“มีอะไรจะแก้ตัวไหม? ไอ้ม่วง”
เขาทำงานพลาดครั้งใหญ่
“ไม่ครับ”
“ดี”
เลขานุการหนูคนสนิทยืนตัวตรงมือไพล่หลังน้อมรับบทลงโทษที่จะตามมา
งานที่เขาควรส่งคนคุ้มกันคุณเปลวและผู้ต้องสงสัยทั้งหมดไม่ให้คลาดสายตา แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับเป็นความล้มเหลว ต่อให้คนที่ทำพลาดจะเป็นคนอื่นไม่ใช่เขาทว่าคนอื่นคนนั้นคือลูกน้องซึ่งได้รับคำสั่งจากตัวเขาซึ่งเป็นหัวหน้า ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นคนรับผิดชอบ
*พลั่ก!!* กำปั้นตรงเข้าข้างแก้มอย่างจัง จนรดาร่างเล็กล้มลงในทันที ดีที่ข้างเคียงเป็นเตียงหากเป็นขอบโต๊ะละก็คงไม่ได้มีแค่แผลเดียวเป็นแน่
ใบหน้าเล็กแม้ขึ้นเป็นรอยฟกช้ำใหญ่จนมันเกยขึ้นตาแต่สีหน้านัยนายังคงเรียบเฉย สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เนื่องจากงานงานนี้เจ้านายย้ำนักย้ำหนาให้เขาพึงระวังกับมันมากกว่างานที่เป็นไปเพื่อผลกำไรของบริษัท ถึงกระนั้นด้วยผลที่ออกมาตรงกันข้ามให้ทราบได้ว่าเขายังใส่ใจไม่มากพอ
พวกเขาตามสืบมายังย่านอโคจรจนถึงห้องซึ่งส่งกลิ่นฉุนของน้ำหอมออกมาจนน่าอาเจียน ผ้าม่านผืนหนาสีเข้มปิดหน้าต่างไม่ให้แสงจากภายนอกเข้ามารบกวน ความสลัวจากแสงรำไรที่แผ่กระจายออกมาจากโคมไฟตั้งโต๊ะ ทำให้ทุกสิ่งภายในห้องดูชวนน่าหลงใหล เครื่องเรือนที่ใช้เป็นสีแดงเลือดนกผนวกกับผ้าปูเตียงเนื้อหนาเพิ่มความรู้สึกหรูหราเร่าร้อนอันย้ำเตือนถึงเรื่องราวอันเปราะบางและความจริงอันหลีกเลี่ยงไม่ได้
เป็นเวลานานสักพักกว่าสติเขาจะกลับมาครบถ้วน รู้ตัวอีกคุณธรรศผู้เป็นนายก็ออกไปจากห้องเสียแล้ว
“อึก!”
ม่วงเสียงกระตุกเมื่อลองยกมือแตะหน้าแก้ม ตอนนี้เขาพาตัวเองเข้ามาส่องกระจกในห้องน้ำดูสภาพการณ์ ด้วยว่าตัวเล็กกว่ามากขนาดมือจึงต่างกันอย่างชัดเจน หากเขาต่อยตัวเอง รอยคงอยู่เป็นวงเล็ก ๆ กลับกันแผลที่ได้ในตอนนี้แทบกินไปครึ่งหน้า สำหรับเจ้านายแล้วเรื่องของคุณเปลวเป็นเรื่องสำคัญกว่าเงินทองของตัวเอง ซึ่งเขารู้ในจุดนั้นดีกว่าใคร ๆ แต่กลับ...
“หัวหน้าครับ คุณธรรศให้ผมเอา-เฮือก!”
“มีอะไร ไอ้ยอด”
“ผมไม่คิดว่ามันหนักขนาดนี้...”
ยอด ลูกน้องอีกคนเดินมายื่นผ้าเย็นให้เอาไว้ประคบ ตอนที่เขารออยู่ด้านนอกก็ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงกระแทกดังออกมาตามด้วยคุณธรรศซึ่งเดินสวนออกไปพร้อมคำสั่งผ้าประคบเย็น
ยอดมองหัวหน้าตัวเล็กจิ๋วก็เห็นใจ พวกเขาตัวโตอย่างกับควายยังกลัวหมัดคุณธรรศกันเลยแต่หัวหน้าเขากลับทำหน้านิ่งเฉยได้อยู่แบบนี้ นี่เจ้านายคนนั้นไม่คิดเห็นใจกันบ้างเลยหรือไร หัวหน้าถึงจะเป็นรดาแต่ก็เคยเป็นสุคนธ์มาก่อนเชียวนะ สุคนธ์ที่ใคร ๆ ก็ต่างต้องการทะนุถนอมอุ้มชูทูนเหนือศีรษะน่ะ!
“ไปกันได้แล้ว ฉันต้องไปจัดการเรื่องผู้หญิงคนนั้นต่อ”
“นะ...นั่งพักก่อนไหมครับ แผลมัน-”
“ช่างแผลฉันเถอะ รีบไปกันได้แล้ว ส่วนไอ้คนที่ทำเสียเรื่องไปเรียกมันมาคุยกับฉันหลังจบงานคืนนี้”
“ครับ”
ม่วงเดินออกมาผ่านโถงทางเดินกว้างซึ่งอุดมไปด้วยกลิ่นฉุนของน้ำหอมสังเคราะห์และเหล่าผู้คนซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้อง เลขานุการร่างผอมบางสาวเท้าเดินผ่านเหล่าลูกน้องพิโดรตัวโย่งด้วยแววตาเฉี่ยวคมเรียบนิ่งอย่างที่เคยเป็นมาตลอดโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวดหรือสะทกสะท้านต่อแผลฟกช้ำที่ได้รับมาแม้แต่น้อย ตรงข้ามกับเหล่าลูกน้องที่ทั้งเป็นห่วงในฐานะเจ้านาย-ลูกน้อง แต่บ้างก็ห่วงในฐานะคนของใจที่แอบรักข้างเดียว
ตอนนี้ลูกน้องเขารู้กันเองหมดแล้วว่ามีใครเป็นศัตรูหัวใจบ้าง มีแต่หัวหน้านี่แลที่เอาแต่ทำงานง่ก ๆ ดูเหมือนจะไม่ทราบอะไรกับเขาสักนิด
“ไอ้เฉลิมมันไปกับคุณเปลวใช่ไหม?”
“ครับ”
“เอ็งนอนมาก่อนหน้าแล้วใช่ไหม ขับรถพาฉันไปส่งบริษัทที”
ต่อให้ไอ้ยอดจะมีคำถามมากมายอยู่ในหัวทว่าทำได้เพียงพยักหน้าทำตามคำสั่งเพราะการให้คุณหัวหน้าหนูตัวเล็กพูดบ่อย ๆ อาจไม่ส่งผลดีต่อแผลช้ำข้างแก้ม
ม่วงเดินกระฉับกระเฉงรวบกระเป๋าและเอกสารที่ยึดมาเดินนำหน้าลูกน้องไปก่อนเพื่อไขกุญแจเปิดประตูรถแล้วจึงจะนำสัมภาระทุกอย่างเก็บเข้าที่ พยักพเยิดหน้ากับไอ้ยอดที่เดินตามมาทีหลังแล้วจึงก้าวขาขึ้นเบาะท้ายรถ เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาจวนจะตีห้าแล้วทว่าเขายังไม่ได้นอน อย่างน้อยขอมานอนงีบสักหนึ่งชั่วโมงระหว่างทางไปบริษัทเพื่อยืมใช้ห้องสุขาอาบน้ำอาบท่าให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง
“จะนอนเหรอครับ?”
“อือ...”
ม่วงตอบกลับด้วยความงัวเงีย เขาฝืนตัวเองมาตั้งแต่ก่อนจะมาถึงที่ย่านสีเทาแห่งนี้แล้ว ต่อให้จะนอนเที่ยงคืนซึ่งเป็นเวลาปกติแต่ทว่าเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังเขาต้องยืดเวลางานออกโดยไม่ทันได้ตระเตรียมความพร้อม ระหว่างอยู่ที่นั่นเขานึกว่าตัวเองจะล้มพับไประหว่างเดินไปนู่นมานี่เสียแล้ว
เส้นทางรถแม้จะขรุขระหรือมีบางจังหวะที่รถกระชากทว่าคนตัวเล็กที่นอนขดซุกร่างไปกับเบาะหลังกลับยังคงนอนหลับได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ
เจ้ายอดพลขับเมื่อต้องชะลอรถจึงเหลือบมองหัวหน้าหนูจี๊ดด้วยความเป็นห่วง โดยส่วนตัวแล้วเขานับถือพี่ม่วงในฐานะหัวหน้ามากกว่าจะเป็นในเชิงชู้สาว เพราะเขามีเมียเป็นตัวเป็นตนทั้งยังจะมีลูกน้อยลืมตาออกมาดูโลกเร็ว ๆ นี้ แต่ก็อีกนั่นแล เพราะมีเมียแล้วจึงรู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไรกับสุคนธ์จึงจะเหมาะสม มันจึงอดกังวลแทนไม่ได้ เพียงแต่จินตนาการว่าเมียตัวเองโดนต่อยที่หน้าเข้าอย่างจังก็ฉุนขาดแล้ว
ม่วงในชุดเสื้อผ้าจากเมื่อวานนอนขดกอดตัวเองแน่นเนื่องจากอุณหภูมิในรถที่ต่ำลง กายบางกระตุกเล็กน้อยเมื่อล้อรถต้องขับผ่านเนินชะลอความเร็วก่อนที่เขาจะลืมตาตื่นขึ้นมาหลังหลับไปราว ๕๐ นาที
แววตากลมใสหรี่มองบรรยากาศภายนอกตัวรถขณะปรับระยะสายตา รอบข้างอุดมไปด้วยความเงียบสงัด รถราที่เคยพลุกพล่านในยามกลางวันกลับเบาบางลง เหลือเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังอยู่ไกล ๆ และเสียงยางบดกับพื้นถนนที่สะท้อนก้องไปในความเงียบ อาคารสำนักงานตั้งอยู่ที่ปลายสายตา อีกไม่ถึง ๕ นาทีคาดว่าจะถึงจุดหมาย ม่วงจึงจัดแจงเสื้อผ้าให้กลับมาใกล้เคียงเดิม หยัดตัวลุกขึ้นนั่งเหยียดแข้งเหยียดขาลูบหน้าลูบตาปลุกสติตัวเองแม้ยังง่วงงุนไม่หายก็ตามที
เมื่อมาถึงเขตบริษัท แสงไฟจากอาคารสำนักงานยังคงสว่างไสวในบางจุด บ่งบอกถึงกิจกรรมบางอย่างที่ยังดำเนินอยู่แม้ในยามวิกาลของเหล่าแม่บ้านนักการภารโรงที่มาทำงานแต่เช้าตรู่ก่อนพนักงานทั่วไป
“ฉันจะไปอาบน้ำ เอ็งไปซื้อข้าวกับขนมมาให้ที ป่านนี้ในตลาดน่าจะเริ่มเปิดกันแล้ว”
“ครับ”
ม่วงออกคำสั่งอย่างไม่ติดขัดทว่าเสียงยังคงปนความสะลึมสะลือ ก่อนจะรีบลงจากรถเอาเสื้อผ้าตัวใหม่ที่สำรองติดรถไว้ออกมาก่อนจะทิ้งรถกับกุญแจไว้ให้ไอ้ยอดมันขับไปซื้อมื้อเช้า
ม่วงเดินเข้าอาคาร เมื่อถึงห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดจึงสูดลมหายใจเข้าก่อนจะพรูออกเฮือกใหญ่ เรียกเรี่ยวแรงที่หลงเหลืออยู่มาเร่งมือถอดเสื้อถอดผ้าออกก่อนจะพับมันกองไว้บนพื้นส่วนที่แห้ง
น้ำจากขันถูกตักขึ้นอย่างระมัดระวังก่อนจะเทไหลลงบนตัวเพื่อชำระร่างกาย ละอองน้ำกระจายตัวออกมาในอากาศเป็นประกายชวนให้รู้สึกถึงความสดชื่นจากน้ำเย็นที่สัมผัสผิวหนัง ปลุกร่างกายให้ตื่นจากความเหนื่อยล้าได้อย่างทันท่วงที แสงไฟในห้องน้ำสาดส่องให้เห็นหยดน้ำน้อยซึ่งร่วงหล่นจากลำคอระหงผ่านร่องไหปลาร้านูน ก่อนจะถูกหลอมรวมไปกับฟองสบู่ที่เจ้าของร่างถูไปตามสัดส่วน
แสงไฟอ่อน ๆ จากโคมบนฝ้าเพดานทำให้บรรยากาศดูอบอุ่น การเคลื่อนไหวของน้ำที่ตกกระทบตัวและเสียงน้ำที่ไหลรินกลายเป็นเพลงขับกล่อมชวนผ่อนคลายแม้ยังมีความรู้สึกปวดระบมบริเวณใบหน้าก็ตามที
ม่วงตักน้ำราดตัวเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อชำระสิ่งสกปรกและคราบฟองสบู่ออกก่อนจะก้าวเท้าเดินไปคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กที่แขวนไว้มาซับเช็ดหน้าอย่างแผ่วเบา แล้วจึงขยับรูดไปตามแขนขาจนสะอาดหมดจด
“อึก! เฮ้อ...”
เลขานุการถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เพราะแผลที่ได้รับมามันออกฤทธิ์อีกครั้งในระหว่างที่เขากำลังสวมเสื้อ ทว่าไว้เดี๋ยวจัดการกับมันหลังกินข้าวและออกไปรับลูกของคุณเปลวก็แล้วกัน
ม่วงรีบเร่งสวมเสื้อผ้าด้วยความกระฉับกระเฉง จัดแต่งผมให้เรียบร้อยขึ้นมาเล็กน้อยจนพอดูได้ก่อนสวมรองเท้าและเตรียมตัวออกไปจากห้องสุขา เมื่อถึงหน้าประตูคุณเลขาตัวเล็กจึงเขย่งปลายเท้าส่งมือขึ้นไปสับไฟลง หลังสอดส่องสายตาตรวจทานความเรียบร้อยเสร็จสรรพจึงได้เวลาเดินออกไปหาไอ้ยอดที่คงจะกลับมาถึงสักพักแล้ว
“ได้อะไรมาล่ะ?”
“กะเพราไก่ไข่ดาวครับ”
“แล้วเอ็งล่ะ?”
“ผมจะกลับไปกินกับครอบครัวทีเดียวน่ะครับ”
“อือ...เดี๋ยวหลังจากไปส่งฉันที่โรงพยาบาลเสร็จก็กลับไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันขอวันหยุดให้”
“ขอบคุณมากเลยครับ!”
ม่วงพยักหน้าพลอยยิ้มตามเจ้าลูกน้องที่ดีใจออกหน้าออกตา ไอ้ยอดมันเองก็ใกล้จะได้เป็นพ่อคน คงอยากได้เวลากลับไปดูแลลูกเมียที่บ้านมากกว่ามาทำงานดึก ๆ ดื่น ๆ อยู่แบบนี้ สงสัยเขาคงต้องหาไอ้พวกที่โสดขึ้นมาทำงานจำพวกนี้เสียแล้ว คนที่มีครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้าบ่อย ๆ
ม่วงคิดเรื่องงานบริหารไปก็ค่อย ๆ ตักเนื้อข้าวคลุกกะเพราขึ้นมากินระหว่างไอ้ยอดกำลังหมุนพวงมาลัยรถออกตัวด้วยแววตาเปี่ยมสุข แสงอ่อน ๆ จากพระอาทิตย์แม้โผล่พ้นขอบฟ้าไม่เท่าไรกลับสาดส่องผ่านกระจกหน้าต่าง สร้างบรรยากาศอันอบอุ่นให้เขาที่ผ่านราตรีอันหนักหน่วงมา
ทว่านั่งไม่เท่าไรความง่วงงุนก็เริ่มเข้าเล่นงานอีกครั้ง กระพุ้งแก้มที่ขยับหยุกหยิกเริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แม้รสสัมผัสของเม็ดข้าวเริ่มหลอมละลายกลายเป็นความหวานทว่าเจ้าของร่างก็พยายามตั้งอกตั้งใจกินเข้าไปเพราะรู้ดีว่าตัวเองต่อจากนี้คงหาเวลามานั่งทานอาหารดี ๆ แบบนี้ไม่ได้อีก
“ลูกคลอดปีหน้าใช่ไหม?”
“ครับ เดือนมีนาครับ”
“อย่าลืมทำเรื่องล่ะ เดี๋ยวอดไปดูแลเมีย”
“ครับ!”
เรื่องของลูกน้องทำเอาเขานึกถึงตัวเองในอดีตเลยเชียว ไม่แน่ว่าหากเขาเป็นสุคนธ์ที่โชคดีได้รับอุปการะไปอยู่ในครอบครัวอันอุดมสมบูรณ์ ป่านนี้เขาคงกำลังตั้งท้องหนึ่งไม่ก็ท้องสองโดยมีคนรักคอยเคียงข้างอยู่กระมัง...
ม่วงรู้ตัวว่าเผลอคิดไปไกลอีกแล้ว ทว่าเมื่อมันมาบ่อยเข้าคงจะแสดงว่าช่วงนี้เขาโหมงานหนักเกินไปจนหัวสมองพยายามสร้างภาพในจินตนาการขึ้นมาปลอบใจตัวเอง มันชวนให้ขบขันอยู่เช่นกันเพราะเขาถึงกับขนาดคิดภาพตัวเองมีลูกเพื่อหนีงานเลยเชียว
“ให้ผมลงไปรับเด็ก ๆ แทนไหมครับ หัวหน้าจะได้นอน”
“อือ ฝึกไว้ อย่าทำเด็กกลัวซะล่ะ”
“โถ่ หัวหน้าครับ”
ม่วงอมยิ้มแซวลูกน้องพลางส่งห่อใบตองฝากให้ไอ้ยอดมันไปทิ้งก่อนจะมานั่งเท้าคางเอนพิงกระจกเพื่อหลับพักสายตาต่ออีกสักหน่อย
ลูกน้องของเขาทุกคนแม้บางรายมีลูกกันแล้วทว่าทั้งหมดอายุน้อยกว่าเขาทั้งสิ้น มันจึงไม่แปลกที่ต่อให้เขาจะตัวเล็กหรือหน้าตาเป็นเด็กอย่างไรก็ยังได้รับความเคารพทั้งด้วยตำแหน่งและวัยวุฒิ
แน่นอนว่าแก่จวนจะขึ้นเลขสามแบบนี้มีหรือที่เขาไม่รู้ว่ามีไอ้ลูกน้องบางจำพวกที่หวังจะได้ตัวเขาแม้มีเพศเป็นรดาก็ตาม ซึ่งพวกที่เกินหน้าเกินตาเขาไล่ออกไปทำงานส่วนอื่นหมดแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่คัดคนขึ้นมาทุกปีหรอก และอีกประเดี๋ยวคงต้องมีการคัดออกอีกครั้ง เพราะได้ยินมาจากไอ้เฉลิมว่ามีพวกที่เอาตัวเขาไปพูดเสีย ๆ หาย ๆ คุกคามในวงเหล้าว่าเขาเป็นเมียเก็บคุณธรรศบ้าง มีเรื่องราวลับลมคมในบ้าง แม้มันจะเป็นเพียงลมปากที่ส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้ให้ความสนใจ ทว่าในฐานะเลขานุการที่ต้องออกไปคุยงานแทนเจ้านายอยู่บ่อยครั้ง ภาพลักษณ์ชื่อเสียงจึงเป็นสิ่งสำคัญ
และนั่นจึงเป็นเหตุที่เขาเลือกไอ้เฉลิมขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วย เพราะต่อให้จะเข้าใจยากหรือพูดจาห้วนสั้นไปสักหน่อย แต่มันก็สงบเสงี่ยม รู้กาลเทศะวางตัวได้อย่างเหมาะสม และทำงานออกมาได้เป็นอย่างดี ทั้งมักจะเอาเรื่องที่อยู่นอกเหนือสายตาเขามาเล่าให้ฟังจนมีหลายครั้งที่เขาสามารถจัดการอะไรต่อมิอะไรได้ก่อนที่ปัญหาจะเกิดเสียอีก
พอคิดมาถึงจุดนี้ เขาเองก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาล่วงหน้ายามต้องคิดว่าสักวันจะต้องเสียลูกน้องคนนี้ไปหากเจ้าตัวเกิดไปมีครอบครัว เพราะต่อให้จะทำงานน่าประทับใจขนาดไหน แต่เขาไม่อยากให้พ่อคนต้องอยู่ห่างจากบ้านจากเรือนอาศัยหรอก
*กึก กึก แกร๊ก!* ประตูรถเปิดออกเรียกสติให้เลขานุการตัวเล็กกลับมาอยู่กับปัจจุบัน โดยคนที่เดินเตาะแตะขึ้นรถมานั้นคือสองแฝดวัวน้อย ลูกของคุณเปลว ว่าที่หนึ่งในนายหญิงของเหมบำรุง ม่วงจึงจัดแจงตระเตรียมที่นั่งให้เป็นอย่างดี
“คะ...คะ...คุณลุงตัวใหญ่บอกว่าแม่เปลวอยู่ที่โรงพยาบาลเหรอจ๊ะ?”
“ใช่ แต่แม่เขาไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวลุงจะพาไปเยี่ยมแม่นะ”
ม่วงเห็นคุณหนูเปี่ยมกล่าวคำเสียงสะอื้นจึงเอ่ยอธิบายให้เด็กน้อยได้เบาใจลง พลางหันมาพูดคุยตอบคำถามกับคุณหนูปิ่นซึ่งพยายามกอดปลอบน้องชายเช่นกัน ช่างเป็นภาพที่น่ารักน่าชังเสียจริง
ด้วยว่านอกจากมื้อเช้าตัวเองแล้ว เขายังฝากให้ไอ้ยอดซื้อขนมมาฝากเด็ก ๆ ด้วยอีกสิ่งหนึ่ง แม้มันจะไม่ใช่คำสั่งของคุณธรรศ ทว่าเขาเองก็เอ็นดูเด็กพวกนี้ไม่ต่างกัน ทำเอาอยากมีเจ้าตัวเล็กเป็นของตัวเองเลยเชียว
เขี้ยว × บุษบาแสงไฟสีส้มจากเสาไฟริมถนนที่ติดเพียงต้นเดียวส่องให้เห็นเงาคนสองคนที่กำลังเดินคล้ายเซถลาอยู่ใต้ท้องฟ้ายามหัวค่ำ คนหนึ่งเดินข้างหน้าอย่างมั่นคง ส่วนอีกคนที่ถูกพยุงเอาไว้เอนตัวไปมาเหมือนตุ๊กตาที่เสียการทรงตัวส่งกลิ่นเหม็นสุราคละคลุ้งยอดที่พยุงร่างไอ้เขี้ยวซึ่งซัดน้ำเมาเข้าไปจนหมดขวด พยายามประคองน้ำหนักควายเผือกของไอ้เหยี่ยวตัวยักษ์เอาไว้แทบจะขาดใจ แม้จะพยายามดันให้เดินตรง ๆ แต่ก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อผู้ถูกพยุงเริ่มเซไปทางซ้ายทีขวาที เสียงรองเท้ากระทบพื้นดินแห้งเป็นจังหวะ ช่างเป็นเหตุการณ์อันน่าอเนจอนาถใจเสียจริงที่เขาต้องมารับผิดชอบมันเพราะบ้านอยู่ละแวกเดียวกันเนี่ย!“ไอ้เขี้ยว มึงทำตัวเบา ๆ ได้ไหมวะ! ไอ้สัตว์เอ๊ย ง่วงก็ง่วง กูยังต้องมาแบกมึงอีกเนี่ย”“อือ...เออ ไม่เห็นจะสวย...ตรงไหน...”“สวยที่หน้ามึงสิ เฮ้อ...แล้วเมื่อไรจะถึงร้านดอกไม้สักทีวะ”ยอดที่มีสติจากสุราร้องโอดโอยลากพาไอ้ขี้เรื้อนเดินไปตามทางด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากงานเลี้ยงจากพิธีแต่งงาน
นับตั้งแต่ลูกคนโตเริ่มศึกษาหลักสูตรเฉพาะ และลูกคนรองทั้งสามเข้าชั้นประถม ระยะเวลา ๖ ปีจึงผ่านไปไวเหมือนโกหก เพียงแค่พวกเขาตื่นมาเพื่อไปส่งลูกเข้าเรียนและทำงาน รู้ตัวอีกทีเด็ก ๆ ก็โตพอจะเข้าชั้นม.ต้นกันแล้วงานประชุมผู้ปกครองระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เริ่มต้นด้วยสามี หุ้นส่วนภัตตาคารส่งสายตาเว้าวอนมองตัวเขาเดินลงจากรถ เนื่องจากเจ้าตัวต้องไปเข้าร่วมการเปิดตัวสาขาใหม่ของหอรสพลอย พ่อหมีจึงไม่สามารถมาเข้าร่วมได้ในตอนเช้า ได้เพียงสัญญาว่าจะรีบบึ่งรถกลับมาทันทีเมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นม่วงเดินลงจากรถ โบกมือลาสามีหมีเด็กที่ยังอาลัยอาวรณ์ไม่เลิก จนเขาต้องตัดสินใจเดินหันหลัง ล้อจึงจะเริ่มหมุน แม่หนูในชุดเสื้อผ้ามิดชิดเพิ่มความอบอุ่นในฤดูหนาว ค่อย ๆ เดินตามทางถนนอันคุ้นเคยเพียงคนเดียว นับเป็นโชคดีของตัวเขาและคนอื่น ๆ ที่มีเพศรองสุคนธ์ ซึ่งได้รับการยอมรับมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เกิดการรณรงค์มากมายขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากกลุ่มคนของเขาด้วยก็ดี หรือผู้ที่ต้องการสนับสนุนด้วยก็ดี ทำให้มีผู้สวมปลอกคอสามารถออกมาทำงาน มาใช้ชีวิตได้ไม่ต่างจากเพศอื่น ๆ ซึ่งรวมไปถึงลูกชาย
ในเช้าของวันอันเป็นมงคลกลางเดือนมิถุนายน ในยามที่แสงของพระอาทิตย์ลอยขึ้นพ้นขอบฟ้าสาดแสงสีทองลงบนผิวน้ำคลองที่ไหวระริกไปตามแรงลม กลิ่นหอมของดอกไม้สดอบอวลในอากาศจากสายลมที่พาดพามาตามกระแสแม่น้ำอันกว้างขวาง โดยที่ความสงบเงียบค่อย ๆ ถูกแต่งแต้มด้วยเสียงพายเรือและเสียงกระดิ่งลมซึ่งถูกแขวนไว้ยังท่าน้ำโต๊ะไม้ตัวยาวถูกปูด้วยผ้าขาวสะอาดวางเรียงอยู่ใต้ร่มเงาของต้นลั่นทมซึ่งกำลังผลิดอก พร้อมด้วยโถข้าวสวยร้อน ๆ และอาหารที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวและคณนาญาติคนสนิทด้วยกันเตรียมตั้งแต่เช้ามืด ทั้งแกงส้ม น้ำพริก และขนมต้มหวานล้วนถูกจัดใส่ถ้วยน้อยอย่างประณีตบรรจง เสียงพูดคุยเบา ๆ ของแขกที่มาร่วมงานขับกล่อมให้บรรยากาศดูเป็นกันเองอย่างที่ตัวเอกของงานทั้งสองในชุดคู่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ไม่ไกลจากท่าน้ำนั้น เสียงพายกระทบผิวน้ำดังเป็นจังหวะโดยมีพระสงฆ์และบุรุษลูกวัดโดยสารมา เมื่อเรือหยุดเทียบท่าแม่หนูจึงกวักมือเรียกลูก ๆ วัยเจ็ดขวบให้เข้ามานั่งข้าง ๆ แล้วให้เด็กน้อยช่วยพ่อแม่อธิษฐานใส่บาตรไปพร้อมกันแล้วถึงประนมมือไหว้รับศีลรับพรหลังจากพระสงฆ์ขึ้นจากเรือ พิธีทำบุญเริ่มต้นขึ้นอย่าง
“เด็ก ๆ อย่าลืมโทรศัพท์บอกตอนจะกลับล่ะ”“จ้ะ!”พ่อหมีกล่าวบอกเหล่าเด็ก ๆ ในขณะที่เดินกลับมาขึ้นรถ เนื่องจากภายหลังที่หนูกวินมาเที่ยวบ้านเราไปแล้วรอบหนึ่งเมื่อปิดเทอมรอบก่อน คราวนี้เด็ก ๆ ทั้งสี่จึงตกลงขอไปเล่นที่บ้านเพื่อนหมาป่าบ้าง ซึ่งคงไม่น่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นเพราะบ้านนั้นมียามรักษาความปลอดภัย แถมคุณเกื้อก็อยู่เฝ้าบ้านตลอด ดังนั้นทั้งเขาและพี่จึงสบายใจได้และวนรถมาทานมื้อเที่ยงนอกสถานที่กันสองต่อสองหลังไม่ได้ทำมานาน ก่อนจะวนกลับเข้าบ้านมาทำธุระพี่หนูขอตัวขึ้นไปอ่านจดหมาย ลงตารางนัดลูกค้าให้เจ้านายตามปกติส่วนเขาก็มาเตรียมมื้อเย็นแล้วก็ขนมของฝาก เนื่องจากในตอนเย็นคุณเกื้อจะเป็นคนอาสาพาเด็ก ๆ มาส่งที่บ้าน ซึ่งเป็นปกติของสองครอบครัว เนื่องจากบางครั้งที่คุณเกื้อไม่ว่างก็มักจะไหว้วานพี่ม่วงไปรับกวินมานั่งรอที่บ้านนี้อยู่บ่อย ๆ เด็ก ๆ จึงสนิทกันไปโดยปริยาย แม้ตัวเขาจะไม่ค่อยอยากให้มีพิโดรเข้ามาเกาะแกะลูกชายสุคนธ์หัวแก้วหัวแหวนของตนเท่าไรนักก็ตามภายในครัวเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเครื่องเทศและสมุนไพร พ่อบ้านหมีใหญ่กำลังขะมักเขม้นกับหม้อต
“ก็! แม่ฉันอยากเข้าโรงเรียน...อึก...ฮือ!! พ่อจ๋า”ลิตเด็กชายตัวจิ๋วบนตักมารดาในรถร้องไห้งอแงที่ตนไม่สามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาเดียวกันกับแฝดน้องได้เพราะมีเพศรองที่สังคมจำกัดเอาไว้ พอบอกแม่ไม่ได้ก็หันมาร้องไห้อ้อนวอนคนเป็นพ่อให้จัดการอะไรสักอย่าง แต่เด็กน้อยอ่อนต่อโลกยังไม่รู้ว่าอำนาจทั้งหมดในบ้านล้วนตกเป็นของแม่หนูแต่เพียงผู้เดียว“เราต้องเรียนที่บ้านเข้าใจไหม วันดีคืนดีมีฤดูขึ้นมาตอนอยู่ข้างนอกเดี๋ยวจะอันตราย”“แม่เขาพูดถูก พ่อแม่เองก็จ้างครูมาสอนเราเหมือนน้อง ๆ แล้ว”“ฮึก...หึ!”พอไม่มีใครเข้าข้างเจ้าจิ๋วหนูจี๊ดก็กอดอกฮึดฮัดไม่พอใจซุกเข้ากอดมารดาที่ตนดื้อใส่อย่างหัวเสียจนตัวขดเป็นก้อนกลม ที่เขาอยากไปโรงเรียนมันไม่ใช่เพราะอยากเรียนเนื้อหาเดียวกับคนอื่นที่ไม่ใช่สุคนธ์ แต่เพราะเขาอยากมีเพื่อน มีเรื่องกลับมาพูดคุยกับพี่น้องบ้างเท่านั้นเอง เพราะตั้งแต่เจ้าสามคนนั้นเปิดเทอมมาได้แค่ไม่กี่สัปดาห์ก็พากันเอาเรื่องเล่ามาบอกจนเขาเริ่มจะกลายเป็นคนนอกขึ้นมาทีละนิด!ม่วงมองลูกน้อยบนตักก็ละเหี่ยใจ แม้ใจจริงม่วงต้องการให้เด็ก ๆ ได้รับทุกสิ่งอ
เสียงเครื่องยนต์ดับลงพร้อมกับแสงไฟหน้ารถที่มืดสนิท ก่อนที่สองสามีภรรยาจะเดินลงมาจากรถโดยที่คนตัวเล็กเดินมุ่งหน้าตรงไปไขประตูบ้านในขณะที่ปล่อยเจ้าหมีเด็กตรวจสอบสภาพรถในวันศุกร์สุดสัปดาห์ม่วงเดินก้าวมาในตัวบ้าน กลิ่นหอมในแจกันที่เฉลิมเป็นคนตัดจากสวนมาประดับโต๊ะอาหารยังคงต้อนรับการกลับมาได้เป็นอย่างดีแม้จะผ่านมาตั้งวันแล้วก็ตาม ภรรยาหนูจี๊ดถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปวางกระเป๋ายังหน้าบันไดก่อนจะหันหลังมาเห็นสามียืนเป็นหุ่นอยู่ตรงหน้าอย่างพอเหมาะพอเจาะ สองแขนกว้างกางออกก่อนจะเข้าสวมกอดซุกไซ้คลอเคลียตัวเขาราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นตัวเล็กมากมายนักนับตั้งแต่พวกเขามีครั้งแรกด้วยกันไปในตอนที่เขากลับมามีฤดูนี่ก็ครบรอบหนึ่งเดือนพอดี ทว่าต่อให้จะเป็นเช่นนั้น ข้างในลึก ๆ ตัวเขายังคงหวั่นใจว่าการดำเนินความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้นี่จะไปยืดกันจริงอย่างนั้นหรือ เนื่องจากพวกเขามีอายุต่างกัน และเฉลิมเองพึ่งจะยี่สิบต้น ๆ ซึ่งการตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันควรมีประสบการณ์มากกว่านี้ในความคิดของเขา และหากตัวเขาไปกันไม่ได้ ก็อยากจะล้มเลิกเสียแต่เริ่มต่างฝ่ายจะได้ไม่เสียเวลา และคนเด็กจะไปทำตามคว