นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น
“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆ
ถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตา
อยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลม
ทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะ
เวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด
“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “เธอโดดเด่นมากจนฉันแปลกใจ”
“เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องที่ฉันไม่เคยรู้จักเธอมาก่อนนะสิ” เขาคลี่ยิ้ม แววตายั่วเย้า “ไปอยู่ที่ไหนมา...คุณผู้หญิง”
อัยน์นายิ้มแววตาสดใสอ่อนโยนเช่นเคย
“ในที่ของดิฉัน...ปกติดิฉันไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่หรอกค่ะ” เธอตอบตามตรง ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนเพราะฝ่ามือร้อนๆ แววตาล่อลวงใจ กับความพยายามในการกระซิบกระซาบหลังใบหูเธอเลยสักนิด
เธอไม่มีเหตุผลที่จะต้องหว่านเสน่ห์ใส่ชายคนนี้ ถ้าจะถามว่าทำไม เธอก็ตอบไม่ได้...รู้แต่ว่าไม่อยากทำ
ไม่นึกว่าท่าทีที่เธอแสดงออกจะยิ่งขับให้แววตาชายคนนี้ฉายแววเหมือนเสือหิว
เขาปล่อยมือข้างหนึ่งจากเธอ ผลักให้เธอดีดตัวออกห่าง แล้วกระตุกมืออีกข้างที่ยังเกาะกุมดึงเธอเข้าหา ก่อนที่อัยน์นาจะตกสู่อ้อมแขน เขาเบี่ยงตัวหลบแล้วคล้องมือข้างที่ว่างอยู่โอบรอบเอวคอดกิ่วหลวมๆ รับร่างเธอไว้ได้อย่างสวยงามและไม่น่าเกลียด
“ผู้หญิงน่าสนใจ”
เธอแสร้งหัวเราะด้วยท่าทีบริสุทธิ์ไร้เดียงสา “คุณพูดเหมือนมาธาไม่มีผิด”
“ใครกัน”
“ต้นห้องดิฉันเองค่ะ”
เพราะอีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยเธอจากอ้อมแขน อัยน์นาจึงฉวยโอกาสนี้ตัดบท ผละจากเขา “พูดถึงมาธาก็นึกได้ ตอนนี้คุณพ่อดิฉันไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”
ชายแปลกหน้าหัวเราะทันที มันเป็นเสียงหัวเราะกับสีหน้าที่คล้ายๆ จะบอกว่า ‘เชื่อเขาเลย...แม่คุณ’
“เราหยุดเต้นกันเท่านี้ก่อนก็ได้ ถ้าเธอต้องการ” เขาประคองให้เธอกลับยืนตัวตรงก่อนถอยออกห่างรักษาระยะ แต่ยังไม่วายคว้ามือขึ้นจุมพิตหลังมือนุ่มเนียนทิ้งท้าย “ฉันจะปล่อยให้เธอไปหาพ่อ แต่ก่อนอื่นเธอต้องบอกฉันเสียก่อน ว่าพ่อเธอเป็นใคร...ฉันจะได้ตามไปขออภัยที่ดึงตัวลูกสาวท่านไว้เสียนาน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันว่าท่านคงทราบแล้วว่าดิฉันเต้นรำอยู่ตรงนี้ ก็คุณเล่นเต้นรำเก่งจนพวกเราโดดเด่นตั้งขนาดนั้นนี่คะ” เธอแสร้งตอบหน้าซื่อ ทั้งที่พอเดาเจตนาเขาได้
ลองผู้ชายชั้นสูงเข้าหาบิดาสุภาพสตรีเพราะเจ้าหล่อน ก็มีเหตุผลเพียงไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นคือเรื่องสานสัมพันธ์เพื่อนำไปสู่การทาบทามสู่ขอ...ซึ่งเธอไม่ปรารถนาอย่างที่สุด
หากเป็นชายยศถาบรรดาศักดิ์ไม่สูงนัก หรืออย่างน้อยหากยศศักดิ์เท่าเทียมบิดาเธอ ถ้าเธอไม่ตกลงปลงใจ บิดาก็ยังตอบปฏิเสธได้ไม่ยาก แต่หากเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักร ถ้าอีกฝ่ายต้องการจริงๆ ต่อให้ดิ้นรนแค่ไหน สุดท้ายก็คงมีแต่ต้องคล้อยตามเท่านั้น
อัยน์นาเชื่อว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับเจ้าชายหรือกษัตริย์เพื่อที่จะกลายเป็นเจ้าหญิงหรือราชินี เธอมีความภาคภูมิใจในตัวเองมากพอ และหยิ่งทะนงเกินกว่าจะยอมปล่อยให้ผู้มีอำนาจมาบงการชีวิต
เธอเป็นเหมือนเจ้าหญิงในหมู่เจ้าหญิงได้ เป็นราชินีได้ ด้วยตัวเธอเอง
“อา...นั่นสิ” คู่เต้นแสนเก่งกาจจ้องมองแววตาอัยน์นา นิ่ง นาน แล้วคลี่ยิ้มด้วยสายตาที่ต่างออกไปจากเดิม
มันไม่ได้หวานฉ่ำหรือเปล่งประกายวาบวับ แต่ดูเป็นมิตรมากขึ้นในความรู้สึกเธอ
“เธอไปเถอะ” เขาบอกสั้นๆ แล้วปล่อยให้อัยน์นาจากไปอย่างปากว่า
เมื่อเธอแยกออกมา ชายคนเดิมก็โค้งคำนับทุกคนที่ยังคงเฝ้ามองอยู่เหมือนรอดูว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดต่อไป ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์เช่นเคย...
“พวกเราเคร่งเครียดเพราะเรื่องน่ากลัวแถบชายแดนมานาน งานเลี้ยงเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ขอเชิญทุกท่านสังสรรค์ เต้นรำ ผ่อนคลายกันให้เต็มที่”
เมื่อนักเต้นหนุ่มกล่าวจบ บรรดาชายชั้นสูงในงานต่างโค้งคำนับ ในขณะที่สตรีทั้งหลายย่อตัวลงทำความเคารพ พร้อมเอ่ยคำหนึ่งโดยพร้อมเพรียง
“เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
ในที่สุดอัยน์นาก็รู้ตัว ว่าเพิ่งเต้นรำกับเจ้าชายอาณาจักรนี้ แย่งชิงความโดดเด่นจากสตรีทุกคนในงาน
มิน่าล่ะ...ทุกคนถึงได้หยุดมองกันขนาดนั้น
เธอไม่ได้เสียดายที่แยกจากมา เพียงแต่อดสงสัยไม่ได้ ว่าเพราะอะไร เจ้าชายผู้นี้ถึงยอมเปลี่ยนใจ ปล่อยเธอจากอุ้งมือง่ายๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ทำท่าทีเหมือนเสือหนุ่มอยากตะครุบเลียงผา
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”