รัชศกอันหย่งที่ 15 แห่งต้าเจวียน เกิดสงครามระหว่างต้าเจวียนและป๋ายอี้ อาณาจักรเล็กๆ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของชนเผ่าหลายชนเผ่า ซึ่งเป็นรัฐบรรณาการของต้าเจวียนมาแต่โบราณ ด้วยเหตุจากที่ผู้นำแห่งป๋ายอี้ จินเช่อ ได้นำป๋ายอี้เอาใจออกห่างต้าเจวียน สวามิภักดิ์กับแคว้นเหลียนที่อยู่ใกล้กัน ต้าเจวียนจึงส่ง อู่เฉิงอ๋อง อนุชาของฮ่องเต้มาเป็นทูตเจรจาและตักเตือนเพื่อให้เปลี่ยนใจ แต่ป๋ายอี้กลับสังหารอู่เฉินอ๋อง ฮ่องเต้เลือดขึ้นจึงกองทัพนับแสนปราบปรามป๋ายอี้
ทว่าดั่งไข่กระทบหิน...ผลที่ได้คือความย่อยยับอัปราชัยของอาณาจักรป๋ายอี้ที่แข็งข้อ กระนั้นการศึกสงครามดำเนินไปอย่างโหดเหี้ยมทารุณ เลือดนองถั่งท้นพสุธา ได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ชายถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี สตรีและดรุณีวัยแตกเนื้อสาวถูกทหารย่ำยี เด็กน้อยตาดำๆ พลัดพรากจากอกบิดามารดา บ้านเมืองเสียหายมหาศาลมิอาจประเมินค่า อาณาประชาราษฎร์แตกกระสานซ่านเซ็นราวแมลงวันที่ไร้หัว เรียกว่าจวนเจียนจะล่มสลายสิ้นชาติ
ในรัชศกอันหย่งที่ 17 ผู้นำแห่งป๋ายอี้ที่สู้จนสุดทางถอยอับจนหนทาง จำยอมกลืนเลือดลงคอ กลืนความอัปยศยอมสวามิภักดิ์ต้าเจวียนตามเดิม เพื่อความสงบสุขของป๋ายอี้ โดยครานี้ป๋ายอี้ต้องส่งบรรณาการเพิ่มเป็นสองเท่า ทั้งมณีรัตนชาติ งาช้าง แพรไหม เครื่องเทศสมุนไพร ทองคำ ที่ทางต้าเจวียนขูดรีดจากอาณาจักรที่เฉียดล่มสลายราวรีดเลือดจากปู...
แต่อันใดมิเหยียดหยามทำร้ายทำลายจิตใจได้เท่าการส่งองค์หญิงจินฉาน พระธิดาสุดที่รักของจินเช่อที่ต้องถวายตัวเป็นสนม
ขณะนั้นองค์หญิงเพิ่งอายุได้สิบแปดพรรษา ถ้าเปรียบเป็นดอกไม้ก็เป็นเพียงดอกตูมเต่งที่กลีบเพิ่งขึ้นสีระเรื่อรอวันผลิบาน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพิ่งได้รับรู้รสชาติอันหอมหวานของแรกรัก...กลับถูกพรากมาอยู่ในดินแดนที่นางรู้จักเพียงในตำราแผนที่ที่บิดาเคยวางทิ้งไว้ เป็นอาณาจักรที่นางมิเคยจะไปเหยียบย่างไปแม้แต่น้อย
............
วันที่พระสนมคนใหม่เข้าวัง ข้าราชบริพารในวังได้มีโอกาสติดสอยห้อยตามเหล่ากูกูมาแอบดูพระราชพิธีด้วย แม้อากาศจะหนาวเย็นเนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูหนาวเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็ไม่อาจห้ามความอยากรู้อยากเห็นของบรรดานางกำนัลขันทีไปได้
ขบวนบรรณาการของป๋ายอี้ปีนี้ดูยิ่งใหญ่อลังการ ไม่เหลือเค้าของอาณาจักรที่เพิ่งผ่านพ้นสงครามอันยาวนาน ริ้วธงหลากสีสดใสปลิวไสวท้าสายลมเหน็บหนาว บุรุษแต่งกายแปลกตา บางส่วนเปลือยท่อนบนอวดกล้ามเนื้อสมส่วน มีเพียงสายทองคำคล้องไหล่สะพายแล่ง มีทับทิมแดงเม็ดโตประดับเด่นสะดุดตา อีกทั้งกางเกงที่สวมก็ดูแปลกตาเกินกว่าที่จะได้เห็นได้จากแผ่นดินต้าเจวียน ทางด้านสตรีของป๋ายอี้เองก็การแต่งกายก็ประหลาดไม่ต่างกัน ล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแปลกตา โดยเฉพาะองค์หญิงจินฉาน นางสวมเสื้อป้ายแขนกระบอกสีชมพูอ่อนที่ใช้เชือกผูกแทนกระดุมยาวคลุมสะโพกพอดีตัว ขับเน้นส่วนสัดที่อกอัดเอวคอด กระโปรงก็ไม่ได้ยาวลากพื้นแบบที่สตรีชนชั้นสูงของต้าเจวียนนิยมใส่ กลับเป็นกระโปรงทรงแคบยาวกรอมเท้าที่ขมวดเป็นปมด้านหน้า คาดด้วยเข็มขัดทองที่ฉลุลวดลายสวยงามตระการเพื่อไม่ให้เลื่อนหลุด ยามที่เคลื่อนไหวชายกระโปรงแหวกออกเล็กน้อยเผยให้เห็นเท้าเปล่าเปลือยขาวเนียนและกำไลข้อเท้าทองคำเนื้อสุกปลั่งเส้นหนาไม่แพ้กำไลข้อมือ ทั้งกำไลทองเนื้อเกลี้ยงและกำไลเกลียวแปลกตา ทั้งๆ ที่การแต่งการนั้นอลังการสมฐานะ แต่ทรงผมกลับขมวดมุ่นเป็นมวยสูงปักปิ่นดอกไม้ไหวทำจากทองคำตีแผ่แผ่นบางเฉียบราวกระดาษประดิษฐ์เป็นช่อดอกไม้รับกับใบหน้าขาวเนียนดั่งหยกขาวมันแพะ ดวงตากลมโตสีดำสนิท ขนตายาวงอน จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากแดงระเรื่อดั่งสีอิงเถา ในมือขององค์หญิงถือภาชนะหน้าตาประหลาดประดับด้วยดอกไม้ที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนนางกำนัลที่ตามหลังถือภาชนะเดียวกัน แต่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับพืชพรรณที่ข้าก็ไม่รู้จักอีก ดูจากสีน่าจะทำด้วยเงินและทอง
ยอมรับว่าแม้เป็นสตรีก็ยังอดตกหลุมรักนางมิได้ องค์หญิงจินฉานผู้นี้นั้นนับว่าเป็นสาวงามหาตัวจับยากมิแพ้นางสนมในวังหลวงเลยแม้แต่น้อย
.....
เมื่อองค์หญิงจินฉานเข้ามาถึงท้องพระโรง นางกำนัลขันทีที่ต่ำต้อยไม่อาจตามเข้าไปดูได้ ว่าภายในเกิดอะไรขึ้นอีก ดังนั้นเรื่องราวต่อจากนี้เป็นสิ่งที่ได้ฟังมาจากราชองครักษ์ที่เฝ้าหน้าตำหนักท้องพระโรง
เขาเล่าให้ฟังว่า ตอนที่องค์หญิงจินฉานเข้ามาในท้องพระโรง เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ต่างจ้องนางตาไม่กะพริบ ซึ่งคนเหล่านั้นต่างแอบลงความเห็นว่าท่าทางของพวกเขาไม่ได้จ้องมองเพราะว่านางเป็นผู้ที่ถูกส่งมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของป๋ายอี้ที่ร้าวฉานให้สมานดังเดิม หากแต่จ้องมองอย่างเผลอไผลหลงใหลราวกับชายหนุ่มที่จ้องมองสตรีผู้เป็นที่รัก ยามที่นางและคณะผู้ติดตามวางเครื่องบรรณาการก็ไม่ได้คุกเข่าคารวะ หากพับเพียบหมอบราบมือประสานไว้เบื้องหน้าแสดงถึงความจงรักภักดีและการสวามิภักดิ์อย่างไร้เงื่อนไข ฮ่องเต้เองก็เหมือนจะนั่งอยู่ไม่สุขอยู่บนบัลลังก์ พระองค์คงปรี่เข้าไปประคองนางแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีขุนนางอยู่ อีกทั้งหลังจากรายงานรายชื่อข้าวของราชบรรณาการ ฝ่าบาทก็ไม่รีรอที่จะโอบประคององค์หญิงจินฉานให้ไปพร้อมกับพระองค์โดยที่ฝ่าบาทยังไม่ทันสั่งเลิกประชุมด้วยซ้ำ ท้องพระโรงเลยวุ่นวายกันใหญ่
"ทุกคนดูราวกับสติจะหลุดลอยไปเสียหมด" ราชองครักษ์เอ่ยกับเหล่านางกำนัลขันทีพลางทอดถอนใจ "ข้าไม่เคยเห็นฝ่าบาทมีท่าทีหลงใหลสตรีตรงหน้าเช่นนี้มาก่อน"
“องค์หญิงงามเพียงนั้น ไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะหลงรัก”
นางกำนัลเด็กนางหนึ่งออกความเห็น ยิ่งเห็นว่าที่เจ้านายพระองค์ใหม่งามถึงเพียงนี้ คงจะใจดีกับพวกนางไม่มากก็น้อย...
"เจ้าไม่เคยได้ยินเหรอ ที่ชาวบ้านเคยพูดถึงเกี่ยวกับชาวป๋ายอี้" ชายหนุ่มเจ้าของตำแหน่งราชองครักษ์หันมาถาม ทุกคนได้แต่ส่ายหน้า มองเขาอย่างงุนงง เขาจึงเอ่ยต่อ"เคยมีคำกล่าวที่ว่า ชาวป๋ายอี้ชายเป็นใหญ่เหนือหญิง ไม่ถือพรหมจรรย์ เชี่ยวชาญด้านการใช้พิษและไสยศาสตร์"
“แล้วอย่างไร?” มีคนเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
คนพูดมองซ้ายขวา คล้ายกลัวว่าใครจะได้ยิน ก่อนเอ่ยเสียงเบาคล้ายกระซิบ "เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าฝ่าบาทอาจจะต้องยาเสน่ห์ขององค์หญิงผู้นั้นแล้วก็ได้ ท่าทางแบบนั้นมันคือคนที่ต้องไสยศาสตร์แล้วชัดๆ "
ในเมื่อไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติม คำพูดเมื่อครู่จึงคล้ายกับสายลมที่ผ่านเลย จินฉานจ้องมองมือขาวเนียนดั่งหยกมันแพะเนื้อเย็นที่ขยับเชือกถักอย่างคล่องแคล่ว ไม่ช้าไม่นานก็กลายเป็นรูปลักษณ์คล้ายกงล้อของเกวียน ที่ใช้กันในศาสนาพุทธนิกายมหายานซึ่งนางเคยเห็นที่อารามหลวง จินเฟยเห็นอีกฝ่ายดูสนอกสนใจจึงอธิบายเสียงนุ่ม “นี่คือเงื่อนฝ่าหลุน (เงื่อนธรรมจักร) อันนี้องค์ชายเจ็ดเพิ่งมาขอให้ตัวข้าทำเป็นพู่ห้อยกระบี่แทนอันเก่าที่ขาดไป ฝ่าหลุนคือธรรมจักร คือกงล้อแห่งธรรม ข้าให้เขาห้อยติดที่ด้ามกระบี่เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าคราใดที่ชักกระบี่ออกมาให้ใช้พระธรรมนำทาง ใช้กระบี่เพื่อผดุงคุณธรรม อย่าได้หลงตกไปในห้วงแห่งกิเลสอันได้แก่ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นอันขาด”จินฉานพยักหน้า “อาหญิงใส่ใจบุตรธิดาอย่างยิ่ง แม้แต่เงื่อนเชือกนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังมีความหมายเป็นนัยลึกซึ้งเช่นนี้ ถ้าอาหญิงมีเวลา ใคร่อยากให้ท่านช่วยสอนข้าผูกเงื่อนฝ่าหลุนด้วยได้หรือไม่” เมื่อเห็นจินเฟยพยักหน้าตอบรับจึงหยิบเชือกเงื่อนอีกชิ้นหนึ่งที่ประดับหยกลายสิงโตแม่ลูกขึ้นมาดู “แล้วเงื่อนนี้ล่ะเพคะ”“เรียกว่าเงื่อนจี๋เสียง สื่อถึงโชคลาภและความสงบสุข หม่
วันรุ่งขึ้น หลังจากเสร็จสิ้นการถวายบังคมช่วงเช้า ฮองเฮาตัดสินใจรั้งตัวเหล่าสนมนางในเพื่อปรึกษาหารือกันในงานเทศกาลตวนอู่ที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า “จริงอยู่หน้าที่ในการจัดเตรียมงานส่วนใหญ่จะเป็นตัวข้า หลิวกุ้ยเฟย และจินเฟย ร่วมกันเป็นแม่งานกำกับฝ่ายพิธีการ แต่ตัวข้าเองก็อยากให้เหล่าสนมนางในมีส่วนร่วมทำให้งานครึกครื้น นอกจากจะมีการร่วมกันทำขนมโร่วจ้งรสชาติแปลกใหม่ให้ฝ่าบาทและหวงไทโฮ่วเสวยแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้มีการจัดการแสดงเล็กน้อย ถ้าน้องหญิงคนใดมีความสามารถในการขับร้องร่ายรำสามารถเข้าร่วมได้ทันที มิต้องเกรงใจ”เหล่าบุปผางามต่างขานรับด้วยท่าทีกระตือรือร้นแข็งขัน จากนั้นจึงมีเสียงสนทนาแผ่วเบาแต่ไพเราะปานนกการเวกกล่าวถ้อยวาจาซักถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานพอเป็นพิธี ฮองเฮามองเห็นเช่นนั้นก็ให้พึงพอใจอย่างยิ่ง การสนทนาดำเนินไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาจึงมีรับสั่งให้เหล่าสนมนางในแยกย้ายกลับตำหนักของตนจินเฟยก้าวออกจากตำหนักเฟิ่งหวงโดยมีนางกำนัลประคองอยู่ไม่ห่าง มิคาดว่าผู้ที่เดินตามหลังมาโดยทิ้งระยะห่างอย่างเหมาะสมจะเป็นอี๋เหม่ยเหริน จินฉาน นางหยุดเดินแล้วหันกลับมามองเด็กสาวที่ย่อกายทำคว
“พระสนมอย่าล้อหม่อมฉันเล่นเช่นนี้เลยเพคะ” ชุนเยี่ยนกล่าวเสียงแผ่วค่อย จินฉานได้แต่เพียงอมยิ้มไม่หยุด ก่อนจูงมือปี้อันมา แล้วป้ายชาดทาปากสีเดิมให้อีกครั้ง “ปี้อัน เจ้าก็ด้วย ทำหน้าหวาดกลัวรังเกียจเช่นนั้นกับของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้เห็นทีคงไม่เหมาะกระมัง หรือว่าเจ้าคิดว่าเครื่องประทินโฉมเหล่านี้ทำด้วยวิธีการเดียวกับที่ตัวข้าเล่าให้ฟังกัน เหลวไหลเสียจริง ข้าแกล้งเล่านิทานขู่ให้พวกเจ้ากลัวเข้าหน่อยก็เชื่อกันเป็นตุเป็นตะขนาดนี้ ใช้ได้ที่ไหน”“ถ้าเป็นแค่นิทาน หม่อมฉันก็คงต้องขอชมพระสนมจากใจจริงเลยว่าพระองค์ช่างเล่าได้สมจริงอย่างยิ่ง...สมจริงราวกับเห็นกับตา” เฉิงฮวานย่อกายคารวะอย่างอ่อนน้อม แสดงท่าทีถึงความนับถือ นี่นางยังไม่แน่ใจตนเองเลยว่าหลังจากฟังเรื่องที่เจ้านายนางเล่าแล้วจะกลับไปนอนหลับได้ลงหรือไม่ทว่าชุนเยี่ยนกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น มีสัญญาณบางอย่างในกายร้องเตือนว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคือเรื่องจริง...ขณะที่เจ้านายของนางเล่าก็มีภาพเลือนรางไม่ปะติดปะต่อแล่นผ่านเข้ามาในหัวตลอดเวลาจนถึงขนาดอุปาทานไปว่าตนเองได้กลิ่นศพเหม็นเน่าลอยโชยเข้าจมูกจนทำให้สีหน้าของนางย่ำแย่จนแทบดูไม่ได้ แต่พอนึกอะไรออก
เมื่อจินฉานและชุนเยี่ยนกลับถึงตำหนักผิงอัน กล่องสีแดงกำมะหยี่และหีบใบเล็กจำนวนหนึ่งก็วางอยู่จนเต็มโต๊ะที่ไว้สำหรับรับประทานอาหาร มีปี้อันที่ส่งเสียงอือๆ อาๆ พยายามจะอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จนเฉิงฮวานต้องสะกิดเตือนแล้วรายงานแทน “เมื่อครู่คนจากตำหนักใหญ่นำของพระราชทานจากฮ่องเต้มาเพคะ นัยว่าเป็นของรางวัลที่นายหญิงทำพระเขนยถวายฝ่าบาท”จินฉานอมยิ้มจาง พลางนั่งลงที่กี๋กระเบื้องเคลือบลวดลายวิจิตรเบื้องหน้ากล่องและหีบกองโต นางเลือกเปิดหีบไม้สลักลายดอกเหมยใบหนึ่ง พบว่าเป็นตลับกระเบื้องเคลือบบรรจุแป้งหอมนานาชนิด ทั้งแป้งหอมโม่ลี่ แป้งจื่อเฟิน แต่ละตลับส่งกลิ่นหอมจรุงแต่ไม่ฉุนจัด อีกทั้งยังมีชาดทาปากทั้งแบบผสมขี้ผึ้งบรรจุตลับกระเบื้องหลากสีสันและเป็นกระดาษชาดแบบที่ใช้แนบเม้มริมฝีปากอิ่มแยกเอาไว้ในกล่องเล็กๆ ต่างหาก นอกจากนี้ยังมีโต๊ะเครื่องแป้งที่เมื่อเปิดประตูออกก็จะมีตุ๊กตารูปนางกำนัลตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูสองมือถือถาดเทินหวี สือไต้เขียนคิ้ว และน้ำปรุงดอกเหมยกุ้ยจากป๋อสื่อเคลื่อนด้วยลานมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ปี้อันที่ยังเด็กดูตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ส่วนเฉิงฮวานเห็นเช่นนั้นก็ให้อมยิ้ม “โต๊ะเครื่องแป
หลังจากปลุกปลอบกันอยู่ครู่หนึ่ง พอท่าทีหวงไทโฮ่วคลายเศร้าโศกได้จึงขอทูลลากลับ ระหว่างที่ประคองผู้เป็นนายเดินไปตามเส้นทางสายยาวของราชอุทยาน ชุนเยี่ยนครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักหรูหลาน คลับคล้ายว่าสิ่งที่จินฉานและหวงไทโฮ่วสนทนากันในวันนี้มีส่วนที่นางคลับคล้ายจะเข้าใจและไม่เข้าใจ ส่วนที่เหมือนจะเข้าใจนั้นก็ดั่งมองผ่านม่านหมอกเลือนราง ไม่อาจจับต้นชนปลายได้ ยิ่งพยายามเค้นสมองคิดยิ่งรู้สึกปวดศีรษะอย่างยิ่งจนต้องเอามือนวดขมับตนเองเบาๆ จินฉานเห็นดังนั้นจึงหยุดเดิน แล้วปรายตามองอีกฝ่ายเงียบๆ ชุนเยี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงพยายามทำตนให้เป็นปกติ “ขออภัยเพคะ หม่อมฉันจู่ ๆ ก็รู้สึกเวียนศีรษะ...”จินฉานได้ยินเช่นนั้นก็อมยิ้ม ส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่เป็นไร อากาศที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา อีกทั้งเมื่อครู่เจ้ายังเจอเรื่องชวนให้สับสนอีก จะปวดศีรษะก็ไม่แปลก วันนี้เรากลับตำหนักเร็วหน่อย ข้าจะให้ปี้อันต้มยาให้เจ้าดื่ม และพักผ่อนเสีย ข้าอนุญาตให้เจ้าลาหยุดหนึ่งวัน ไม่ต้องมาปรนนิบัติตัวข้า”ชุนเยี่ยนได้แต่พยักหน้าขอบพระทัยเงียบ ๆ ก่อนที่จะถูกจินฉานเร่งฝีเท้าให้รีบเดิน จนกลายเป็นว่านางถูกเจ้านายของนางจูงมือกลับเข
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวปานดอกไม้ที่ขาดคนรดน้ำดูแลรักษาพลันค่อยๆ ผลิบานพองฟูอย่างเป็นสุข เนิ่นนานนับปีที่พระนางต้องอยู่อย่างหน้าชื่นอกตรม ฝั่งหนึ่งได้รับการสรรเสริญเยินยอจากประชาและเหล่าขุนนางว่าเป็นมารดาที่คำนึงถึงความถูกต้อง แม้นว่าสายเลือดของตนจะทำผิดแต่ก็ไม่คิดคัดค้านฮ่องเต้ที่เป็นโอรสในการมีราชโองการลงทัณฑ์พระอนุชา ดำรงตนเป็นแบบอย่างของมารดาผู้มีคุณธรรม แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเบื้องหลังฉากนั้นพระนางก็ไม่ต่างกับมารดาที่หัวใจสลายคนหนึ่งที่ต้องเห็นบุตรคนหนึ่งสังหารบุตรอีกคนหนึ่งโดยที่ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้เลยพระนางบีบมือจินฉานตอบ “เด็กดี เด็กประเสริฐ ขอแค่เพียงเจ้าเชื่อว่า อู่เฉิงหวัง หลี่หยวน เป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าก็ไม่เสียใจอีกแล้ว”“ดูจากท่าทีของท่าน คิดเรื่องนี้คงมีเรื่องไม่ชอบมาพากล” จินฉานเอ่ย หวงไทโฮ่วถอนใจแช่มช้า มองสือม่านถัวนำถ้วยน้ำชาที่เริ่มเย็นชืดเพราะไม่ได้แตะต้องไปเปลี่ยน “ชอบมาพากลก็ดี ไม่ชอบมาพากลแล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อฮ่องเต้เชื่อในหลักฐานที่คนเหล่านั้นนำมาถวาย ในบ้านนี้เมืองนี้ ถ้าฮ่องเต้เชื่อสิ่งใด เหล่าขุนนางก็จำต้องคล้อยตาม ประจบเอาใจดั
“หวงไทโฮ่วอันใดกัน เรียกข้าว่าเสด็จแม่เถิด” นางยิ้มเอ่ย จินฉานเฉลียวฉลาดสักปานใด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา “เชิญเสด็จแม่เสวยพระสุธารสชาเพคะ”หวงไทโฮ่วรับถ้วยชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง จากนั้นจึงส่งถ้วยชาให้สือม่านถัวที่พยายามทำความเข้าใจกับสตรีที่รู้จักและไม่รู้จักทั้งสองคนอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังคงเก็บกักอารมณ์ของตนเองไว้ในดวงหน้าเรียบเฉยได้ แล้วจึงยืนอยู่รับใช้อย่างสำรวม มองทั้งคู่ที่นั่งอยู่เคียงกันประหนึ่งสะใภ้และแม่สามีที่รักใคร่ปรองดองครอบครัวหนึ่ง แล้วจึงมองเจ้านายของตนใช้มืออวบอิ่มที่สวมแหวนและกำไลหยกเขียวเข้มที่ข้อมือยกขึ้นเชยคางของจินฉานอย่างรักใคร่เอ็นดูอย่างยิ่ง “เจ้าคือจินฉานสินะ งามสมกับที่บุตรชายข้าเคยเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิจริงๆ”“ท่านผู้นั้นกล่าวเกินจริงไปเสียหน่อย หม่อมฉันจะงามอย่างไรก็มิอาจเทียบเสด็จแม่ ฮองเฮา กับบรรดาสนมนางในที่อยู่ ณ ที่นี้หรอกเพคะ”“งามแล้วอย่างไร ภายใต้รูปลักษณ์งดงามปานเทพธิดา แต่บทสนทนาที่แลกเปลี่ยน และกิเลสที่อยู่ในร่างแต่ละนางช่างน่ากลัว วันๆ ดีแต่มีความคิดช่วงชิงความโปรดปราน ทั้งหน้าซื่อใจคด ทั้งปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ พวกนางก็มีต่างกับอส
หลังจากรอให้จินฉานทำธุระที่ตำหนักอันผิงจนเสร็จเรียบร้อย สือม่านถัวจึงนำทางไปยังตำหนักหรูหลานอันเป็นที่พำนักของหวงไทโฮ่ว ตำหนักแห่งนี้ห่างไกลจากตำหนักสนมนางในเยาว์วัย แต่กลับใกล้กับบรรดาตำหนักของเหล่าไท่เฟย ทำให้เสียงเจื้อยแจ้วปานนกกระจอกแตกรังของเหล่าหญิงสาวมิอาจรบกวนพระนาง แต่ในขณะเดียวกันกลับใกล้กับตำหนักของเหล่าไท่เฟยที่เคยสนิทกันกับหวงไทโฮ่วตั้งแต่สมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังสามารถไปมาหาสู่ได้โดยสะดวก บรรยากาศภายนอกร่มรื่น มีเหมยขาวและเหมยเขียวกำลังชูช่อบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมจรุงไปทั่วเมื่อจินฉานและชุนเยี่ยนมาถึง นางกำนัลอาวุโสจึงขอตัวไปรายงานกับหวงไทโฮ่ว จินฉานเพียงรับคำอย่างสงบ แล้วใช้เวลาระหว่างนั้นชมความงามของตำหนักไปพลางๆ จนสายตาไปสะดุดกับตัวอักษรแถวหนึ่งที่เขียนด้วยหมึกทอง นางอมยิ้ม “ที่แท้ชื่อตำหนักของหวงไทโฮ่วมาจากประโยคนี้”“ตัวอักษรแถวนั้นหรือเพคะ?” ชุนเยี่ยนถึงแม้ร่ำเรียนภาษาต้าเจวียนมา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบทสนทนาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และคำพูดในรั้วในวังที่จำเป็น ส่วนบทกลอนกวีของต้าเจวียนนั้นนางไม่กระดิกสักเรื่อง จะไม่เข้าใจก็ไม่แปลกจินฉานพยักหน้า “ประโยคนั้นอ่านว่า หรูหลานจ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม การสวดมนต์จึงเสร็จสิ้น เซวียนเฟยดูมีท่าทีที่มีความสุขเหลือประมาณ จินฉานมองเซวียนเฟยและอู่คงสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง เซวียนเฟยจึงหันไปทางจินฉาน ท่าทีเกรงอกเกรงใจหลายส่วน “อี๋เหม่ยเหริน พอดีว่าวันนี้ข้าจะอยู่สนทนาธรรมกับต้าซือต่อ ถ้ารั้งให้น้องอยู่ต่อ ข้าเองก็เกรงใจนัก ถ้าเจ้ามีธุระอันใดที่ต้องกลับไปจัดการก็สามารถกลับไปก่อนได้เลย มิต้องรอข้า”จินฉานเอ่ยปากหมายจะปฏิเสธ ทว่าเมื่อจ้องลึกเข้าไปในแววตาของเซวียนเฟย กลับพบนัยยะบางอย่าง ในใจร้องเตือนนางว่าไม่สมควรอยู่ต่อ จึงคลี่ยิ้มอ่อนหวานเอ่ย “ถ้าไม่ได้พี่หญิงเตือน หม่อมฉันคงลืมแล้ว ช่วงสายวันนี้จินเฟยเชิญหม่อมฉันไปตำหนักหรูอี้เพื่อเป็นเพื่อนเดินหมากกับพระนาง นี่ก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว หม่อมฉันคงต้องขอทูลลา และขอขอบพระทัยเซวียนเฟยที่ชวนหม่อมฉันมายังอารามหลวงแห่งนี้เพคะ”เซวียนเฟยเพียงพยักหน้ารับคำ ดวงตาคู่งามมองส่งสตรีอ่อนเยาว์ที่ติดตามนางมา ก่อนหันไปสนทนากับอู่คงต่อ...“พระสนม หม่อมฉันมิเห็นจำได้ว่าพระนางจินเฟยชวนพระสนมไปเดินหมากนะเพคะ” ชุนเยี่ยนย่นคิ้วขณะประคองแขนจินฉานเดินออกจากอาราม เด็กสาวหันไปยิ้ม แล้วเอ่ย “เจ้านี่ช่างไม่รู