“แต่พี่ไม่รีบ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไก่ขนาดพอดีคำยื่นไปใกล้กับปากของจันทร์เจ้า
“กินไก่ราดครีมมายองเนสนี่สิ อร่อยดีนะหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ กำลังดี”
เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้...จันทร์เจ้าได้แต่บ่นเขาอยู่ในใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกไปยังคงเรียบเฉย มีเพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์
"อย่าอารมณ์เสียสิ เราต้องทำงานด้วยกันไปอีกนานนะ พี่เห็นจันทร์ดูเครียด ๆ ก็เลยอยากให้ผ่อนคลายบ้าง ทำงานที่นี่ทุกอย่างต้องเป๊ะก็จริง แต่ทุกสิ่งเรายืดหยุ่นกันได้ เรื่องเอกสารที่เลขาฯ คนเก่าเขาทำไว้ยุ่งเหยิงก็ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก เพราะโดยส่วนใหญ่มันเป็นงานที่ผ่านไปแล้ว เก็บเฉพาะที่จำเป็นก็พอ อีกอย่างนะ เอกสารพวกนั้นเราจะเก็บไฟล์ในรูปแบบพีดีเอฟเอาไว้อยู่แล้ว เข้าไปดูที่เซิร์ฟเวอร์เอาก็ได้ คุณเอมคงสอนเรื่องการเข้าใช้เซิร์ฟเวอร์แล้วใช่ไหม"
"สอนแล้วค่ะ" พอเห็นเขาพูดเป็นการเป็นงานจันทร์เจ้าก็นิ่งฟังอย่างตั้งใจ เพราะเอมิกาบอกว่าตั้งแต่ชินดนัยมาบริหารแทนบิดา เขาก็ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของบริษัทใหม่ทั้งหมดให้ดูทันสมัยด้วยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ลดการใช้กระดาษ และลดขั้นตอนการทำงานลงไปเยอะ
"อืม ก็อย่างที่บอกไว้นั่นแหละว่าเอกสารบางตัวที่ไม่ใช่งานบัญชีหรือสัญญาต่าง ๆ อยากให้เก็บในรูปแบบของไฟล์อิเล็กทรอนิกส์มากกว่ากระดาษ เพราะมันช่วยลดความยุ่งยากในการจัดเก็บเอกสารเข้าแฟ้ม รวมไปถึงการนั่งงมหาเอกสารแต่ละแผ่น พี่เห็นพนักงานบางคนเก็บแต่แผ่นกระดาษเป็นแฟ้ม ๆ เรียงใส่ตู้ เวลาจะหาแต่ละทีก็แทบรื้อทั้งตู้ ใช้เวลาเกือบทั้งวันกับกระดาษแผ่นเดียว พี่ไม่เห็นด้วยเท่าไร และกระดาษพวกนั้นเวลาไม่ใช้แล้วก็ทิ้งกองเป็นตั้ง ๆ กลายเป็นขยะให้พนักงานทำความสะอาดเอาไปชั่งกิโลขาย พี่เลยอยากตัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นพวกนั้นทิ้งไป"
เขายิ้มบาง ๆ แล้วตักอาหารใส่จานให้หญิงสาวอีกครั้ง ก่อนพูดต่อ
"เวลามันเดินไปข้างหน้ามันไม่เคยเดินถอยหลัง เพราะฉะนั้นเราควรใช้เวลาแต่ละนาทีให้คุ้มค่าดีกว่า"
จันทร์เจ้าฟังที่เขาพูดก็เห็นด้วย แม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังสอนเธอทางอ้อมในเรื่องสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ แต่เธอกลับไม่รู้สึกโกรธเคืองเขาที่มาสั่งสอน เพราะเธอเองก็ยอมรับว่าเสียเวลากับเอกสารเก่าพวกนั้นมากเกินไปจริง ๆ
"ที่ทำงานเก่าชอบให้เก็บเป็นกระดาษจัดใส่แฟ้มไว้ค่ะ เขาบอกว่ามันง่ายต่อการเรียกใช้งานฉันก็เลยติดนิสัยนั้นมาจากที่เก่า" หญิงสาวบอกเขาไปตามตรง
"เจ้านายเป็นคนมีอายุละสิ และพวกหัวหน้าหรือผู้จัดการส่วนใหญ่ก็อายุมากกันทั้งนั้นใช่ไหม" เขาถามยิ้ม ๆ
"ใช่ค่ะ" เจ้านายเก่าของเธออายุห้าสิบกว่าแล้ว และไม่ค่อยสันทัดกับบรรดาเทคโนโลยีในปัจจุบันเท่าไรนัก การทำงานจึงเน้นรูปแบบเดิม ๆ อีกทั้งยังไม่ค่อยยอมปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันด้วย
"เป็นธรรมดา คนหัวเก่ารุ่นเก่ามักจะไม่ค่อยเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าระบบใหม่มันดีกว่า แต่เพราะความรั้นและความยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ เอะอะอะไรก็บอกว่าเราทำแบบนี้มาตั้งนานแล้วจะเปลี่ยนไม่ได้ แบบนั้นน่ะจะทำให้บริษัทย่ำอยู่กับที่ และตามบริษัทอื่นเขาไม่ทัน"
เขาหยุดพูดพลางผินหน้ามองทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งกำลังมีเรือโดยสารข้ามฟากบรรทุกผู้โดยสารเต็มลำเรือแล่นตัดแนวขวางของแม่น้ำเพื่อไปเทียบท่าอีกฝั่ง
"ตอนที่พี่กลับมารับช่วงต่องานบริษัทใหม่ ๆ ก็ต้องไฟต์กับบรรดาผู้จัดการรุ่นเก่าเก๋าเกมหลายคนอยู่เหมือนกัน ใครที่ทำใจยอมรับระบบใหม่ได้ก็อยู่ต่อ แต่บางคนรับไม่ได้เพราะทิฐิกับหัวโขนที่สวมอยู่ เขาเห็นว่าพี่อายุยังน้อยแต่ต้องมาเป็นเจ้านายของพวกเขา ก็พากันลาออกไปหลายคน" พูดถึงตรงนี้เขาก็หันมามองหน้าจันทร์เจ้าแล้วพูดว่า
"อีกหน่อยพี่คิดว่าจันทร์คงต้องเจอแรงกดดันจากคนที่พยายามทำตัวเป็นผู้อาวุโสกว่าแน่ ๆ เพราะฉะนั้น งานอะไรที่เป็นหน้าที่หลักของจันทร์ก็ให้ทำไป แต่ถ้างานไหนไม่ใช่ แล้วมีบางคนมายัดเยียดให้ทำนั่นทำนี่ จันทร์ก็ปฏิเสธไปได้เลยไม่ต้องไว้หน้าใคร เพราะถ้ายอมหนึ่งครั้งย่อมต้องมีครั้งต่อไป ถ้าใครทำท่าไม่พอใจก็บอกไปเลยว่าจันทร์มาทำตำแหน่งเลขาฯ ของประธานบริษัท หน้าที่คือมาเป็นผู้ช่วยของท่านประธานเท่านั้น จำเอาไว้นะ"
จันทร์เจ้าขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับคำแต่โดยดี อดคิดไม่ได้ว่าการที่เขาเตือนเธอแต่เนิ่น ๆ แบบนี้น่าจะเป็นเพราะมีใครบางคนในบริษัทชอบวางอำนาจบาตรใหญ่กับผู้น้อยเป็นแน่ และคน ๆ นั้นคงมีตำแหน่งสูงพอควร หรืออาจเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนกระมัง ชินดนัยจึงไม่สะดวกจะงัดข้อด้วย
ทั้งสองคนกลับถึงออฟฟิศในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ขากลับนี้จันทร์เจ้ารู้สึกว่าตนเริ่มผ่อนคลายกับชินดนัยมากขึ้น เพราะตลอดการรับประทานมื้อเที่ยงด้วยกันเขาจะคุยแต่เรื่องงานและบริษัทเสียส่วนใหญ่ จึงทำให้เธอเห็นทัศนคติของเขาที่มีต่อองค์กรและคนในปกครองว่าเป็นอย่างไร นั่นจึงทำให้หญิงสาวรู้สึกวางใจมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ทันทีที่กลับถึงโต๊ะทำงาน ชินดนัยก็เปิดคอมพิวเตอร์แล้วค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทของบิดาจันทร์เจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาจำชื่อบริษัทไม่ได้จึงใช้นามสกุลของหญิงสาวเป็นคีย์เวิร์ดในการค้นหาแทน
...ประสิทธิเวช...
แล้วข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนามสกุลนี้ก็ปรากฏออกมาให้เขาคลิกอ่านมากมายจนแทบตาลาย ใบหน้าของชายหนุ่มเคร่งเครียดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคลิกอ่านข่าวแล้วข่าวเล่า
...เอสพีชิปปิ้ง ส่อแววไปไม่รอดหลังจากสินค้ามูลค่านับร้อยล้านถูกไฟไหม้พร้อมเรือบรรทุกจมกลางทะเล...
...ซีอีโอเอสพีชิปปิ้งถูกฟ้องล้มละลาย...
...นายเมฆา ประสิทธิเวช ซีอีโอเอสพีชิปปิ้งยิงตัวตายในคฤหาสน์หรู...
...ทรัพย์สินตระกูลประสิทธิเวชถูกนำขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ ปิดตำนานเอสพีชิปปิ้ง...
ชินดนัยหลับตาลงพลางแหงนศีรษะพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรงหลังจากอ่านข่าวพวกนั้นจนจบ เขานึกถึงใบหน้าเฉยชากับรอยยิ้มไม่สดใสของจันทร์เจ้าแล้วก็ได้แต่สะท้อนใจ ตอนนั้นเธอเป็นสาวน้อยสดใส เปล่งประกาย แววตามีแต่ความสุข เป็นคุณหนูลูกผู้ดีที่มีมารยาทและกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน เธอมีพร้อมทุกอย่างในชีวิต แต่เพราะเหตุการณ์คราวนั้นกระมัง จึงเปลี่ยนให้ผู้หญิงนุ่มนิ่มคนหนึ่งแข็งแกร่งขึ้นมาขนาดนี้
"เธอผ่านช่วงนั้นมาได้ยังไงนะหนูจันทร์" เขาอดนับถือเธอไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่านจุดต่ำสุดของชีวิตมาแบบนั้นแล้วสามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง
และยิ่งเธอเป็นอย่างนี้ ความรู้สึกที่อยากเดินเคียงข้างเธอก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ไม่ใช่เพราะสงสารหรือเวทนา แต่เป็นเพราะว่าเขาอยากเห็นรอยยิ้มและแววตาที่เต็มไปด้วยความสุขแบบวันวานอีกครั้ง
"อ้าว แล้วพี่ออกมาก่อนแบบนี้พวกพี่ ๆ เขาไม่ว่ากันหรือคะ""ไม่ว่าหรอกน่า พวกพี่จะนัดกันเมื่อไรก็ได้ ต่อให้ไม่มีพี่ มันสองคนก็นัดชนแก้วกันเป็นประจำอยู่แล้ว อีกอย่างนะ พวกมันก็เข้าใจดีว่าเคสของหนูจันทร์เป็นเคสที่พี่ต้องจัดให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง"ชินดนัยยิ้มพลางหยิบขวดไวน์มารินใส่แก้วให้หญิงสาวอีกครั้ง จันทร์เจ้าเบิกตากว้างเพราะตนเพิ่งดื่มเข้าไปแค่ไม่กี่จิบเท่านั้น ไวน์ยังเหลือในแก้วตั้งเยอะแต่เขากลับรินให้จนเลยครึ่งแก้วขึ้นมา"พอแล้วค่ะ จะมอมกันหรือไง พี่ก็รู้ว่าจันทร์ดื่มไม่เก่ง"ชินดนัยมองเธอด้วยสายตาร้อนแรงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำพร่าว่า"พี่รู้ว่าจันทร์ดื่มไวน์ไม่เก่ง แต่เวลาที่จันทร์เมาจันทร์จะดูดน้ำอย่างอื่นได้เก่งมากเลย เพราะฉะนั้นพี่ก็ต้องมอมสักหน่อย"จันทร์เจ้าหน้าแดงขึ้นมาทันทีเพราะรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร หญิงสาวจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรที่จะเป็นการเข้าเนื้อตัวเองอีกชายหนุ่มมองสีหน้าขัดเขินของเธอแล้วก็นึกอยากพรมจูบไปให้ทั่วใบหน้า แต่เพราะเกรงว่าตนอาจจะไม่จบลงแค่จูบจึงได้แต่สะกดกลั้นความต้องการของตัวเองไว้ พลางหาเรื่องอื่นมา
มือของเขาเลื่อนขึ้นมาจนสัมผัสได้กับเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ ของกางเกงชั้นใน จากนั้นเขาก็จับเอวของเธอไว้แล้วผละออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองภาพความสวยงามที่หาได้ยากแบบนี้ให้เต็มตา"เซ็กซี่มากที่รัก พี่ชอบมากเลย"สายตาร้อนแรงของเขาราวกับจะแผดเผาเธอได้ ยอมรับว่าอายแสนอายจนรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นมากระจุกอยู่บนใบหน้า แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเป้ากางเกงของเขาก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะยังไม่ถึงหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ แต่ความพรักพร้อมของเขานั้นปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจันทร์เจ้าเอาแขนออกจากคอของชินดนัยแล้วดึงกระโปรงลง จากนั้นก็ใช้นิ้วเกี่ยวหูกางเกงของเขาพลางดึงเบา ๆ แล้วพูดว่า"ไปที่โต๊ะกันดีกว่าค่ะ จันทร์เพิ่งอุ่นเสร็จเมื่อกี้เอง ไวน์ก็เพิ่งเอามาแช่ใหม่ ถ้าไม่ดื่มตอนนี้เดี๋ยวน้ำแข็งจะละลายเสียก่อน"เธอดึงหูกางเกงของเขาเพื่อให้ชายหนุ่มเดินตามมาที่โต๊ะอาหาร ชินดนัยเดินตามอย่างว่าง่ายจนกระทั่งมาถึงโต๊ะจึงกดบ่าของเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้"เดี๋ยวจันทร์รินไวน์ให้นะคะ"หญิงสาวยิ้มหวานให้ก่อนหันหลังให้เขาแล้วเอื้อมหยิบขวดไวน์ที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ แต่เพราะชุ
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน แค่แจ้งชื่อของปกเกล้าก็จะมีพนักงานสาวสวยพาเขาไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ทันที"อ้าว ไอ้ปกยังไม่มาหรือ" ชินดนัยเห็นภาวินนั่งอยู่เพียงลำพังจึงถามถึงเพื่อนอีกคน"คงกำลังมาแหละมั้ง เห็นว่ามีเรื่องด่วนนิดหน่อย...ของพี่คนนี้โซดาอย่างเดียวนะจ๊ะ" ภาวินตอบพลางหันไปบอกกับบันนี่สาวที่มีหน้าที่ผสมเหล้าอยู่ข้างโต๊ะ"เฮ้ย...เรื่องด่วนที่ว่าหมายถึงเรื่องนี้เองหรือวะ" ชินดนัยยิ้มเจ้าเล่ห์พลางบุ้ยหน้าไปทางชั้นล่าง ภาวินจึงมองลงไปบ้างก็เห็นปกเกล้ากำลังจูงมือหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในคลับด้วยจะว่าไปแล้วน่าจะเรียกว่าฉุดลากกันมากกว่า เพราะดูจากท่าทางไม่เต็มใจของผู้หญิงที่ปกเกล้าพามาด้วยกันนั้นก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายถูกบังคับให้มาที่นี่"น่ารักดีว่ะ อย่างกับเด็กมหาลัย ไอ้ปกไปหามาจากไหนวะเนี่ย"ภาวินอดสงสัยไม่ได้เพราะปกติแล้วเวลานัดสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนสนิท จะไม่มีใครพาผู้หญิงมาด้วยเด็ดขาดเพราะกลัวงานกร่อย และกฎนี้ปกเกล้าก็เป็นคนตั้งขึ้นเองด้วยซ้ำแต่เจ้าตัวกลับทำผิดกฎเสียเอง"กูว่าคนนี้คงไม่ธรรมดาเว้ย มึงดูสิไอ้ปกเคยเป็นแบบนี้ที่ไหน ทำอย่างกับจับ
สุดท้ายแล้วจันทร์เจ้าก็ไม่ได้ซื้อของขวัญวันเกิดให้ชินดนัย ดังนั้นหลังจากที่รับประทานมื้อเที่ยงกับภัทรพลเสร็จแล้วเธอจึงกลับขึ้นไปบนออฟฟิศตามเดิม ทว่านั่งทำงานไปได้ไม่เท่าไร หญิงสาวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นทั้งเจ้านายและคนรักในห้องทำงานของเขา"จันทร์ขอลางานครึ่งวันนะคะพี่ชิน คุณแม่ติดธุระก็เลยไปรับหนูพราวที่โรงเรียนไม่ได้ค่ะ จันทร์เลยต้องไปรับแทน""งั้นหรือ...อืม งั้นก็ไปเถอะ ถึงบ้านแล้วโทร. หาพี่ละกัน พี่จะได้ไม่เป็นห่วง" เขายิ้มพลางกางแขนออกกว้าง หญิงสาวจึงอดค้อนให้เขาไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังเดินเข้าไปก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วโผไปซุกในอ้อมอกของเขาชินดนัยหอมขมับของเธออย่างแสนรัก หากแต่มือเจ้ากรรมก็ยังไม่วายซุกซน บีบบั้นท้ายของหญิงสาวเล่นอย่างเคยตัว ผลลัพธ์ที่ตามมาคือถูกเจ้าของบั้นท้ายหยิกเข้าที่เอวเต็มแรง"นิสัยไม่ดีตลอดเลยพี่ชินเนี่ย เผลอเป็นไม่ได้"จันทร์เจ้าบ่นให้เขาพลางผละออกห่างแล้วยืนเต็มความสูงตามเดิม จากนั้นก็เดินไปที่ประตูห้องทำงาน"จันทร์ไปก่อนนะคะ ถึงบ้านแล้วจะโทร. หาค่ะ" พูดจบก็เปิดประตูเดินออกไปจึงไม่ทันเห็นว่าใบ
ชายหนุ่มไม่แสดงท่าทีเอาอกเอาใจมากจนเกินไปอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งปฏิบัติต่อหญิงสาวที่ตนมีใจให้เพราะไม่ต้องการให้เธอรู้สึกอึดอัด ซึ่งนับว่าเป็นผลดีกับเขามากเพราะจันทร์เจ้าพูดกับเขาอย่างที่คุยกับคนรู้จักทั่วไป ไม่มีท่าทีปิดกั้นหรือระแวงจนเขาไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เธอทั้งคู่สั่งกับข้าวมาสามอย่าง หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วโทรศัพท์ของภัทรพลก็มีสายเรียกเข้า ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากเลขานุการของตนเขาจึงต้องกดรับเพราะหากไม่ใช่เรื่องสำคัญ เลขาฯ ของเขาจะไม่โทร. มาในเวลาพักเที่ยงอย่างนี้เป็นแน่"ผมขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะครับ" เขาพูดกับจันทร์เจ้าแล้วรีบลุกขึ้นก้าวเร็ว ๆ ออกจากร้านอาหารทันที จากนั้นก็เดินห่างออกไปจากหน้าร้านโดยเดินไปทางห้องน้ำเพราะตั้งใจจะเข้าไปทำธุระส่วนตัวด้วยชินดนัยเห็นผู้ชายที่อยู่กับแฟนสาวของตนกำลังเดินคุยโทรศัพท์ไปทางห้องน้ำ เขาจึงเดินอ้อมจากอีกด้านตามไปทันทีชายหนุ่มคนนั้นคุยโทรศัพท์เสร็จก็จัดการทำธุระส่วนตัว ส่วนชินดนัยก็ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างมือเพื่อรออีกฝ่ายอย่างใจเย็น จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินมาล้างมือในอ่างท
จันทร์เจ้ากลอกตามองเพดาน ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างหยอกเย้าจากเลขาฯ รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ใกล้กัน เธอก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ"ไม่รีบเข้าไป เดี๋ยวท่านประธานก็ออกมาตามด้วยตัวเองอีกหรอก"นันทิดาพูดจบก็หัวเราะคิกคัก เพราะท่านประธานหนุ่มไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่ตนมีต่อเลขาฯ ส่วนตัวคนนี้สักนิด ช่วงแรกที่จันทร์เจ้าคบหากับท่านประธานก็มีเพียงคนกันเองอย่างพวกตนที่เป็นเลขานุการด้วยกันเท่านั้นที่รู้แต่หลังจากที่มีโปรแกรมเมอร์หนุ่มคนใหม่เข้ามาทำงานที่บริษัทแล้วแสดงออกว่าสนใจเลขาฯ ของท่านประธานจนถึงขนาดเอ่ยปากชวนไปเลี้ยงข้าวกลางวัน ซึ่งพอเรื่องนี้เข้าหูผู้เป็นเจ้านายอย่างชินดนัย ท่านประธานหนุ่มก็แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างออกนอกหน้าทันทีโดยไม่สนใจว่าพนักงานคนอื่นจะมองอย่างไรทั้งเดินจูงมือจันทร์เจ้า บางคราวก็โอบไหล่โอบเอว แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามเอ่ยปากเตือนหลายครั้งแต่ท่านประธานก็ยังคงทำตามใจตัวเองเรื่องนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว และพนักงานทุกคนก็รับรู้กันถ้วนหน้าว่าท่านประธานกับเลขาฯ ส่วนตัวนั้นกำลังคบหาดูใจกันอยู่ นานวันเข้าจากที่ทุกคนเคยตื่นเต้นกับเรื่องนี้ก็เร