เหล่านางกำนัลขันทีที่ได้ยินองครักษ์หนุ่มกล่าวเช่นนั้น ต่างพากันหัวเราะด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดูคนตรงหน้าที่เพิ่งเข้าวังมาไม่กี่ปีจึงได้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดเลยแม้แต่อย่างเดียว
ไสยศาสตร์ทั้งหลายไม่มีวันกล้ำกรายมายังพระราชวังแห่งนี้เด็ดขาด...
ด้วยเคยเกิด 'เหตุภัยพิบัติจากกู่จินฉาน' ซึ่งเกิดขึ้นนับตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นไปห้าพระองค์ มหาเสนาบดีแห่งต้าเจวียนในขณะนั้นร่วมมือกับนางสนมที่มาจากชนเผ่าหลี่เจิน ทำคุณไสยกู่แก่ฮ่องเต้และนำหลักฐานทั้งหมดใส่ความรัชทายาทและชายา รัชทายาทคิดแก้ต่างแต่ไร้ผล จึงทำให้ตัดสินใจรวมมือกับฮองเฮาผู้เป็นพระราชมารดาและแม่ทัพผู้ถือครองตราพยัคฆ์อีกส่วนนำตราพยัคฆ์ของฝ่าบาทเรียกกำลังส่วนตัวออกมาเพื่อหมายก่อการกบฏ แม้ท้ายที่สุดแล้วจะมีการไต่สวนหาคนที่กระทำผิดมาลงโทษจนได้ ทว่าก็มีคนหลายร้อยคนต้องสังเวยชีวิตไปในระหว่างการสอบสวนครั้งนี้ รวมถึงรัชทายาทที่ถูกปลด ฮองเฮาถูกปลดจากภาระหน้าที่ ใช้ตำหนักของตนปิดประตูตายราวตำหนักเย็น ไม่สามารถก้าวออกมาจากตำหนักตราบจนสิ้นอายุขัย
อาจจะมองว่าเหมือนแพะหายแล้วเสริมคอก (ความหมายเดียวกับวัวหายแล้วล้อมคอก) และงมงาย แต่ก็ได้มีการสร้างอารามขึ้นในส่วนหน้าของพระราชวังไว้อย่างยิ่งใหญ่ตระการตา อีกทั้งมีเถระชั้นผู้ใหญ่และเชื้อพระวงศ์ที่ออกบวชร่วมสวดมนต์ชำระล้างอาถรรพ์และคุณไสยทั้งหลายที่อาจปะปนเข้ามาในวังหลวงปีละหนึ่งครั้ง อีกทั้งยังมีการตรวจตราวัตถุดิบและข้าวของเครื่องใช้ที่จะนำเข้ามาถวายในวังอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดถ้าสามารถนำมาประกอบเป็นพิธีไสยศาสตร์ได้จะถูกริบไปทำลายสิ้นและผู้ที่นำมาจะถูกลงโทษสถานหนักโดยไม่มีการอุทธรณ์หรือยกเว้นแต่ประการใด
ด้วยการรักษาการณ์และบทลงโทษที่เข้มงวดเช่นนี้ทำให้ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาในวังหลวงทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในสงบสุขมีแต่สิริมงคล สิ่งชั่วร้ายอันใดจึงมิอาจเข้ามากล้ำกรายทำอันตรายเชื้อพระวงศ์รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในกำแพงวังหลวงแห่งนี้
............
หลังจากที่ฮ่องเต้ออกจากท้องพระโรงอย่างกะทันหันพร้อมพระสนมใหม่ที่เพิ่งเข้าถวายตัว พระองค์ใช้พระหัตถ์กุมมือขาวเนียนของจินฉานเดินมายังตำหนักปีกใกล้ห้องทรงพระอักษร พร้อมกับไล่ให้ขันทีที่ประจำให้ออกไปเพื่อความเป็นส่วนตัว เมื่ออยู่กันสองต่อสอง ฮ่องเต้ยังกุมมือของนางเอาไว้พลางเอ่ย "เราเห็นเจ้าครั้งสุดท้ายก็เมื่อหกปีก่อน ตอนที่เราประพาสที่ป๋ายอี้พร้อมกับเจ้าห้า...อู่เฉิงหวัง"
จินฉานยิ้มละไมตอบ "เพคะ หม่อมฉันจำได้"
"ตอนนั้นเจ้ายังเป็นเด็กน้อยแสนซนที่เคยติดตามข้ากับบิดาของเจ้าออกล่าสัตว์ด้วยกันอยู่เลย แล้วตอนนี้ดูเจ้าสิ ลูกหมูน้อยในตอนนั้นหายไปไหนเสียแล้ว" เขากวาดตามองสตรีตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
"ฝ่าบาทเคยเรียกหม่อมฉันว่าลูกหมู เพราะตอนยังเด็กหม่อมฉันใบหน้าอ้วนกลมเหมือนพระจันทร์ รูปร่างแขนขาก็เป็นข้อเป็นปล้องเหมือนกับรากบัว ซ้ำยังเคยอาจหาญแย่งเครื่องเสวยของฝ่าบาทไปกินหน้าตาเฉยจนท่านพ่อของหม่อมฉันลงโทษให้ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนพร้อมทั้งงดมื้อเย็น..."
"แล้วตอนนี้ล่ะ ยังเป็นลูกหมูอยู่หรือไม่?" มืออุ่นบีบกระชับที่มือนุ่มนิ่ม จินฉานเพียงอมยิ้มเอียงอายไม่ตอบคำอยู่อึดใจ จึงพึมพำตอบเสียงเบาประดุจยุงดูเง้างอดน่าเอ็นดู "ฝ่าบาท..."
ฮ่องเต้ทรงพระสรวลอย่างอารมณ์ดีอย่างยิ่ง เขาเลื่อนมือขึ้นไปจับแขนเรียวนั้นลูบไปมา ท่าทีเอื้อเอ็นดูอย่างยิ่ง “ส่วนมากสนมของต้าเจวียนจะเริ่มต้นจากตำแหน่งฟูเหรินที่เป็นตำแหน่งที่ต่ำที่สุด ทว่าเจ้าหาใช่ธิดาสามัญชนหรือธิดาขุนนางต่ำต้อย เจ้าเป็นถึงองค์หญิงจากป๋ายอี้ ดังนั้นตำแหน่งของเจ้าคือเหม่ยเหริน มอบนาม อี๋ (宜) เจ้าชอบหรือไม่?”
“อี๋ ที่แปลว่าทำให้เบิกบานและสบายใจหรือเพคะ?” เด็กสาวเอียงคอเล็กน้อย ท่าทีดูไร้เดียงสา ทว่าดวงตากลมโตวาววับกลับจับจ้องมาที่ฮ่องเต้ “หม่อมฉันจะเป็นผู้ที่ทำให้ฝ่าบาทเบิกบานพระทัยแน่หรือเพคะ”
“แน่นอน หน้าตาหมดจดงดงาม ผู้ใดได้เห็นย่อมเกิดรักและเอ็นดู ดูอย่างเราสิ แค่เห็นหน้าเจ้า เราก็รู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูกแล้ว” เขายกมือนุ่มหมายจุมพิต แต่ยังไม่ทันที่ริมฝีปากจะได้แตะหลังมือนวลเนียน ก็มีขันทีจากตำหนักใหญ่ขอเข้าเฝ้า "กราบทูลฝ่าบาท บัดนี้ได้เวลาที่จิน...ไม่สิ อี๋เหม่ยเหรินต้องไปเข้าเฝ้าถวายความเคารพฮองเฮาและฮองไทเฮาแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
ขันทีผู้นั้นเฉลียวฉลาดสักปานใด เพียงได้ยินเขาพระราชทานตำแหน่งและราชทินนามให้กับจินฉานไม่ทันจบคำ เขาก็เอ่ยเรียกจินฉานตามตำแหน่งได้อย่างถูกต้องเหมาะสมทันทีทันใด ฮ่องเต้ถึงกับอดเอ่ยหยอกเย้าไม่ได้ “หลีฮุ่ย เจ้านี่ช่างสมกับเป็นคนในวังหลวงโดยแท้”
หลีกงกงพยักหน้ารับ จากนั้นฮ่องเต้จึงหันกลับไปมองจินฉานอีกครั้ง "เช่นนั้นเจ้าไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่ตำหนักปีกขวาก่อน ข้าให้นางกำนัลเตรียมเสื้อผ้าของแคว้นนี้เอาไว้ให้แล้ว โบราณว่า 'เข้าถิ่นตามธรรมเนียม' ในเมื่อเป็นผู้หญิงของเรา ย่อมเป็นคนของแคว้นเรา ต่อไปในภายภาคหน้าจะได้อยู่ร่วมกับเหล่าพี่น้องสนมนางในได้อย่างราบรื่น"
เด็กสาวเพียงส่งรอยยิ้มหวานล้ำ พลางย่อกายกล่าวขอบพระทัยแผ่วเบา โอรสสวรรค์ประคองแขนนางให้ลุกขึ้น ท่าทีทะนุถนอมเจ็ดส่วน เอ็นดูสามส่วน ความรู้สึกสองอย่างนี้หลอมรวมให้ฮ่องเต้ที่ก้าวเข้าสู่วัยกลางคนรู้สึกมีกำลังวังชาอย่างน่าประหลาด คล้ายกลับไปเด็กหนุ่มวัยแรกสวมกวานอีกครั้ง
ทรัพย์ศฤงคาร...ลาภยศ...หญิงงาม...เขาล้วนได้ครอบครองโดยสิ้นอย่างง่ายดาย...ต่างจากน้องชายผู้อับโชคของเขา ที่นอกจากจะเสียสิทธิ์เสียโอกาสในการครองบัลลังก์...สตรีที่รักยังตกเป็นของเขา...แม้กระทั่งชีวิต...ก็ต้องทิ้งเอาไว้ที่ห่างไกลอย่างสยดสยอง น่าสังเวชยิ่งกว่าเศษขยะ...เรียกได้ว่าเป็นบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยโชคลาภและอำนาจวาสนาเช่นเขานั้นไม่มีอีกแล้ว
.........
ในเมื่อไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติม คำพูดเมื่อครู่จึงคล้ายกับสายลมที่ผ่านเลย จินฉานจ้องมองมือขาวเนียนดั่งหยกมันแพะเนื้อเย็นที่ขยับเชือกถักอย่างคล่องแคล่ว ไม่ช้าไม่นานก็กลายเป็นรูปลักษณ์คล้ายกงล้อของเกวียน ที่ใช้กันในศาสนาพุทธนิกายมหายานซึ่งนางเคยเห็นที่อารามหลวง จินเฟยเห็นอีกฝ่ายดูสนอกสนใจจึงอธิบายเสียงนุ่ม “นี่คือเงื่อนฝ่าหลุน (เงื่อนธรรมจักร) อันนี้องค์ชายเจ็ดเพิ่งมาขอให้ตัวข้าทำเป็นพู่ห้อยกระบี่แทนอันเก่าที่ขาดไป ฝ่าหลุนคือธรรมจักร คือกงล้อแห่งธรรม ข้าให้เขาห้อยติดที่ด้ามกระบี่เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าคราใดที่ชักกระบี่ออกมาให้ใช้พระธรรมนำทาง ใช้กระบี่เพื่อผดุงคุณธรรม อย่าได้หลงตกไปในห้วงแห่งกิเลสอันได้แก่ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นอันขาด”จินฉานพยักหน้า “อาหญิงใส่ใจบุตรธิดาอย่างยิ่ง แม้แต่เงื่อนเชือกนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังมีความหมายเป็นนัยลึกซึ้งเช่นนี้ ถ้าอาหญิงมีเวลา ใคร่อยากให้ท่านช่วยสอนข้าผูกเงื่อนฝ่าหลุนด้วยได้หรือไม่” เมื่อเห็นจินเฟยพยักหน้าตอบรับจึงหยิบเชือกเงื่อนอีกชิ้นหนึ่งที่ประดับหยกลายสิงโตแม่ลูกขึ้นมาดู “แล้วเงื่อนนี้ล่ะเพคะ”“เรียกว่าเงื่อนจี๋เสียง สื่อถึงโชคลาภและความสงบสุข หม่
วันรุ่งขึ้น หลังจากเสร็จสิ้นการถวายบังคมช่วงเช้า ฮองเฮาตัดสินใจรั้งตัวเหล่าสนมนางในเพื่อปรึกษาหารือกันในงานเทศกาลตวนอู่ที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า “จริงอยู่หน้าที่ในการจัดเตรียมงานส่วนใหญ่จะเป็นตัวข้า หลิวกุ้ยเฟย และจินเฟย ร่วมกันเป็นแม่งานกำกับฝ่ายพิธีการ แต่ตัวข้าเองก็อยากให้เหล่าสนมนางในมีส่วนร่วมทำให้งานครึกครื้น นอกจากจะมีการร่วมกันทำขนมโร่วจ้งรสชาติแปลกใหม่ให้ฝ่าบาทและหวงไทโฮ่วเสวยแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้มีการจัดการแสดงเล็กน้อย ถ้าน้องหญิงคนใดมีความสามารถในการขับร้องร่ายรำสามารถเข้าร่วมได้ทันที มิต้องเกรงใจ”เหล่าบุปผางามต่างขานรับด้วยท่าทีกระตือรือร้นแข็งขัน จากนั้นจึงมีเสียงสนทนาแผ่วเบาแต่ไพเราะปานนกการเวกกล่าวถ้อยวาจาซักถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานพอเป็นพิธี ฮองเฮามองเห็นเช่นนั้นก็ให้พึงพอใจอย่างยิ่ง การสนทนาดำเนินไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาจึงมีรับสั่งให้เหล่าสนมนางในแยกย้ายกลับตำหนักของตนจินเฟยก้าวออกจากตำหนักเฟิ่งหวงโดยมีนางกำนัลประคองอยู่ไม่ห่าง มิคาดว่าผู้ที่เดินตามหลังมาโดยทิ้งระยะห่างอย่างเหมาะสมจะเป็นอี๋เหม่ยเหริน จินฉาน นางหยุดเดินแล้วหันกลับมามองเด็กสาวที่ย่อกายทำคว
“พระสนมอย่าล้อหม่อมฉันเล่นเช่นนี้เลยเพคะ” ชุนเยี่ยนกล่าวเสียงแผ่วค่อย จินฉานได้แต่เพียงอมยิ้มไม่หยุด ก่อนจูงมือปี้อันมา แล้วป้ายชาดทาปากสีเดิมให้อีกครั้ง “ปี้อัน เจ้าก็ด้วย ทำหน้าหวาดกลัวรังเกียจเช่นนั้นกับของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้เห็นทีคงไม่เหมาะกระมัง หรือว่าเจ้าคิดว่าเครื่องประทินโฉมเหล่านี้ทำด้วยวิธีการเดียวกับที่ตัวข้าเล่าให้ฟังกัน เหลวไหลเสียจริง ข้าแกล้งเล่านิทานขู่ให้พวกเจ้ากลัวเข้าหน่อยก็เชื่อกันเป็นตุเป็นตะขนาดนี้ ใช้ได้ที่ไหน”“ถ้าเป็นแค่นิทาน หม่อมฉันก็คงต้องขอชมพระสนมจากใจจริงเลยว่าพระองค์ช่างเล่าได้สมจริงอย่างยิ่ง...สมจริงราวกับเห็นกับตา” เฉิงฮวานย่อกายคารวะอย่างอ่อนน้อม แสดงท่าทีถึงความนับถือ นี่นางยังไม่แน่ใจตนเองเลยว่าหลังจากฟังเรื่องที่เจ้านายนางเล่าแล้วจะกลับไปนอนหลับได้ลงหรือไม่ทว่าชุนเยี่ยนกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น มีสัญญาณบางอย่างในกายร้องเตือนว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคือเรื่องจริง...ขณะที่เจ้านายของนางเล่าก็มีภาพเลือนรางไม่ปะติดปะต่อแล่นผ่านเข้ามาในหัวตลอดเวลาจนถึงขนาดอุปาทานไปว่าตนเองได้กลิ่นศพเหม็นเน่าลอยโชยเข้าจมูกจนทำให้สีหน้าของนางย่ำแย่จนแทบดูไม่ได้ แต่พอนึกอะไรออก
เมื่อจินฉานและชุนเยี่ยนกลับถึงตำหนักผิงอัน กล่องสีแดงกำมะหยี่และหีบใบเล็กจำนวนหนึ่งก็วางอยู่จนเต็มโต๊ะที่ไว้สำหรับรับประทานอาหาร มีปี้อันที่ส่งเสียงอือๆ อาๆ พยายามจะอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จนเฉิงฮวานต้องสะกิดเตือนแล้วรายงานแทน “เมื่อครู่คนจากตำหนักใหญ่นำของพระราชทานจากฮ่องเต้มาเพคะ นัยว่าเป็นของรางวัลที่นายหญิงทำพระเขนยถวายฝ่าบาท”จินฉานอมยิ้มจาง พลางนั่งลงที่กี๋กระเบื้องเคลือบลวดลายวิจิตรเบื้องหน้ากล่องและหีบกองโต นางเลือกเปิดหีบไม้สลักลายดอกเหมยใบหนึ่ง พบว่าเป็นตลับกระเบื้องเคลือบบรรจุแป้งหอมนานาชนิด ทั้งแป้งหอมโม่ลี่ แป้งจื่อเฟิน แต่ละตลับส่งกลิ่นหอมจรุงแต่ไม่ฉุนจัด อีกทั้งยังมีชาดทาปากทั้งแบบผสมขี้ผึ้งบรรจุตลับกระเบื้องหลากสีสันและเป็นกระดาษชาดแบบที่ใช้แนบเม้มริมฝีปากอิ่มแยกเอาไว้ในกล่องเล็กๆ ต่างหาก นอกจากนี้ยังมีโต๊ะเครื่องแป้งที่เมื่อเปิดประตูออกก็จะมีตุ๊กตารูปนางกำนัลตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูสองมือถือถาดเทินหวี สือไต้เขียนคิ้ว และน้ำปรุงดอกเหมยกุ้ยจากป๋อสื่อเคลื่อนด้วยลานมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ปี้อันที่ยังเด็กดูตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ส่วนเฉิงฮวานเห็นเช่นนั้นก็ให้อมยิ้ม “โต๊ะเครื่องแป
หลังจากปลุกปลอบกันอยู่ครู่หนึ่ง พอท่าทีหวงไทโฮ่วคลายเศร้าโศกได้จึงขอทูลลากลับ ระหว่างที่ประคองผู้เป็นนายเดินไปตามเส้นทางสายยาวของราชอุทยาน ชุนเยี่ยนครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักหรูหลาน คลับคล้ายว่าสิ่งที่จินฉานและหวงไทโฮ่วสนทนากันในวันนี้มีส่วนที่นางคลับคล้ายจะเข้าใจและไม่เข้าใจ ส่วนที่เหมือนจะเข้าใจนั้นก็ดั่งมองผ่านม่านหมอกเลือนราง ไม่อาจจับต้นชนปลายได้ ยิ่งพยายามเค้นสมองคิดยิ่งรู้สึกปวดศีรษะอย่างยิ่งจนต้องเอามือนวดขมับตนเองเบาๆ จินฉานเห็นดังนั้นจึงหยุดเดิน แล้วปรายตามองอีกฝ่ายเงียบๆ ชุนเยี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงพยายามทำตนให้เป็นปกติ “ขออภัยเพคะ หม่อมฉันจู่ ๆ ก็รู้สึกเวียนศีรษะ...”จินฉานได้ยินเช่นนั้นก็อมยิ้ม ส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่เป็นไร อากาศที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา อีกทั้งเมื่อครู่เจ้ายังเจอเรื่องชวนให้สับสนอีก จะปวดศีรษะก็ไม่แปลก วันนี้เรากลับตำหนักเร็วหน่อย ข้าจะให้ปี้อันต้มยาให้เจ้าดื่ม และพักผ่อนเสีย ข้าอนุญาตให้เจ้าลาหยุดหนึ่งวัน ไม่ต้องมาปรนนิบัติตัวข้า”ชุนเยี่ยนได้แต่พยักหน้าขอบพระทัยเงียบ ๆ ก่อนที่จะถูกจินฉานเร่งฝีเท้าให้รีบเดิน จนกลายเป็นว่านางถูกเจ้านายของนางจูงมือกลับเข
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวปานดอกไม้ที่ขาดคนรดน้ำดูแลรักษาพลันค่อยๆ ผลิบานพองฟูอย่างเป็นสุข เนิ่นนานนับปีที่พระนางต้องอยู่อย่างหน้าชื่นอกตรม ฝั่งหนึ่งได้รับการสรรเสริญเยินยอจากประชาและเหล่าขุนนางว่าเป็นมารดาที่คำนึงถึงความถูกต้อง แม้นว่าสายเลือดของตนจะทำผิดแต่ก็ไม่คิดคัดค้านฮ่องเต้ที่เป็นโอรสในการมีราชโองการลงทัณฑ์พระอนุชา ดำรงตนเป็นแบบอย่างของมารดาผู้มีคุณธรรม แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเบื้องหลังฉากนั้นพระนางก็ไม่ต่างกับมารดาที่หัวใจสลายคนหนึ่งที่ต้องเห็นบุตรคนหนึ่งสังหารบุตรอีกคนหนึ่งโดยที่ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้เลยพระนางบีบมือจินฉานตอบ “เด็กดี เด็กประเสริฐ ขอแค่เพียงเจ้าเชื่อว่า อู่เฉิงหวัง หลี่หยวน เป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าก็ไม่เสียใจอีกแล้ว”“ดูจากท่าทีของท่าน คิดเรื่องนี้คงมีเรื่องไม่ชอบมาพากล” จินฉานเอ่ย หวงไทโฮ่วถอนใจแช่มช้า มองสือม่านถัวนำถ้วยน้ำชาที่เริ่มเย็นชืดเพราะไม่ได้แตะต้องไปเปลี่ยน “ชอบมาพากลก็ดี ไม่ชอบมาพากลแล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อฮ่องเต้เชื่อในหลักฐานที่คนเหล่านั้นนำมาถวาย ในบ้านนี้เมืองนี้ ถ้าฮ่องเต้เชื่อสิ่งใด เหล่าขุนนางก็จำต้องคล้อยตาม ประจบเอาใจดั
“หวงไทโฮ่วอันใดกัน เรียกข้าว่าเสด็จแม่เถิด” นางยิ้มเอ่ย จินฉานเฉลียวฉลาดสักปานใด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา “เชิญเสด็จแม่เสวยพระสุธารสชาเพคะ”หวงไทโฮ่วรับถ้วยชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง จากนั้นจึงส่งถ้วยชาให้สือม่านถัวที่พยายามทำความเข้าใจกับสตรีที่รู้จักและไม่รู้จักทั้งสองคนอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังคงเก็บกักอารมณ์ของตนเองไว้ในดวงหน้าเรียบเฉยได้ แล้วจึงยืนอยู่รับใช้อย่างสำรวม มองทั้งคู่ที่นั่งอยู่เคียงกันประหนึ่งสะใภ้และแม่สามีที่รักใคร่ปรองดองครอบครัวหนึ่ง แล้วจึงมองเจ้านายของตนใช้มืออวบอิ่มที่สวมแหวนและกำไลหยกเขียวเข้มที่ข้อมือยกขึ้นเชยคางของจินฉานอย่างรักใคร่เอ็นดูอย่างยิ่ง “เจ้าคือจินฉานสินะ งามสมกับที่บุตรชายข้าเคยเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิจริงๆ”“ท่านผู้นั้นกล่าวเกินจริงไปเสียหน่อย หม่อมฉันจะงามอย่างไรก็มิอาจเทียบเสด็จแม่ ฮองเฮา กับบรรดาสนมนางในที่อยู่ ณ ที่นี้หรอกเพคะ”“งามแล้วอย่างไร ภายใต้รูปลักษณ์งดงามปานเทพธิดา แต่บทสนทนาที่แลกเปลี่ยน และกิเลสที่อยู่ในร่างแต่ละนางช่างน่ากลัว วันๆ ดีแต่มีความคิดช่วงชิงความโปรดปราน ทั้งหน้าซื่อใจคด ทั้งปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ พวกนางก็มีต่างกับอส
หลังจากรอให้จินฉานทำธุระที่ตำหนักอันผิงจนเสร็จเรียบร้อย สือม่านถัวจึงนำทางไปยังตำหนักหรูหลานอันเป็นที่พำนักของหวงไทโฮ่ว ตำหนักแห่งนี้ห่างไกลจากตำหนักสนมนางในเยาว์วัย แต่กลับใกล้กับบรรดาตำหนักของเหล่าไท่เฟย ทำให้เสียงเจื้อยแจ้วปานนกกระจอกแตกรังของเหล่าหญิงสาวมิอาจรบกวนพระนาง แต่ในขณะเดียวกันกลับใกล้กับตำหนักของเหล่าไท่เฟยที่เคยสนิทกันกับหวงไทโฮ่วตั้งแต่สมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังสามารถไปมาหาสู่ได้โดยสะดวก บรรยากาศภายนอกร่มรื่น มีเหมยขาวและเหมยเขียวกำลังชูช่อบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมจรุงไปทั่วเมื่อจินฉานและชุนเยี่ยนมาถึง นางกำนัลอาวุโสจึงขอตัวไปรายงานกับหวงไทโฮ่ว จินฉานเพียงรับคำอย่างสงบ แล้วใช้เวลาระหว่างนั้นชมความงามของตำหนักไปพลางๆ จนสายตาไปสะดุดกับตัวอักษรแถวหนึ่งที่เขียนด้วยหมึกทอง นางอมยิ้ม “ที่แท้ชื่อตำหนักของหวงไทโฮ่วมาจากประโยคนี้”“ตัวอักษรแถวนั้นหรือเพคะ?” ชุนเยี่ยนถึงแม้ร่ำเรียนภาษาต้าเจวียนมา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบทสนทนาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และคำพูดในรั้วในวังที่จำเป็น ส่วนบทกลอนกวีของต้าเจวียนนั้นนางไม่กระดิกสักเรื่อง จะไม่เข้าใจก็ไม่แปลกจินฉานพยักหน้า “ประโยคนั้นอ่านว่า หรูหลานจ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม การสวดมนต์จึงเสร็จสิ้น เซวียนเฟยดูมีท่าทีที่มีความสุขเหลือประมาณ จินฉานมองเซวียนเฟยและอู่คงสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง เซวียนเฟยจึงหันไปทางจินฉาน ท่าทีเกรงอกเกรงใจหลายส่วน “อี๋เหม่ยเหริน พอดีว่าวันนี้ข้าจะอยู่สนทนาธรรมกับต้าซือต่อ ถ้ารั้งให้น้องอยู่ต่อ ข้าเองก็เกรงใจนัก ถ้าเจ้ามีธุระอันใดที่ต้องกลับไปจัดการก็สามารถกลับไปก่อนได้เลย มิต้องรอข้า”จินฉานเอ่ยปากหมายจะปฏิเสธ ทว่าเมื่อจ้องลึกเข้าไปในแววตาของเซวียนเฟย กลับพบนัยยะบางอย่าง ในใจร้องเตือนนางว่าไม่สมควรอยู่ต่อ จึงคลี่ยิ้มอ่อนหวานเอ่ย “ถ้าไม่ได้พี่หญิงเตือน หม่อมฉันคงลืมแล้ว ช่วงสายวันนี้จินเฟยเชิญหม่อมฉันไปตำหนักหรูอี้เพื่อเป็นเพื่อนเดินหมากกับพระนาง นี่ก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว หม่อมฉันคงต้องขอทูลลา และขอขอบพระทัยเซวียนเฟยที่ชวนหม่อมฉันมายังอารามหลวงแห่งนี้เพคะ”เซวียนเฟยเพียงพยักหน้ารับคำ ดวงตาคู่งามมองส่งสตรีอ่อนเยาว์ที่ติดตามนางมา ก่อนหันไปสนทนากับอู่คงต่อ...“พระสนม หม่อมฉันมิเห็นจำได้ว่าพระนางจินเฟยชวนพระสนมไปเดินหมากนะเพคะ” ชุนเยี่ยนย่นคิ้วขณะประคองแขนจินฉานเดินออกจากอาราม เด็กสาวหันไปยิ้ม แล้วเอ่ย “เจ้านี่ช่างไม่รู