LOGINเสียงเพลงที่ดังขึ้นบริเวณสวนหน้าบ้านทำให้ลีอาที่นั่งดูทีวีอยู่ลุกขึ้นและเดินออกมามองดูจากตรงระเบียงห้อง สายตามองดูผู้คนจำนวนหนึ่งทั้งหญิงและชายที่นั่งทานทานอาหารอยู่ตรงสนามหน้าบ้าน เด็กสาวไม่ได้สนใจอะไรมากก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้อง
เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นทำให้ลีอารีบลุกออกไปเปิดประตู สายตามองดูหญิงสาวตรงหน้าที่ยิ้มหวานให้
“พี่เอง เห็นอาพิมพ์บอกว่าน้องปวดท้องเหรอ ตอนเย็นก็เห็นทานข้าวไปนิดเดียว หิวไหม? ให้แม่บ้านทำอะไรให้ทานดีไหมจ๊ะ”
“เอ่อ..หนูไม่หิวค่ะ ขอบคุณพี่มิล่าที่เป็นห่วงนะคะ”
“ถ้าอยากทานอะไรก็บอกแม่บ้านได้นะ พี่ไปล่ะ”
“ค่ะ”
ฉันยิ้มตอบเธอ สายตามองตามร่างบางที่เดินออกไปจนลับตาก่อนจะปิดประตูลงและเดินกลับมาหย่อนตัวลงนั่งลงบนเตียง หลังจากเวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมงเสียงเพลงด้านล่างก็เงียบสนิทลง สักพักแม่ก็กลับเข้ามาในห้องนอน
ฉันนอนกระสับกระส่ายและตอนนี้ท้องก็เริ่มร้องเพราะความหิว เมื่อตอนเย็นฉันทานข้าวไปนิดเดียวเอง ใจหนึ่งก็สั่งให้เลิกคิดถึงอาหารและพยายามข่มตาให้หลับไปแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว สายตามองดูโทรศัพท์มือถือที่เวลาตอนนี้ก็เกือบๆ ห้าทุ่มแล้ว ดึกขนาดนี้ทุกคนก็คงน่าจะเข้านอนกันหมดแล้ว คืนนี้ฉันคงไม่ซวยเหมือนคืนก่อนอีกมั้ง พอคิดได้แบบนั้นฉันก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง สายตาเหลือบมองดูแม่เล็กน้อย ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง
เด็กสาวค่อยๆ เดินลงไปชั้นล่าง เวลานี้ไฟในบ้านตรงชั้นล่างก็ปิดสนิทเหลือเพียงแสงไฟนอกบ้านเท่านั้นที่ยังสว่างอยู่ เธอไม่ได้สนใจอะไรมากก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องครัว มือเล็กกดเปิดสวิตซ์ไฟก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นในครัว สายตามองดูผลไม้ นมและน้ำผลไม้และพวกอาหารสดต่างๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบจานผลไม้ออกมา
“ทำอะไรอยู่”
“ว๊าย!” ลีอาอุทานออกมาอย่างตกใจ ร่างบางสะดุ้งโหยงก่อนจะรีบหันไปมองทางต้นเสียง สายตามองดูชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามาในห้องครัว
“หึ ขวัญอ่อนจริงนะ” ชินพยายามกลั้นขำกับท่าทีลลุกลี้ลุกลนของเด็กสาวตรงหน้า
“หนูแค่มาหาอะไรกิน ขอตัวก่อนนะคะ” เธอรีบเก็บจานผลไม้ไปไว้ในตู้เย็นตามเดิมก่อนจะหยิบขวดนมขึ้นมาถือไว้แทน
‘..ทำไมฉันถึงซวยขนาดนี้นะ เจอใครไม่เจอดันมาเจอหมอนี่อีก..’
“เดี๋ยวสิ กินแค่นมจะอิ่มเหรอไง” เขาขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ เด็กสาวที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าตู้เย็น
“คะแค่นี้ก็พอแล้ว”
“เอาผลไม้ในจานไปกินสิ เมื่อกี้ฉันเห็นเธอหยิบมันออกมาไม่ใช่เหรอไง”
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดตู้เย็นก่อนจะหยิบจานผลไม้ออกมายื่นส่งให้เธอ ลีอามองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยื่นมือออกไปรับจานผลไม้ออกจากมือเขา กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ที่ลอยออกมาจากตัวเขาทำให้เธอถอยออกห่างจากตัวเขาทันที
“เธอนี่ มองไปมองมาก็น่ารักดีนะ อายุเท่าไหร่แล้ว”
“สะสิบเจ็ด”
“สิบเจ็ด? อืม..แต่ทำไมอะไรบนตัวถึงดูเล็กไปหมด”
ชายหนุ่มสำรวจสายตามองไปตามเรือนร่างของเธอ คำพูดและสายตาที่มองมาอย่างเปิดเผยทำให้ใบหน้าของเด็กสาวขึ้นสีแดงระเรื่อ แววตากลมโตสั่นระริกด้วยความไม่พอใจขณะที่มือเล็กจับจานผลไม้ในมือไว้แน่นก่อนจะเบือนหน้าไปมองทางอื่น เธอไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกไปจากห้องครัว โดยที่มีชายหนุ่มเดินตามหลังเธอมาติดๆ
“ฉันยังพูดไม่จบเลย จะรีบไปไหน”
“ยะอย่ามาจับหนูนะ”
ลีอาชะงักนิ่งตัวชาเมื่อมือของเขาคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนของเธอ แววตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงเมื่อมืออีกข้างของเขาค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจับต้นแขนอีกข้างของเธอ
“ถ้าจับมากกว่านี้เธอจะทำไม ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าเธอจะไม่เอาเรื่องนั้นไปบอกใคร คำพูดปากเปล่าใครเขาจะไปเชื่อกัน”
ที่จริงเขาไม่คิดว่าเธอจะเอาเรื่องระหว่างเขาและมิลลี่ไปบอกคนอื่น แต่พอมาเห็นหน้าตาและท่าทางตื่นกลัวของเด็กสาวตรงหน้ามันก็ทำให้เขารู้สึกสนุกและอยากหาเรื่องแกล้งเธอเท่านั้นเอง
“เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ แล้วพี่คิดว่าหนูจะได้ประโยชน์อะไรถ้าเอาเรื่องนั้นไปพูดกัน แล้วพรุ่งนี้หนูก็จะออกจากบ้านพี่แล้ว หนูขอให้เรื่องทั้งหมดมันจบลงแค่นี้จะได้ไหมคะ” ลีอาพูดเสียงดังตอบเขา สายตามองดูชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความไม่พอใจเมื่อเขายังจับแขนทั้งสองข้างของเธอไว้แน่นและไม่ยอมปล่อย
“ฉันอยากได้อะไรเป็นหลักประกันหน่อย”
ชายหนุ่มดึงคนตัวเล็กเข้ามาในอ้อมแขน เขาโน้มใบหน้าลงไปหาเด็กสาวที่เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยความตกใจ เธอพยายามจะพูดทักท้วงแต่ก็ถูกปิดปากด้วยริมฝีปากของเขา ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามากวาดไปรอบโพรงปาก ตวัดลิ้นชิมรสหวานในปากเล็กอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบดริมฝีปากไปตามเรียวปากอวบอิ่มของเธอ
“หวานดี ..ถือไว้ดีๆ อย่าปล่อยให้จานผลไม้หลุดมือล่ะ” มือหนาจับจานผลไม้ที่กำลังจะเลื่อนหลุดออกจากมือเธอ สายตามองดูเด็กสาวผ่านความมืดสลัว
“อย่า! ถ้ายังไม่หยุดหนูจะตะโกนให้ลั่นบ้านเลย ปล่อยสิ!”
“อยากลองทำแบบนั้นบ้างไหม ฉันสอนให้ได้นะ” ชินโน้มใบหน้าลงไปกระซิบตรงใบหูเล็กก่อนขบเม้มมันเบาๆ
“มะไม่เอา หนูบอกให้ปล่อยไง!!”
“หึ..โนบราด้วยเหรอ เด็กๆ แบบเธอก็ซ่อนรูปเหมือนกันนะ”
ชายหนุ่มสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปใต้เสื้อยืดและขยำหน้าอกของเธอเบาๆ ก่อนที่จะเลื่อนมือต่ำลงมาเรื่อยๆ จนถึงกางเกงขาสั้นของเธอ มือของเขาเริ่มป้วนเปี้ยนบนเนินเนื้อใต้ร่มผ้าก่อนที่นิ้วมือจะสอดแทรกเข้าไปหาร่องเล็กที่เปียกชื้นภายใต้แพนตี้ ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกและเริ่มรู้สึกหวาดกลัวไปกับสัมผัสของเขา
“อื้ออ..อย่า!!”
ลีอาเผลอปล่อยจานผลไม้ในมือก่อนที่มันจะร่วงหล่นลงบนพื้น ทันทีที่จานแก้วกระทบลงบนพื้นมันก็แตกกระจัดกระจายและเศษแก้วบางส่วนยังกระเด็นมาถูกเท้าเธอ เลือดสีแดงสดค่อยๆ ซึมออกมา
“โอ๊ย! เจ็บ!!” เด็กสาวขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความเจ็บก่อนจะขยับตัวถอยร่นไปด้านหลัง
“บ้าชิบ! ยัยเด็กบื้อ! อย่าเพิ่งขยับจะได้ไหม มืดๆ แบบนี้เดี๋ยวก็เดินไปเหยียบเศษแก้วเข้าหรอก”
ชินมองดูแผลที่เท้าเธอด้วยความตกใจ เขาคว้าตัวเด็กสาวไว้ก่อนจะอุ้มคนตัวเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องครัวที่ไฟยังเปิดสว่างอยู่ เขาค่อยๆ วางตัวเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะรีบก้มลงมามองดูเท้าเธอที่มีเลือดซึมไหลออกมาและแผลเล็กๆ ที่นิ้วเท้า
“ดีที่ไม่ลึกนะ เดี๋ยวฉันไปหาอุปกรณ์มาทำแผลให้”
“ไม่ต้อง! แผลแค่นี้เอง เดี๋ยวหนูไปทำแผลเองได้”
“อย่าดื้อจะได้ไหม! นั่งรออยู่ที่นี่แหละเดี๋ยวฉันมา”
ชายหนุ่มเดินหายไปสักพักก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับมณี ชินมองหน้าเด็กสาวตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เขาหยิบกล่องใส่อุปกรณ์ปฐมพยาบาลออกมาจากมือของพี่มณีก่อนจะบอกให้เธอไปเก็บกวาดเศษจานที่แตกกระจายอยู่ด้านนอก
เด็กสาวมองดูชายหนุ่มที่กำลังทำแผลให้เธอด้วยความแปลกใจ เขาดูคล่องมากเหมือนเคยทำแผลบ่อยๆ
“เจ็บไหม” ชินเงยหน้าขึ้นมามองเด็กสาวที่กำลังจ้องมองเขาไม่วางตา
“ไม่เจ็บแล้ว เอ่อ..หนูจะกลับห้องแล้ว”
“เดี๋ยวฉันไปส่งที่ห้อง”
“ไม่ต้อง หนูเดินไปเองได้”
“อุตส่าห์ทำแผลให้ ไม่ขอบคุณฉันหน่อยเหรอ”
“ทำไมหนูต้องขอบคุณด้วย เพราะพี่แหละหนูถึงมาเจ็บตัวแบบนี้”
“เพราะเธอไม่ระวังเองต่างหาก ฉันบอกให้ถือมันดีๆ ไง”
“…”
‘..ไอ้ผู้ชายเหี้ย สันดานเสีย เป็นเพราะนายต่างหาก ทำแบบนั้นกับฉันแล้วยังมาพูดแบบนี้ได้หน้าตาเฉย ไม่มีแม้คำขอโทษหรือจะสำนึกผิดเลยด้วยซ้ำ..’ ลีอาได้แต่คิดในใจก่อนจะเบือนหน้าไปมองทางอื่น
“ชิน! ลีอา! พวกเธอมาทำอะไรกันในห้องครัว”
ทั้งคู่หันไปมองตามเสียงเรียกของหญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามาในครัว ชายหนุ่มมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยและท่าทางปกติแตกต่างจากเด็กสาวที่รีบลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน
“พะพี่มิล่า เอ่อ.. หนูหิวเลยมาหาอะไรกินค่ะ พอดีทำจานใส่ผลไม้หลุดมือแล้วพี่ชินมาเจอพอดีเลยช่วยทำแผลให้ค่ะ” พอได้โอกาสเธอรีบสะบัดมือหนาที่จับข้อมือออกทันทีและรีบเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่เดินเข้ามาในห้องครัว
“เอ่อ..ชินทำแผลให้ลีอาเหรอ? เจ็บตรงไหนหรือเปล่าจ๊ะ” มิล่ามองหน้าชินอย่างแปลกใจและรีบเดินเข้ามาดูผ้าปิดแผลบนเท้าข้างซ้ายของลีอาและพลาสเตอร์ปิดแผลที่นิ้วเท้าด้านขวา
“เป็นแผลที่เท้านิดหน่อยค่ะ ถ้ายังไงหนูขอตัวขึ้นไปนอนก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวฉันจะพาไปส่งที่ห้อง” ชินที่ฟังอยู่พูดแทรกขึ้นมา สายตาคมมองหน้าเด็กสาวที่เดินไปยืนหลบอยู่ข้างหลังมิล่า
“ไม่ต้อง! หนูไปเองได้”
ลีอาไม่ได้สนใจว่าเขาจะพูดอะไรออกมาอีก ขืนโต้เถียงกับเขาไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เธอรีบเดินออกมาจากในห้องครัวทันทีก่อนจะเดินไปขอโทษพี่มณีที่กำลังเก็บกวาดเศษจานที่แตกอยู่
“มิล่าไปหาชินที่ห้องแล้วเห็นชินไม่อยู่ในห้องน่ะ พอดีได้ยินเสียงของตกแตกเลยเดินลงมาดู” มิลเดินเข้ามาพูดใกล้ๆ เพื่อให้ได้ยินแค่เธอและเขาแค่สองคน
“คืนนี้อย่าเลย ฉันง่วงแล้วแถมพรุ่งนี้ก็มีเรียนเช้าด้วย” ชินมองหน้ามิล่าแว็บหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเธอ
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้มิล่าไปมหาลัยพร้อมชินได้ไหม”
“อืม”
มิล่ามองตามหลังชายหนุ่มที่เดินหัวเสียออกไปจากห้องครัวอย่างผิดหวัง เธอหันไปมองแม่บ้านที่กำลังเดินเข้ามาในครัวแว็บหนึ่งก่อนจะรีบเดินกลับขึ้นไปบนห้อง
ฉันนั่งมองดูกิจกรรมรอบกองไฟที่ดำเนินไปเรื่อยๆ มีพวกเกมต่างๆ ให้รุ่นน้องรุ่นพี่ได้ทำร่วมกัน ทุกคนดูสนุกสนานและผ่อนคลาย เป็นการหลวมละลายพฤติกรรมและสร้างความสนิทสนมกลมเกลียวของรุ่นพี่รุ่นน้องในคณะได้เป็นอย่างดี ปราศจากการรับน้องรุนแรงเหมือนที่ฉันเคยเห็นตาตามโซเชียลต่างๆ นับว่ากิจกรรมเข้าค่ายในครั้งนี้ได้บรรลุจุดประสงค์ของมันแล้ว ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงเต็มหลังจากจบกิจกรรมช่วงเวลาสุดท้ายที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงนั่นก็คือการสังสรรค์ดื่มกินกันตามอัธยาศัยตอนแรกฉันรู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขเมื่อเห็นพวกเพื่อนๆ ของเตชินทร์เข้ามารวมกลุ่มทำกิจกรรมด้วย แต่พอผ่านไปสักพักก็ยังไม่เห็นวี่แววแม้แต่เงาของคนที่ฉันไม่อยากเจอ เตชินทร์คงอยู่กับพี่มิล่าเพราะในกลุ่มเพื่อนสนิทของพวกเขาขาดแค่สองคนนี้เท่านั้น พอคิดได้แบบนั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมากความง่วงทำให้ฉันเหลือบมองเวลาบ่อยครั้งและเวลาตอนนี้ก็เกือบสี่ทุ่มครึ่งแล้ว แต่ละคนก็เริ่มมีอาการมึนเมารวมถึงกลุ่มเพื่อนๆ ของฉันด้วยเหมือนกัน เพราะฉันคออ่อนถึงได้ไม่ดื่มเบียร์มากเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์ที่ผ
Rrrrrr.. Rrrrrr..เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นไม่หยุดทำให้ลีอาละความสนใจจากพวกอาหารที่เพิ่งยกมาวางไว้บนโต๊ะ ทันทีที่รู้ว่าใครโทรมาหัวใจดวงน้อยก็กระตุกสั่นไหวด้วยความตื่นกลัว มือก็เผลอกดตัดสายทิ้งอัตโนมัติ เสียงโทรศัพท์เงียบหายไปได้สักพักแต่กลับมีข้อความส่งเข้ามาในเครื่องแทน‘ถ้าโทรไปอีกครั้งไม่รับสาย คงรู้แล้วใช่ไหมว่าจะโดนอะไรบ้าง’“ไอ้คนบ้า!” ฉันสบถออกมาด้วยความไม่พอใจ มือทั้งสองข้างกำโทรศัพท์ในมือไว้แน่น ดวงตากลมโตแลมองไปรอบๆ ก็เห็นเตชินทร์ที่ยืนมองมาทางฉันเขม็งยังไม่ทันคิดว่าจะทำยังไงดีเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นรัวๆ ฉันมองโทรศัพท์ในมืออย่างลังเลแต่ก็กดตัดสายทิ้งไปในที่สุดพลางหันไปมองหน้าใยไหมที่มองการกระทำของฉันด้วยความสงสัยผู้ชายร้ายกาจที่ยืนมองอย่างสงบนิ่งอยู่เริ่มขยับตัวเดินตรงดิ่งมาหา ฉันไม่ได้เดินหนีไปไหนได้แต่ยืนนิ่งๆ ทำงานของตัวเองไป พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดแม้ในใจจะอดหวาดหวั่นไม่ได้ เดินหนีดูออกจะอันตรายเกินไปถ้าเกิดอยู่ในที่ปลอดค
พอถึงเวลาบ่ายสองโมงครึ่งพวกรุ่นพี่ปีสองและปีสามก็ให้รุ่นน้องปีหนึ่งมารวมกลุ่มกันตรงลานด้านหลังของโรงแรม รุ่นพี่ชายหญิงหลายคนกำลังพูดสั่งงานรุ่นน้องปีหนึ่งอยู่ตรงหน้าแถว“พวกน้องผู้ชายไปเตรียมงานที่ชายหาดนะคะ ส่วนพวกน้องผู้หญิงก็ช่วยกันเตรียมพวกอาหารเครื่องดื่มสำหรับกิจกรรมรอบกองไฟริมชายหาดค่ำนี้นะคะ” เสียงหวานใสของรุ่นพี่ปีสองพูดปิดท้ายก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองเพื่อนทุกคนรู้แล้วว่าฉันกับกราฟฟิกตกลงคบกัน จะมีก็แต่ใยไหมกับพิชชี่ที่ทั้งแปลกใจระคนสงสัยแต่ก็ไม่ตื๊อถามอะไรมาก จากสีหน้าที่แสดงออกของพวกเธอทั้งสองคนดูจะไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ว่าฉันจะคบกับกราฟฟิกจริงๆ ที่พวกเธอทั้งคู่ไม่เชื่อก็ไม่น่าแปลกใจหรอกเพราะพิชชี่เคยถามฉันมาก่อนหน้านี้แล้ว และฉันก็บอกเธอไปว่าไม่ได้คิดอะไรกับกราฟฟิกแบบนั้นฉันกับกราฟฟิกไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร กลับยิ่งอยากเปิดเผยให้เพื่อนๆ และคนอื่นรับรู้ด้วยซ้ำว่าเราทั้งคู่คบกันเล่นละครก็ควรจะให้มันสมจริงสมจังที่สุดถึงจะตบตาใครต่อใครได้สนิท.. 
“เชิญครับ” กราฟฟิกเอ่ยบอก สายตาเหลือบมองใบหน้าของรุ่นพี่ปีสามและสาวสวยที่หย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ตรงกันข้ามที่ว่างอยู่เตชินทร์ปรายสายตามองใบหน้าเรียบเฉยของคนตัวเล็กที่นั่งก้มหน้าก้มตากินขนมในจานของตัวเองเงียบๆ ท่าทางเฉยเมยนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ดวงตาคมเข้มมองจ้องหน้ารุ่นน้องหนุ่มที่ส่งยิ้มมาให้ตามมารยาทในใจเขารู้สึกไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกนั้นออกมา ดวงตาคมเข้มยังคงมองจ้องลีอาไม่ละสายตา“พี่ชินมาด้วยเหรอครับ แล้วพวกรุ่นพี่คนอื่นๆ มาด้วยไหม”“มาสิ แต่อยู่ที่โรงแรม ..เรามากันแค่สองคนเหรอ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยบอก ดวงตาคมเข้มจับจ้องใบหน้าหวานและริมฝีปากสีแดงธรรมชาติที่เม้มเข้าหากันแน่นสนิท เตชินทร์ไม่ได้สนใจว่ามิล่าที่นั่งอยู่ข้างๆ จะตวัดสายตาขึ้นมองดูเขาด้วยความรู้สึกยังไง ถึงเธอจะรู้สึกยังไงมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขามิล่ามองตามสายตาของเตชินทร์ ถึงจะไม่ชอบใจที่เขาให้ความสนใจลีอาเป็นพิเศษ แต่เธอก็ไม่อยากแสดงอาการหึงหวงไม่พอใจนั้นอ
ผมจัดการถอดกางเกงและบ็อกเซอร์ออกอย่างรวดเร็ว ลูกรักผมมันตื่นตั้งแต่เห็นก้นขาวๆ ของลีอาแล้ว มือทั้งสองจับเรียวขาคู่งามแยกกว้างจนเห็นกลีบเนื้ออวบอูมที่แย้มบานออกจากกัน ส่งนิ้วร้อนออกไปลูบคลำบดคลึงเม็ดเล็กเหนือร่องเล็กสีหวานเล่นช้าๆ บดคลึงจุดเสียวนั้นเล่นย้ำๆ สายตามมองดูสะโพกกลมมนนั้นบิดเร่าสู้นิ้วมือ ร่างกายเธอมันซื่อสัตย์กว่าเจ้าของมันเสียอีก ผมยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจเมื่อเห็นน้ำหวานไหลเยิ้มออกมาจนกลีบเนื้อบางมันวาว อดใจไม่ไหวก่อนจะส่งลิ้นร้อนเข้าไปลิ้มชิมความหวานซ่านลิ้นนั้นอย่างกระหายอยาก ยิ่งร่างบางดิ้นพล่านหนักผมก็ยิ่งตะโบมดูดเลียมันแรงขึ้น“อ๊า” ริมฝีปากเล็กสกัดกั้นอารมณ์ซ่านเสียวเอาไว้ไม่อยู่ สะโพกกลมมนยกลอยเด่นขึ้น ขยับเข้าหาลิ้นร้อนอย่างร่านร้อนผมรับรู้ถึงแรงบีบรัดจากภายใน ลิ้นร้อนดูดเลียน้ำหวานจากร่องเล็กจนหมด ลีอาใกล้เสร็จแล้วแต่ผมไม่ยอมให้เธอเสร็จง่ายๆ แน่ ผมจับแก่นกายที่แข็งผงาดจนปวดหนึบขึ้นมาชักรูดเบาๆ จับมันจ่อลงปากทางเข้า ถูไถสัมผัสความนุ่มลื่น ยั้งใจไม่กระแทกมันเข้าไปเร็วนัก ค่อยๆ สอดใส่มันเข้าไปแค่ส่วนหัวและชักออกท
ฉันเดินเข้าไปในห้องน้ำและหยุดยืนอยู่หน้ากระจกเพื่อสำรวจใบหน้าของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เพราะผิวที่ขาวจัดมันทำให้เห็นรอยแดงชัด ขืนฉันออกไปเจอเพื่อนๆ ในสภาพแบบนี้คงไม่ดีแน่ พิชชี่กับใยไหมต้องซักไซ้ถามไม่หยุดว่าหน้าฉันไปโดนอะไรมา สายตามองดูรอยแดงเป็นริ้วจางๆ บนใบหน้าตัวเอง พอใช้แป้งพัฟเด็กทาทับลงไปบนรอยแดงพวกนั้นก็ยังเห็นชัดอยู่ดี ฉันพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาพิชชี่ว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายจะไม่เข้าเรียนวิชานี้และจะกลับบ้านเลย เราส่งข้อความคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ฉันจะเดินออกมาจากในห้องน้ำฉันนั่งรถแท็กซี่กลับมาบ้านอย่างคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดินเข้าไปในห้องครัวหยิบก้อนน้ำแข็งในช่องพรีซมาใส่ชามใบเล็กก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบน พอเปิดประตูเข้าไปในห้องก็เดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาห่อก้อนน้ำแข็งไว้แล้วเอามันมาประคบแก้มข้างซ้ายไว้เพื่อจะให้รอยแดงมันจางลงไวๆ ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรกับรอยเล็กน้อยแค่นี้แต่รู้สึกเจ็บใจมากกว่า แต่น่าแปลกที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยดแต่ลึกๆ กลับรู้สึกโล่งใจมากกว่าแทนเตชินทร์ไม่ได้โทรมาหลังจากเกิดเรื่อง เขาดูแคร์พี







