กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อย
งานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าว
มันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้ม
ผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’
“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ” แอนนาเบลเอ่ย น้ำเสียงมั่นใจ
“ไปเป็นกลุ่มก็ไม่เด่นอยู่ดี” พริสซิลล่าแย้งเสียงเรียบ
ถึงพริสซิลล่าจะเพิ่งขัดคอแอนนาเบล แต่ดูจากสีหน้าแล้ว อัยน์นาก็พอเดาออกว่าพี่สาวต่างมารดานางนี้ก็ตื่นเต้นไม่น้อย
“ถ้าอย่างนั้น พวกลูกก็เข้าไปทีหลัง แม่กับคุณพ่อจะเข้าไปก่อน อัยน์นา...เธอมากับพวกเราก็แล้วกัน”
“ค่ะ” อัยน์นาตอบอย่างว่าง่าย
แต่ก่อนจะเดินตามท่านผู้หญิงกับบิดาเข้างาน คุณหนูผู้คลุมผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่มาตลอด ก็ปลดผ้าคลุมผืนนั้นส่งให้มหาดเล็กผู้มาต้อนรับ “ผ้าผืนนี้ทั้งใหญ่ทั้งหนัก ดิฉันซุ่มซ่าม อาจทำชายผ้าเกาะ เกี่ยว หรือกวาดข้าวของเสียหาย ถ้าไม่รบกวนเกินไป ขอฝากไว้ที่นี่ได้ไหมคะ”
ไม่มีใครใส่ใจฟังประโยคยาวเหยียดนั้น
ทุกคนต่างเผลอมองความงดงามสะดุดตาตรงหน้าชนิดลืมหายใจ
วันนี้อัยย์นาสวมชุดราตรีสีขาวปักดิ้นทองเป็นลายเส้นวิจิตรบรรจง ลายปักเหล่านี้เรียงตัวแน่นขนัดตลอดชุด เว้นว่างไว้ก็แต่จีบกระโปรงด้านหน้าที่ใช้ลูกไม้สีขาวบริสุทธิ์จับจีบซ้อนผ้าสีขาวอีกชั้น ส่วนบนตั้งแต่หัวไหล่ยันเอวตัดเย็บเข้ารูปขับเน้นทรวดทรง ตัวกระโปรงพองอย่างเป็นธรรมชาติ...พอเดาได้ว่าภายในน่าจะจับจีบผ้าที่จับรูปจับทรงได้ซ้อนเป็นชั้นๆ เย็บแทรกไว้ระหว่างกระโปรงชั้นนอกสุดกับผ้าซับใน ดูเข้ากันกับรองเท้าส้นสูงสีทอง
ชุดราตรีที่มองปราดเดียวก็รู้ ว่าผู้ตัดเย็บและผู้ทอผ้าต้องใช้เวลา ฝีมือ และความวิริยะอุตสาหะอย่างมากในการรังสรรค์ผลงานชิ้นนี้ ช่วยให้ผิวขาวจัดบนเรือนร่างอ้อนแอ้นยิ่งเปล่งรัศมีโดดเด่นจนไม่อาจละสายตา
ตอนคลุมผ้าสีเข้มผืนนั้นปิดลายปักทองเธอดูงดงามเหมือนเจ้าหญิงในหมู่เจ้าหญิง แต่ตอนนี้...เธอเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าราชินีเยาว์วัยในบทขับลำนำปรัมปราทุกเรื่อง
“ไปกันเถอะค่ะ” อัยน์นาบอกเสียงกังวานหวาน
เสียงนั่น ช่วยเรียกสติท่านผู้หญิงและทุกคนในบริเวณนั้น
“หล่อน...” ท่านผู้หญิงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นางเหลียวมองลูกสาวทั้งสอง ก่อนดึงสายตากลับมามองธิดานอกสมรสสามีด้วยแววตาวาวโรนจ์เหมือนโกรธจัด
วันนี้พริสซิลล่าสวมชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มขับผิว ส่วนแอนนาเบลสวมชุดกำมะหยี่สีเขียว ทั้งคู่ดูหรูหราโดดเด่น แต่เมื่อเทียบกับอัยน์นาแล้ว ใช้แค่คำว่า ‘ห่างชั้น’ ก็อาจฟังดูไพเราะไป
“ให้อัยน์นาเดินลงไปก่อนเถอะค่ะ...เดินเข้าไปคนเดียว จะได้โดดเด่นไงคะ” ไม่น่าเชื่อว่าประโยคนี้จะหลุดออกมาจากปากพริสซิลล่า “วันนี้เป็นวันแรกที่อัยน์นาเข้าวัง ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนเราพาน้องมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ” ท่านหญิงคนโตยังกล่าวต่อไป “สาวน้อยแรกแย้มจะเปิดตัวทั้งที ก็ต้องเอาให้เด่นสักหน่อย จริงไหมคะ คุณพ่อ”
“ไปเถอะ” เจ้ากรมการเมืองบอกอัยน์นาสั้นๆ เป็นเชิงว่าเห็นด้วยกับลูกสาวคนโต
ท่านผู้หญิงตั้งท่าจะแย้ง แต่ก็เป็นอีกครั้งที่พริสซิลล่าขวางไว้
หล่อนคว้ามือมารดาแล้วบีบแน่น เหมือนจะบอกว่าอยากให้ปล่อยอัยน์นาทำตามที่ตนเสนอ คุณหนูคนใหม่จึงได้เดินลงจากบันได เข้างานไปเป็นคนแรกของกลุ่ม
ไม่มีเสียงประกาศ อาจจะด้วยคนประกาศมัวตะลึงมองจนลืมหรือไม่รู้จะประกาศว่าอย่างไรดีก็เป็นได้ ทั้งอย่างนั้น ใครต่อใครต่างก็เหลียวมองมา
อัยน์นาประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธออาจจะเคยอ่านตำราศึกษาเรื่องราวหลากหลายจากชั้นวางหนังสือในห้องทำงานบิดาจนกล้าพูดว่าไม่มีหนังสือเล่มใดที่เธอไม่เคยเปิดอ่าน ในบรรดาหนังสือจำนวนมากมีหลายเล่มเล่าขานถึงงานเลี้ยงหรูหราและสถาปัตยกรรมวิจิตรบรรจงในพระราชวังกลาง แต่การเรียนรู้ผ่านหนังสือ แตกต่างจากการได้พบประสบการณ์ตรงลิบลับ
เธอไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน หลังเดินลงจากบันไดแล้ว จึงได้แต่หยุดนิ่งรอบิดาและคนอื่นๆ
ไม่นึกว่าไม่กี่วินาทีถัดมา สุภาพบุรุษรูปงามผมสีทองส่องประกายในชุดสีขาวประดับดิ้นทอง ติดเครื่องประดับยศมากมาย จะก้าวเข้ามาโค้งคำนับ ขอเธอเต้นรำด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์
อัยน์นาไม่ชอบใจแววตากะล่อนบอกยี่ห้อเสือผู้หญิงในตาเขาเท่าไหร่นัก แต่มองจากเครื่องประดับยศและสายตาผู้คนในโถงกว้าง อัยน์นาก็พอเดาออกว่าชายผู้นี้ต้องเป็นเชื้อพระวงศ์หรือไม่ก็อาจจะเป็นมากกว่านั้น
เธอไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรืออยากเต้นรำกับชายชั้นสูงหรือผู้มีอำนาจวาสนา แต่มองว่าหากปฏิเสธก็อาจทำชายผู้นี้ขายหน้า สร้างความขุ่นข้องหมองใจให้ผู้มีอำนาจเสียเปล่าๆ เธอจึงย่อตัวลงทำความเคารพตามที่เรียนรู้มา จากนั้นก็ยื่นมือไปวางลงบนฝ่ามือเขาตอบรับคำเชิญนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนยากจะหาใครเหมือน
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”