างไรที่ได้เห็นช่วงเวลาที่เป็นส่วนตัวที่สุดของคุณถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นผลงานศิลปะเพื่อสาธารณะ พลอยนิ่งไปนานกับคำถามนี้... เธอจะอธิบายความรู้สึกที่ทั้งเปราะบางและเปี่ยมไปด้วยพลังนั้นออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร... เธอเริ่มต้นเขียน... ลบ... แล้วก็เขียนใหม่อยู่หลายครั้ง... โดยมีฝนคอยนั่งให้กำลังใจอยู่ข้างๆ... จนในที่สุด... เธอก็ได้พบคำตอบท
สตูดิโอแห่งใหม่ของพวกเธอได้กลายเป็นมากกว่าแค่สถานที่ทำงาน... มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต... เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ความรักและศิลปะของพวกเธอได้เติบโตและหายใจไปด้วยกันอย่างอิสระ และในบรรดาพื้นที่ทั้งหมดที่พวกเธอได้ร่วมกันสร้างขึ้นมานั้น... ก็ไม่มีที่ไหนที่จะมีความหมายและเป็นส่วนตัวสำหรับฝนได้มากเท่ากับ "ห้องมืด" อีกแล้ว มันคือความฝันที่เป็นจริง... คือโลกใบเล็กๆ ที่เธอสามารถควบคุมได้ทุกสิ่งทุกอย่าง... โลกที่ตัดขาดจากแสงสว่างและความวุ่นวายภายนอกโดยสิ้นเชิง บทแรกของการสร้างสรรค์ผลงานในบ้านหลังใหม่นี้ จึงเริ่มต้นขึ้นในความมืดมิดนั้น ฝนก้าวเข้าไปในห้องมืดที่เธอสร้างขึ้นมากับมือเป็นครั้งแรก... ความรู้สึกตื่นเต้นนั้นเปรียบเสมือนเด็กที่กำลังจะได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต เธอปิดประตูลง... และโลกทั้งใบก็จมดิ่งลงสู่ความมืดสนิท... มีเพียงแสงสีแดงจางๆ จากหลอดไฟนิรภัยเท่านั้นที่ส่องสว่างพอให้มองเห็นเค้าโครงของสิ่งต่างๆ... ถาดน้ำยาสามใบที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ... เครื่องอัดขยายภาพที่ตั้งตระหง่านอยู่มุมห้อง... และเสียงน้ำไหลที่ดังมาจากท่อ... ทุกอย่างคือองค์ประกอบของพิธีกรรมที่กำลังจะเร
สตูดิโอแห่งใหม่ที่พวกเธอได้ตัดสินใจเช่าในย่านตลาดน้อยนั้น... ในวันแรกที่ได้กุญแจมา... มันดูไม่ต่างอะไรกับซากปรักหักพังที่ถูกทอดทิ้ง สีบนผนังหลุดลอกร่อนออกมาเป็นแผ่นๆ พื้นไม้เก่าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ก้าวเดิน และฝุ่นหนาก็ปกคลุมทุกตารางนิ้วราวกับหิมะสีเทา... แต่มันก็เป็นซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วย "ศักยภาพ" หน้าต่างบานใหญ่ที่สูงจากพื้นจรดเพดานคือหัวใจของพื้นที่แห่งนี้ มันเปิดรับแสงแดดยามบ่ายของกรุงเทพฯ เข้ามาอย่างเต็มที่ และจากหน้าต่างบานนั้น... พวกเธอก็สามารถมองเห็นวิวของหลังคาบ้านเก่าๆ และชีวิตที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าของผู้คนในย่านเมืองเก่าได้... มันคือผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า... ที่กำลังรอคอยให้พวกเธอได้เข้าไปแต่งแต้มเรื่องราว แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการลงมือทำความสะอาดหรือทาสี... พวกเธอกลับเลือกที่จะเริ่มต้นด้วยการ "ฝัน" พวกเธอนั่งลงบนพื้นห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่น... โดยมีเพียงกระดาษแผ่นใหญ่กับดินสอสองสามแท่งคั่นกลางอยู่... แล้วเริ่มต้นสร้าง "กระดานแห่งความฝัน" (Dream Board) สำหรับพื้นที่แห่งนี้... มันคือการระดมสมองที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความคิดสร้างสรรค์... และมันก็ได้เปิดเผยถ
การยอมรับที่ไร้เงื่อนไขของมิ้นท์ในวันนั้น เปรียบเสมือนก้อนหินก้อนแรกที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบที่นิ่งสงบแห่งชีวิตของพวกเธอ และมันก็ได้สร้างระลอกคลื่นที่แผ่ขยายออกไปอย่างช้าๆ แต่ทรงพลัง... ระลอกคลื่นที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางอารมณ์และสังคมของพวกเธอไปอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศในคอนโดมิเนียมที่เคยเป็นเหมือนป้อมปราการสำหรับหลบซ่อนตัวจากโลกภายนอก บัดนี้ได้กลายเป็นเหมือนบ้านที่เปิดประตูต้อนรับพันธมิตรคนสำคัญเข้ามา ความวิตกกังวลระดับต่ำที่คอยเกาะกินจิตใจของพวกเธออยู่ตลอดเวลาว่าเพื่อนสนิทจะคิดอย่างไร... บัดนี้ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น ในช่วงหลายวันที่ตามมานั้น ชีวิตของพวกเธอได้ค้นพบจังหวะใหม่ที่ผ่อนคลายและเป็นอิสระมากยิ่งขึ้น การมาเยือนของมิ้นท์ที่คอนโดในเย็นวันศุกร์วันหนึ่ง ได้กลายเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนั้น ภาพของคนสามคนที่นั่งล้อมวงกินส้มตำและไก่ย่างกันบนพื้นห้องนั่งเล่นนั้น มันช่างเป็นภาพที่แสนจะธรรมดา... แต่สำหรับพวกเธอแล้ว... มันคือความไม่ธรรมดาที่แสนจะงดงาม พลอยกับฝนสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องคอยระแวดระวังอีกต่อไปแล้ว สัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ที่เ
ความตื่นเต้นที่เคยพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของพวกเธอตลอดค่ำคืนแห่งการเปิดตัวนิทรรศการนั้น ได้ค่อยๆ จางหายไปในระหว่างการเดินทางกลับคอนโดด้วยรถแท็กซี่ ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกที่เหนือจริงและความสุขที่เงียบสงบซึ่งเข้ามาแทนที่ พวกเธอนั่งเคียงข้างกันในความมืด จ้องมองแสงไฟของเมืองกรุงที่เคลื่อนผ่านไปนอกหน้าต่าง แต่จิตใจกลับล่องลอยย้อนกลับไปในช่วงเวลาสำคัญที่เพิ่งจะผ่านมาสดๆ ร้อนๆ "ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยฝน" พลอยเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนด้วยเสียงกระซิบ "ตอนที่สายตาของมิ้นท์มองมาที่เราสองคน... ฉันนึกว่าหัวใจฉันจะหยุดเต้นไปแล้วเสียอีก" "ฉันก็เหมือนกัน" ฝนตอบกลับมาเสียงแผ่วเบา เธอยังจำความรู้สึกเย็นเฉียบที่แล่นไปทั่วร่างของตัวเองในตอนนั้นได้ดี "แต่... วิธีที่มิ้นท์พูดออกมา... 'มันเป็นเรื่องราวความรักที่สวยงาม'... เขาไม่ได้กำลังพูดกับคนอื่น... เขากำลังพูดกับเรา" "ใช่..." พลอยพยักหน้าช้าๆ "เขาไม่ได้เปิดโปงเรา... แต่เขากำลัง... ยอมรับในตัวเรา" พวกเธอเดินทางกลับมาถึงคอนโดที่เปรียบเสมือนรังอันปลอดภัยอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้... มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันยังคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพว
ค่ำคืนแห่งการเปิดตัวนิทรรศการมาถึงพร้อมกับสายลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวและก้อนเมฆสีเทาที่ลอยตัวอยู่อย่างเกียจคร้านบนท้องฟ้าของกรุงเทพฯ บรรยากาศในคอนโดมิเนียมของพลอยกับฝนในเย็นวันนั้น... มันช่างเงียบสงัดและตึงเครียดเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความตึงเครียดที่เกิดจากความโกรธหรือความไม่เข้าใจ... แต่เป็นความตึงเครียดที่เกิดจากการรอคอย... การรอคอยที่จะต้องเผชิญหน้ากับบทพิพากษาสุดท้าย พวกเธอบรรจงแต่งตัวกันอย่างเงียบเชียบ... การเลือกเสื้อผ้าในวันนี้มีความหมายมากกว่าแค่เรื่องของความสวยงาม... มันคือการเลือกชุดเกราะ... คือการพรางตัวเพื่อที่จะแทรกซึมเข้าไปในฝูงชนโดยไม่มีใครจดจำได้ พลอยเลือกชุดเดรสยาวสีดำที่ดูเรียบหรูแต่ก็ไม่โดดเด่นจนเกินไป ส่วนฝน... เธอเลือกที่จะสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงสแล็ค... เป็นชุดที่ทำให้เธอดูเหมือนเป็นเพียงเงาจางๆ ที่พร้อมจะกลืนหายไปกับความมืดได้ทุกเมื่อ ในหัวของฝนนั้นเต็มไปด้วยภาพฉายซ้ำของสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้... 'แล้วถ้ามิ้นท์จำรอยสักของพลอยได้ล่ะ' 'เราจะตอบคำถามของเพื่อนๆ ว่าอย่างไร' เธอกำลังจะก้าวเข้าไปในงานแสดงผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน
Komen