จันทร์เจ้าหันขวับไปมองเขาทันที แต่เพราะเขาก็ก้มตัวลงมาจึงทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้จนแทบหายใจรดกัน หญิงสาวรีบเบี่ยงหน้าไปทางอื่นแล้วเอนตัวออกห่างจากเขา แต่มือยังคงถูกเขากุมเอาไว้อยู่
"ขอโทษที พี่ก็แค่ทำไปตามความเคยชิน"
ชินดนัยยิ้มพลางปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ เห็นหญิงสาวรีบคาดเข็มขัดแล้วปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็พอรู้ว่าเธอคงไม่ค่อยพอใจจึงเลิกแกล้ง ปิดประตูรถให้เธอแล้วเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับ
แค่เสี้ยววินาทีที่ใกล้กันเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มอดคิดถึงค่ำคืนแสนหวานที่มีร่วมกันไม่ได้ จันทร์เจ้าในตอนนั้นคือสาวน้อยอ่อนเดียงสาที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เขาพาเธอไปเที่ยวทะเลแล้วป้อนคำหวานสารพัดจนเธอยอมใจอ่อนมอบกายให้ เขาจำได้ว่าตนตื่นเต้นมากเพราะเพิ่งเคยเปิดซิงผู้หญิงเป็นครั้งแรก เนื่องจากสาว ๆ ของเขาแต่ละคนที่เคยคบมาล้วนแล้วแต่เจนสังเวียนมาแล้วทั้งสิ้น ช่วงนั้นเขาเห่อเธออยู่พักใหญ่เพราะจันทร์เจ้าเป็นหญิงสาวคนแรกที่เขาใช้เวลานานที่สุดกว่าจะได้มาขึ้นเตียง
แต่ตอนนั้นเขาก็เป็นแค่คนหนุ่มที่อารมณ์พลุ่งพล่าน เวลาที่มีผู้หญิงอื่นเข้าหาหรือเสนอให้ ถ้าเขาถูกใจก็จะไม่ปฏิเสธใครเลยสักคนแม้ว่าจะมีจันทร์เจ้าอยู่แล้วก็ตาม เขากลายเป็นหนุ่มเนื้อหอมที่สนุกสนานกับการสับรางและเปลี่ยนสาวบนเตียงแทบไม่ซ้ำหน้า จนกระทั่งจันทร์เจ้ามาจับได้คาตาและเลิกราไป เขาก็ยังทำเหมือนไม่ค่อยรู้สึกรู้สาอะไรนัก
แต่ลึก ๆ แล้วเขารู้ดีว่าตนเสียดายผู้หญิงดี ๆ อย่างเธอไม่น้อย หลายครั้งที่เขาเผลอคิดถึงความอ่อนหวานนุ่มนวลของจันทร์เจ้า คิดถึงความเอาใจใส่ของเธอที่ทำเพื่อเขา คิดถึงความมีเหตุผลไม่งี่เง่าเอาแต่ใจเหมือนผู้หญิงหลายคนที่เขาคบอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่เพราะความถือดีของตนจึงทำให้เขาไม่คิดไปตามง้อเธอกลับมา
"ตอนนี้จันทร์มีแฟนรึยัง" เขาเห็นในใบประวัติของจันทร์เจ้าว่าเธอยังไม่แต่งงาน แต่เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เธอโสดอยู่รึเปล่า
หญิงสาวเหลือบมองเขาเพียงนิดแล้วเบนสายตากลับมาตามเดิม ก่อนจะถามเขากลับ
"ถามทำไมคะ ถ้าตอบว่ามีแล้วก็จะไม่ให้ผ่านโปรหรือ" เธอถามจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย
"ดูพูดเข้า พี่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกน่า"
เขาหันไปมองเธอครู่หนึ่งแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นมือทั้งสองข้างของจันทร์เจ้าจับสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น เขาจำได้ว่าเธอมักทำอย่างนี้เสมอเวลาตื่นเต้น เมื่อก่อนเวลาเขาพาเธอนั่งรถเล่นโดยไม่บอกว่าไปไหน หญิงสาวมักจะนั่งจับสายเข็มขัดอย่างนี้ไปตลอดทาง
ชินดนัยไม่คิดถามคำถามเดิมอีกครั้งเพราะรู้ว่าคงไม่ได้คำตอบแน่นอน อีกทั้งหากเขาเดาไม่ผิด คำตอบก็น่าจะเป็นเธอยังไม่มีใคร เพราะหากจันทร์เจ้ามีคนรักอยู่แล้วคงไม่ทำมึนตึงเฉยชากับเขาแบบนี้แน่ ถ้าหญิงสาวสามารถพูดคุยกับเขาได้เป็นปกติเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง ก็น่าจะหมายความว่าเธอลืมความบาดหมางครั้งนั้นไปหมดสิ้นแล้ว
ชายหนุ่มพาจันทร์เจ้ามากินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร้านนี้เขาเคยมากินกับครอบครัวตอนฉลองเรียนจบจากต่างประเทศ เขาเห็นว่าบรรยากาศดี อาหารรสชาติอร่อยถูกปากจึงแวะมากินบ่อย ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็มักมากับเพื่อนสนิท หรือไม่ก็บิดามารดา
"ร้านนี้อร่อยใช้ได้เลยนะ พี่ไม่แน่ใจว่าจันทร์เคยมารึยัง ตอนพี่เรียนจบที่บ้านพามาฉลองที่นี่น่ะก็เลยติดใจ"
เขาพูดพลางรับเมนูจากบริกร เห็นหญิงสาวก้มหน้าดูเมนูด้วยใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธอเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเขาจำไม่ผิด ครอบครัวของจันทร์เจ้าทำธุรกิจเกี่ยวกับนำเข้าส่งออกไม่ใช่หรือ และเธอก็เคยบอกว่าเรียนจบแล้วจะช่วยงานบริษัทของครอบครัว แต่ทำไมมาสมัครเป็นเลขานุการในบริษัทของเขาได้
หลังจากสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อยชินดนัยก็เริ่มชวนหญิงสาวคุยอีกครั้ง
"แล้วนึกยังไงถึงมาสมัครเป็นเลขาฯ บริษัทพี่ได้ล่ะ พี่จำได้ว่าจันทร์จะช่วยงานทางบ้านหลังเรียนจบไม่ใช่หรือ"
ได้ยินคำถามจากเขาจันทร์เจ้าก็รู้สึกแปลบในใจขึ้นมาทันที เธอไม่เคยอายที่จะพูดถึงความล้มเหลวในครั้งนั้น แต่เพราะเหตุการณ์นั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของตนไปตลอดกาลจึงอดสะท้อนใจไม่ได้
"ไม่ได้ทำแล้วค่ะ ที่บ้านไม่มีบริษัทแล้ว"
เธอพูดออกไปตามตรงอย่างไม่คิดปิดบัง เรื่องความล้มเหลวของบริษัทในครั้งนั้นเป็นข่าวดังพาดหัวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ คนที่อยู่ในวงการธุรกิจนำเข้าส่งออกย่อมต้องจำข่าวนั้นได้ แต่การที่ชินดนัยมาถามเธอก็หมายความว่าเขาไม่รู้เรื่องจริง ๆ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะช่วงนั้นเขากำลังเรียนอยู่ต่างประเทศ
ชินดนัยจับอารมณ์เศร้าหมองในน้ำเสียงของจันทร์เจ้าได้จึงไม่ถามเรื่องนั้นอีก แม้ว่าจะอยากรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเลี่ยงไปคุยเรื่องอื่นแทน
“แต่มาทำที่นี่ก็ดี เพราะทำให้เราได้เจอกันอีก” เขายิ้มแล้วมองเข้าไปในนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ
“บางทีเราสองคนอาจจะหนีกันไม่พ้นก็ได้นะจันทร์ เขาเรียกว่าอะไรนะ พรหมลิขิตใช่ไหม”
จันทร์เจ้าถอนหายใจเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ มุมปากเบะลงเล็กน้อยพร้อมกับจ้องตาเขากลับอย่างไม่ยอมแพ้
“เขาเรียกว่าตามหลอกตามหลอนค่ะ ไม่ใช่พรหมลิขิตอะไรหรอก วันหยุดฉันจะไปทำบุญให้นะคะจะได้ไปผุดไปเกิดสักที” พูดจบเธอก็ผินหน้ามองไปทางอื่น ขณะที่คนฟังหัวเราะร่าอย่างถูกใจพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้
“เยี่ยม! ไม่เจอกันหลายปีฝีปากพัฒนาขึ้นเยอะเลย...แต่พี่ก็ชอบนะ” ประโยคหลังเขายื่นหน้ามาพูดเบา ๆ พร้อมกับส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ ยิ่งเห็นใบหน้าสวยหวานนั้นเชิดขึ้นราวกับนางพญาผู้มองไม่เห็นหัวใคร เขาก็ยิ่งรู้สึกมันเขี้ยวจนอยากยื่นมือไปบีบจมูกเธอเล่นเหมือนเมื่อก่อน แต่เพราะรู้ว่าอาจทำให้เธอไม่พอใจเขาจึงพยายามเก็บมือเก็บไม้ไม่ให้ทำรุ่มร่ามกับเธอ
แม้ว่ามือคู่นี้จะเคยสัมผัสเรือนร่างอรชรตรงหน้ามาทุกตารางนิ้วแล้วก็ตาม
อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ จันทร์เจ้าจึงลงมือกินไปเงียบ ๆ เช่นเคย โดยเพิ่มความเร็วในการกินมากขึ้นเพราะอยากกลับไปสะสางงานที่ออฟฟิศต่อ แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่รีบไปกับเธอด้วย เพราะเขาเอาแต่ละเลียดชิมทีละนิดละหน่อยพลางชมทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยาไปด้วยด้วยสีหน้ารื่นรมย์
“ขอโทษนะคะท่านประธาน ฉันต้องรีบกลับไปเคลียร์งานค่ะ”
"อ้าว แล้วพี่ออกมาก่อนแบบนี้พวกพี่ ๆ เขาไม่ว่ากันหรือคะ""ไม่ว่าหรอกน่า พวกพี่จะนัดกันเมื่อไรก็ได้ ต่อให้ไม่มีพี่ มันสองคนก็นัดชนแก้วกันเป็นประจำอยู่แล้ว อีกอย่างนะ พวกมันก็เข้าใจดีว่าเคสของหนูจันทร์เป็นเคสที่พี่ต้องจัดให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง"ชินดนัยยิ้มพลางหยิบขวดไวน์มารินใส่แก้วให้หญิงสาวอีกครั้ง จันทร์เจ้าเบิกตากว้างเพราะตนเพิ่งดื่มเข้าไปแค่ไม่กี่จิบเท่านั้น ไวน์ยังเหลือในแก้วตั้งเยอะแต่เขากลับรินให้จนเลยครึ่งแก้วขึ้นมา"พอแล้วค่ะ จะมอมกันหรือไง พี่ก็รู้ว่าจันทร์ดื่มไม่เก่ง"ชินดนัยมองเธอด้วยสายตาร้อนแรงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำพร่าว่า"พี่รู้ว่าจันทร์ดื่มไวน์ไม่เก่ง แต่เวลาที่จันทร์เมาจันทร์จะดูดน้ำอย่างอื่นได้เก่งมากเลย เพราะฉะนั้นพี่ก็ต้องมอมสักหน่อย"จันทร์เจ้าหน้าแดงขึ้นมาทันทีเพราะรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร หญิงสาวจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรที่จะเป็นการเข้าเนื้อตัวเองอีกชายหนุ่มมองสีหน้าขัดเขินของเธอแล้วก็นึกอยากพรมจูบไปให้ทั่วใบหน้า แต่เพราะเกรงว่าตนอาจจะไม่จบลงแค่จูบจึงได้แต่สะกดกลั้นความต้องการของตัวเองไว้ พลางหาเรื่องอื่นมา
มือของเขาเลื่อนขึ้นมาจนสัมผัสได้กับเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ ของกางเกงชั้นใน จากนั้นเขาก็จับเอวของเธอไว้แล้วผละออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองภาพความสวยงามที่หาได้ยากแบบนี้ให้เต็มตา"เซ็กซี่มากที่รัก พี่ชอบมากเลย"สายตาร้อนแรงของเขาราวกับจะแผดเผาเธอได้ ยอมรับว่าอายแสนอายจนรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นมากระจุกอยู่บนใบหน้า แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเป้ากางเกงของเขาก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะยังไม่ถึงหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ แต่ความพรักพร้อมของเขานั้นปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจันทร์เจ้าเอาแขนออกจากคอของชินดนัยแล้วดึงกระโปรงลง จากนั้นก็ใช้นิ้วเกี่ยวหูกางเกงของเขาพลางดึงเบา ๆ แล้วพูดว่า"ไปที่โต๊ะกันดีกว่าค่ะ จันทร์เพิ่งอุ่นเสร็จเมื่อกี้เอง ไวน์ก็เพิ่งเอามาแช่ใหม่ ถ้าไม่ดื่มตอนนี้เดี๋ยวน้ำแข็งจะละลายเสียก่อน"เธอดึงหูกางเกงของเขาเพื่อให้ชายหนุ่มเดินตามมาที่โต๊ะอาหาร ชินดนัยเดินตามอย่างว่าง่ายจนกระทั่งมาถึงโต๊ะจึงกดบ่าของเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้"เดี๋ยวจันทร์รินไวน์ให้นะคะ"หญิงสาวยิ้มหวานให้ก่อนหันหลังให้เขาแล้วเอื้อมหยิบขวดไวน์ที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ แต่เพราะชุ
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน แค่แจ้งชื่อของปกเกล้าก็จะมีพนักงานสาวสวยพาเขาไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ทันที"อ้าว ไอ้ปกยังไม่มาหรือ" ชินดนัยเห็นภาวินนั่งอยู่เพียงลำพังจึงถามถึงเพื่อนอีกคน"คงกำลังมาแหละมั้ง เห็นว่ามีเรื่องด่วนนิดหน่อย...ของพี่คนนี้โซดาอย่างเดียวนะจ๊ะ" ภาวินตอบพลางหันไปบอกกับบันนี่สาวที่มีหน้าที่ผสมเหล้าอยู่ข้างโต๊ะ"เฮ้ย...เรื่องด่วนที่ว่าหมายถึงเรื่องนี้เองหรือวะ" ชินดนัยยิ้มเจ้าเล่ห์พลางบุ้ยหน้าไปทางชั้นล่าง ภาวินจึงมองลงไปบ้างก็เห็นปกเกล้ากำลังจูงมือหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในคลับด้วยจะว่าไปแล้วน่าจะเรียกว่าฉุดลากกันมากกว่า เพราะดูจากท่าทางไม่เต็มใจของผู้หญิงที่ปกเกล้าพามาด้วยกันนั้นก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายถูกบังคับให้มาที่นี่"น่ารักดีว่ะ อย่างกับเด็กมหาลัย ไอ้ปกไปหามาจากไหนวะเนี่ย"ภาวินอดสงสัยไม่ได้เพราะปกติแล้วเวลานัดสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนสนิท จะไม่มีใครพาผู้หญิงมาด้วยเด็ดขาดเพราะกลัวงานกร่อย และกฎนี้ปกเกล้าก็เป็นคนตั้งขึ้นเองด้วยซ้ำแต่เจ้าตัวกลับทำผิดกฎเสียเอง"กูว่าคนนี้คงไม่ธรรมดาเว้ย มึงดูสิไอ้ปกเคยเป็นแบบนี้ที่ไหน ทำอย่างกับจับ
สุดท้ายแล้วจันทร์เจ้าก็ไม่ได้ซื้อของขวัญวันเกิดให้ชินดนัย ดังนั้นหลังจากที่รับประทานมื้อเที่ยงกับภัทรพลเสร็จแล้วเธอจึงกลับขึ้นไปบนออฟฟิศตามเดิม ทว่านั่งทำงานไปได้ไม่เท่าไร หญิงสาวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นทั้งเจ้านายและคนรักในห้องทำงานของเขา"จันทร์ขอลางานครึ่งวันนะคะพี่ชิน คุณแม่ติดธุระก็เลยไปรับหนูพราวที่โรงเรียนไม่ได้ค่ะ จันทร์เลยต้องไปรับแทน""งั้นหรือ...อืม งั้นก็ไปเถอะ ถึงบ้านแล้วโทร. หาพี่ละกัน พี่จะได้ไม่เป็นห่วง" เขายิ้มพลางกางแขนออกกว้าง หญิงสาวจึงอดค้อนให้เขาไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังเดินเข้าไปก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วโผไปซุกในอ้อมอกของเขาชินดนัยหอมขมับของเธออย่างแสนรัก หากแต่มือเจ้ากรรมก็ยังไม่วายซุกซน บีบบั้นท้ายของหญิงสาวเล่นอย่างเคยตัว ผลลัพธ์ที่ตามมาคือถูกเจ้าของบั้นท้ายหยิกเข้าที่เอวเต็มแรง"นิสัยไม่ดีตลอดเลยพี่ชินเนี่ย เผลอเป็นไม่ได้"จันทร์เจ้าบ่นให้เขาพลางผละออกห่างแล้วยืนเต็มความสูงตามเดิม จากนั้นก็เดินไปที่ประตูห้องทำงาน"จันทร์ไปก่อนนะคะ ถึงบ้านแล้วจะโทร. หาค่ะ" พูดจบก็เปิดประตูเดินออกไปจึงไม่ทันเห็นว่าใบ
ชายหนุ่มไม่แสดงท่าทีเอาอกเอาใจมากจนเกินไปอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งปฏิบัติต่อหญิงสาวที่ตนมีใจให้เพราะไม่ต้องการให้เธอรู้สึกอึดอัด ซึ่งนับว่าเป็นผลดีกับเขามากเพราะจันทร์เจ้าพูดกับเขาอย่างที่คุยกับคนรู้จักทั่วไป ไม่มีท่าทีปิดกั้นหรือระแวงจนเขาไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เธอทั้งคู่สั่งกับข้าวมาสามอย่าง หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วโทรศัพท์ของภัทรพลก็มีสายเรียกเข้า ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากเลขานุการของตนเขาจึงต้องกดรับเพราะหากไม่ใช่เรื่องสำคัญ เลขาฯ ของเขาจะไม่โทร. มาในเวลาพักเที่ยงอย่างนี้เป็นแน่"ผมขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะครับ" เขาพูดกับจันทร์เจ้าแล้วรีบลุกขึ้นก้าวเร็ว ๆ ออกจากร้านอาหารทันที จากนั้นก็เดินห่างออกไปจากหน้าร้านโดยเดินไปทางห้องน้ำเพราะตั้งใจจะเข้าไปทำธุระส่วนตัวด้วยชินดนัยเห็นผู้ชายที่อยู่กับแฟนสาวของตนกำลังเดินคุยโทรศัพท์ไปทางห้องน้ำ เขาจึงเดินอ้อมจากอีกด้านตามไปทันทีชายหนุ่มคนนั้นคุยโทรศัพท์เสร็จก็จัดการทำธุระส่วนตัว ส่วนชินดนัยก็ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างมือเพื่อรออีกฝ่ายอย่างใจเย็น จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินมาล้างมือในอ่างท
จันทร์เจ้ากลอกตามองเพดาน ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างหยอกเย้าจากเลขาฯ รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ใกล้กัน เธอก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ"ไม่รีบเข้าไป เดี๋ยวท่านประธานก็ออกมาตามด้วยตัวเองอีกหรอก"นันทิดาพูดจบก็หัวเราะคิกคัก เพราะท่านประธานหนุ่มไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่ตนมีต่อเลขาฯ ส่วนตัวคนนี้สักนิด ช่วงแรกที่จันทร์เจ้าคบหากับท่านประธานก็มีเพียงคนกันเองอย่างพวกตนที่เป็นเลขานุการด้วยกันเท่านั้นที่รู้แต่หลังจากที่มีโปรแกรมเมอร์หนุ่มคนใหม่เข้ามาทำงานที่บริษัทแล้วแสดงออกว่าสนใจเลขาฯ ของท่านประธานจนถึงขนาดเอ่ยปากชวนไปเลี้ยงข้าวกลางวัน ซึ่งพอเรื่องนี้เข้าหูผู้เป็นเจ้านายอย่างชินดนัย ท่านประธานหนุ่มก็แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างออกนอกหน้าทันทีโดยไม่สนใจว่าพนักงานคนอื่นจะมองอย่างไรทั้งเดินจูงมือจันทร์เจ้า บางคราวก็โอบไหล่โอบเอว แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามเอ่ยปากเตือนหลายครั้งแต่ท่านประธานก็ยังคงทำตามใจตัวเองเรื่องนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว และพนักงานทุกคนก็รับรู้กันถ้วนหน้าว่าท่านประธานกับเลขาฯ ส่วนตัวนั้นกำลังคบหาดูใจกันอยู่ นานวันเข้าจากที่ทุกคนเคยตื่นเต้นกับเรื่องนี้ก็เร