ภายในตำหนักเฟิ่งหวง งดงามหรูหราสมเป็นตำหนักของฮองเฮา เหล่าสนมนางในแต่งตนประชันกันด้วยอาภรณ์ต่างหลากสีสันเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาเยือน ไม่ต่างจากเหล่าบุปผางามผุดผาดต่างสายพันธุ์ในกุณฑีต่างวัสดุต่างลวดลาย บ้างดูคล้ายดอกเหมยกุ้ยในกุณฑีเครื่องแก้วหลิวหลี ยามต้องแสงเปล่งประกายแวววาวผสมผสานให้เหมยกุ้ยช่อนั้นดูเย้ายวนตา บ้างเป็นกิ่งเหมยขาวอยู่ในกุณฑีสีเขียวไข่กา ดูงดงามบริสุทธิ์ บ้างเหมือนกุณฑีหยกขาวประดับด้วยกิ่งดอกผิงกว่อชูช่อสีขาวอมชมพูดุจแป้งหอมผสมผงชาดที่ประทินผิวโฉมงาม บ้างเป็นดอกบานชื่น ดอกพุดซ้อน กล้วยไม้ ดอกบัวหลวง ล้วนชูช่อบานสะพรั่ง โดยมีฮองเฮาในชุดสีแดงเพลิงปักลายนกเฟิ่งหวงสยายปีก รายล้อมด้วยดอกโบตั๋นปักลายด้วยด้ายทองรับกับใบหน้าและเรือนผมที่ได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถัน เครื่องประดับล้วนปิ่นระย้า ทอง มุก และอัญมณีที่อยู่ในความเชื่อของป่าเจ็ดอัญมณี (ป่าตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา เชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่ลำต้น ใบ และผลจะเป็นอัญมณีต่างๆ ได้แก่ ทอง ทองคำม่วง เงิน โมรา ปะการัง หยกขาว และไข่มุก บ้างก็ว่าเป็น 砗磲 (เชอฉวี-หอยมือเสือ) 玛瑙 (หมาเหน่า-หินอะเกท) 水晶 (สุ่ยจิง-คริสตัล) 珊瑚 (ซานหู-ปะการัง) 琥珀 (หู่ปัว-อำพัน) 珍珠 (เจินจู-ไข่มุก) 、麝香 (เซ่อเซียง- ชะมดเชียง) (บางตำราก็เป็นเงินหรือทองแทน) ) อยู่เต็มศีรษะ ช่างสง่างามน่าเกรงขามสูงส่งเหนือว่าเหล่าบุปผาทั้งปวงที่ห้อมล้อม
จินฉานก้าวเข้ามาในตำหนัก ย่อกายคารวะอย่างเป็นพิธีการ อาภรณ์สีขาวพระจันทร์ขับผิวหน้าและเนินอกที่โผล่พ้นแถบผ้ารัดอกให้ขาวผ่องรัญจวนใจ ตรงแถบรัดอกและชายกระโปรงปักลายดอกเสาเย่าเกล้ามวยปักปิ่นหยกขาวเรียบง่ายและปิ่นดอกเสาเย่าสีชมพูประดับพู่ทำด้วยไข่มุกเม็ดเล็กร้อยเรียงเป็นเส้นระย้า ส่วนที่ข้อมือซ้ายมีเพียงกำไลหยกสีเขียวเข้มและสวมแหวนทองที่เป็นลักษณะคล้ายข้อปล้องที่นิ้วนางอีกวงหนึ่ง กล่าวแนะนำตนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “หม่อมฉันจินฉาน ธิดาแห่งป๋ายอี้อ๋องจินเช่อ ถวายบังคมฮองเฮาและพระสนมทุกท่านเพคะ”
ฮองเฮาอมยิ้มนุ่มนวล ท่าทีมีเมตตาอย่างยิ่ง หลังจากรับสั่งให้ลุกขึ้นแล้ว จึงให้นางกำนัลจัดที่นั่งให้เด็กสาวนั่งใกล้กับสนมชั้นเหม่ยเหรินที่อยู่ในลำดับเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างส่งยิ้มให้กัน ท่าทีสนิทสนมราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนาน
“ได้ยินจากคำบอกเล่าของฝ่าบาท ว่าองค์หญิงจินฉานรูปโฉมล้ำเลิศ ดวงตากลมโตสุกใสสกาวราวดวงดารา แต่ข้าเห็นว่ารอยยิ้มของนางนับได้ว่างดงามราวกับยิ้มพันตำลึงทองของนางเป่าสื้อ มาได้เห็นตัวจริงนั้นนับว่าเหนือกว่าที่ฝ่าบาทกล่าวไว้มากนัก เจินเป่าหลิน น้องกล่าวถูกต้องหรือไม่” น้ำเสียงหวานหยาดเยิ้มดังมาจากนางสนมตำแหน่งฟูเหรินนางหนึ่งนามว่าซูฟูเหริน ขณะที่กำลังใช้สองมือขาวเนียนปอกส้มน้ำตาลกรวดอันเป็นบรรณาการจากอี๋หลิงอย่างสบายอารมณ์
“ซูฟูเหรินนั้นก็กล่าวเกินไป อี๋เหม่ยเหรินนั้นเป็นกุลสตรีเพียบพร้อม รอยยิ้มของนางใสบริสุทธิ์อย่างยิ่ง จะนำนางไปกล่าวเทียบกับสตรีแพศยาที่ใช้เพียงรอยยิ้มก็ทำให้บ้านเมืองล่มสลายได้อย่างไรกัน” เจินเป่าหลินยิ้มเอ่ย น้ำเสียงกึ่งดุกึ่งขัน ดูไม่จริงใจอย่างที่ควรจะเป็น
“หม่อมฉันโง่เขลา ร่ำเรียนมาน้อย จึงได้ใช้คำพูดผิดไป ขอบคุณพี่หญิงเจินที่ตักเตือน และขออี๋เหม่ยเหรินอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
จินฉานส่งยิ้มให้ “ที่จริงข้าเองก็เป็นสตรีจากบ้านป่าเมืองเถื่อน ศึกษาเรื่องตำนานและประวัติศาสตร์มาไม่มากนัก แต่ก็พอจะรู้เกี่ยวกับเรื่องของนางเป่าสื้อมาบ้าง เป่าสื้อเดิมเป็นสตรีบรรณาการจากบ้านเมืองที่ล่มสลายแห่งหนึ่ง โจวโยวหวางเมตตารักใคร่หลงใหลถึงขนาดหลังจากนางเป่าสื้อให้กำเนิดโอรสก็มีรับสั่งปลดหวางโฮ่วของตนออกและให้นางแทนที่ตำแหน่ง แต่ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งนั้นนางมักมีสีหน้าอมทุกข์ไม่เคยยิ้มแย้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว โจวโยวหวางแทนที่จะไม่ใส่พระทัยกับเรื่องเล็กน้อยพรรค์นั้น กลับร่วมมือกับขุนนางสอพลอผู้หนึ่งคิดแผนการพิเรนทร์โดยการส่งสัญญาณแจ้งเหตุร้ายว่ามีเผ่าซีหรงเข้าโจมตีเมืองหลวง ระดมทัพจากหัวเมืองโดยรอบให้มาชุมนุมกัน จากนั้นจึงค่อยเฉลยว่าเป็นแผนการเพื่อหวังจะให้หวางโฮ่วพอพระทัย ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ พระนางแย้มสรวลออกมานิดหนึ่ง หากแต่เป็นรอยยิ้มที่พึงใจหรือก็หาไม่ มันกลับเป็นรอยยิ้มกึ่งเยาะกึ่งสมเพชที่แผ่นดินนี้มีผู้นำที่โง่เขลาถึงเพียงนี้”
เด็กสาวถอนหายใจช้าๆ ก่อนระบายยิ้มให้กับเจินเป่าหลิน “เมื่อเห็นเหตุส่งสัญญาณระดมพลหลอกๆ นั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งเข้า เมื่อเมืองหลวงเกิดเหตุร้ายเข้าจริงๆ ทำให้ต่อให้มีการส่งสัญญาณระดมพลอย่างบ้าคลั่งเพียงใดก็ไม่มีหัวเมืองใดยื่นมือเข้าช่วยเหลืออีก ส่งผลให้ต้าโจวล่มสลายในที่สุด ซูฟูเหริน...เจินเป่าหลิน...พวกท่านกล่าวว่าข้าเป็นนางเป่าสื้อ จินฉานมิกล้ารับ ทว่ากลับพูดเหมือนกับว่าฝ่าบาทเป็นโจวโยวหวางเช่นนี้มิเท่ากับพวกท่านดูแคลนฝ่าบาทว่าเป็นเจ้าแผ่นดินที่โง่เขลาบัดซบไปด้วยหรือ?”
“ชีวิตเจ้าที่ต้องทนทุกข์อยู่ในตำหนักเย็นแห่งนี้ยังอีกยาวไกล อย่าเพิ่งรีบร้อนปลิดชีวิตตนเอง”หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองบุรุษที่นางเคยรัก เคยมีช่วงเวลาที่ตกอยู่ในบ่วงเสน่หาร่วมกัน เคยคาดหวังรอคอยถึงชีวิตคู่ที่อบอุ่นพร้อมหน้า ทว่าคนตรงหน้านี้กลับไม่เหลือเค้าของผู้ที่อยู่ในห้วงความทรงจำอีกต่อไป กลับเป็นบุรุษที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เป็นผู้ชายที่พร้อมจะสลัดนางออกไปจากชีวิตเพื่อลาภยศของตนอย่างแท้จริง...หลีอ๋องปล่อยให้อดีตคนรักมองเขาจนพอใจ เขาพรูลมหายใจอย่างนึกสมเพช จากนั้นจึงหันหลังค่อยๆ เดินจากไป หญิงสาวจ้องมองแผ่นหลังสง่างามของอีกฝ่ายเขม็ง ขบฟันกรืดกรอดจนแทบแหลกละเอียด ก่อนตัดสินใจเอ่ยเรียก“ท่านอ๋อง!”เมื่อหลีอ๋องหันกลับมาครั้ง หญิงสาวก็เข้ามาประชิดตัวแล้วทำให้มิอาจปัดป้องหลบหนี รู้ตัวอีกทีสองแขนของนางก็สวมกอดเขาไว้แน่นอีกครั้ง พร้อมริมฝีปากอิ่มที่ประกบเข้าที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม เพื่อมอบจูบอ่อนหวานเฉกเช่นที่พวกเขาเคยถ่ายเทแลกเปลี่ยนเวลาลอบพบกัน...สายลมด้านนอกตำหนักปิงตี้เหลียนหวีดหวิวพร้อมพัดพาความหนาวเย็นเสียดกระดูก ทว่าฮ่องเต้และจินฉานก็ยังไม่มีทีท่าขยับ ราวกับรอ
...เนื่องจากนั่งอยู่ที่เก้าอี้กุ้ยเฟยเป็นระยะเวลานาน ขาทั้งสองข้างจึงไม่สามารถขยับเดินเหินได้ดั่งใจ จำต้องใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนก้าวโผเผเข้าไปหา มือซึ่งทั้งสิบนิ้วสวมแหวนเงินเปรอะเปื้อนเลือดและน้ำเหลืองจากการกอดกล่องใส่ซากทารกมาเนิ่นนานตรงเข้าสวมกอดอีกฝ่าย ใบหน้าซุกซบลงกับอกกว้าง น้ำตาหลั่งริน “ดี...ดียิ่ง เป็นเช่นนี้แสดงว่าท่านได้คืนตำแหน่งอ๋องแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราฮ่องเต้ยอมรับแล้วใช่หรือไม่? ที่ท่านมาวันนี้เพื่อมารับพวกเราแม่ลูกไปอยู่กับท่านใช่หรือไม่?”หลีอ๋องหรืออดีตต้าซืออู่คงมองเจ้าของริมฝีปากที่กล่าวพร่ำเพ้อไม่หยุดปากด้วยรอยยิ้ม..รอยยิ้มที่แสดงถึงความสมเพชสังเวชอย่างถึงที่สุด เขาผละจากอ้อมกอดอย่างนึกรังเกียจ ทว่าเนื่องด้วยจำเป็นต้องส่งยิ้มอบอบอุ่น ทั้งที่ในใจนั้นสุดแสนจะผะอืดผะอม จนรอยยิ้มที่พยายามปั้นออกมาดูพิลึกพิลั่น แต่หลีอ๋องยังคงเอื้อนเอ่ย “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ที่ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกให้เจ้าได้รับรู้”เซวียนเฟยพลันร่างกายแข็งทื่อ ดวงตากลอกไปมาท่าทางหวาดหวั่น นางจับมือเขาไว้แน่นแล้วพยายามดึงเขาให้เดินไปพร้อมกับนางพลางเอ่ยเพียงพร่า “ไ
เซวียนเฟยช้อนตาขึ้นมองด้วยความฉงน แล้วเอ่ย “ข้าจะให้ลูกกินนม เขาหิวแล้ว เสียงร้องไห้ดังไปทั่ว เจ้าไม่ได้ยินเลยหรือ?”หยวนจิ่นขนลุกชูชันพลางหันรีหันขวางมองไปรอบๆ จนแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ยินเสียงตามที่เซวียนเฟยกล่าวอ้างแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะใช้คำพูดตามจริงทำร้ายจิตใจ ได้แต่จัดสาบเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดและน้ำเหลืองที่ไหลซึมออกมาจากรอบฝากล่องของอีกฝ่ายให้เข้าที่ พยายามส่งยิ้มฝืดเฝื่อนแล้วกล่าวเสียงอ่อน “อาห์ ที่แท้นายหญิงต้องการให้นมองค์ชายน้อย แต่ว่าเท่าที่หม่อมฉันเห็น ท่านไม่ได้ดื่มน้ำและรับประทานอาหารอย่างเต็มที่มาหลายวันแล้ว เกรงว่าน้ำนมจะมีไม่เพียงพอ ท่านควรจะรับประทานอะไรบ้าง” ว่าพลางผละออกจากเซวียนเฟยอย่างแนบเนียน “อย่างไรเสียให้หม่อมฉันไปดูที่ห้องเครื่องเสียหน่อย ว่ามีอะไรพอให้นายหญิงรับประทานได้บ้าง ท่านรออยู่ตรงนี้ อย่าเพิ่งไปไหนนะเพคะ”เซวียนเฟยพยักหน้าช้าๆ ท่าทีสงบเสงี่ยมว่าง่ายนั้นทำให้หยวนจิ่นเบาใจ จึงเดินไปยังห้องเครื่องเพื่อเตรียมอาหารให้ตามที่ได้ว่าไว้โดยปล่อยให้เจ้านายของตนอยู่เพียงลำพังนาฬิกาน้ำที่วางอยู่ที่มุมห้องบ่งบอกเวลาว่าผ่านไปสองเค่อแล้ว อาจเป็นเพราะอา
จินฉานร้องอาห์พลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นจึงเอ่ยถามต่อ “แล้วต้าซืออู่คงล่ะเพคะ เป็นเช่นไรบ้าง”ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “เหตุใดถึงอยากรู้”จินฉานเพียงยิ้มน้อยๆ กล่าว “วันก่อนหม่อมฉันได้ไปงานเลี้ยงน้ำชาที่ตำหนักของฟู่เหม่ยเหริน ได้ยินเหล่าพี่สาวน้องสาวเล่าลือกันว่าต้าซือร่วมสวดอำนวยพรให้พี่เซวียนเฟยไม่สำเร็จ ซ้ำยังทำให้นางให้กำเนิดสิ่งอัปมงคล ฝ่าบาททรงกริ้วนัก สั่งปลดต้าซือจากเจ้าอารามแล้วนำไปไต่สวน ลงทัณฑ์ทรมานสารพัด จนป่านนี้แล้วเสียงของต้าซือยังร้องโหยหวนออกจากฝ่ายราชทัณฑ์ไม่หยุด” จินฉานว่าพลางลูบแขนตนเองไปมา ท่าทางขนพองสยองเกล้า “หม่อมฉันฟังแล้วกลัวยิ่งนัก แต่เชื่อมั่นว่าฝ่าบาทมิใช่คนพระทัยโหดเหี้ยมปานนั้น เห็นว่าวันนี้เป็นโอกาสดี หม่อมฉันเลยทำใจกล้า ทูลถามฝ่าบาทโดยตรง”ฮ่องเต้จ้องมาที่อีกฝ่ายนิ่ง จนจินฉานขยับตัวอย่างรู้สึกอึดอัด “หม่อมฉัน...หม่อมฉันสมควรตาย ไม่ควรถามอันใดไร้สาระเช่นนี้”แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าช้าๆ ท่าทียังเอื้อเอ็นดูมิคลาย “เรามิได้จะตำหนิเจ้า แต่เรากำลังคิดว่าฟู่เหม่ยเหรินนี่เป็นสตรีปากมาก วาดขาเติมตาให้มังกรเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ว่างๆ เราจะให้นางคัดตำราสักสิบจบน่าจะช่วยได
ศพของทารกผู้นั้นลือกันว่าถูกนำไปฝังบริเวณลานทิ้งศพของเหล่านางกำนัลขันทีอย่างเงียบๆ ไร้นาม ไร้พิธีศพ ไร้การสถาปนายศหลังจากสิ้นพระชนม์ ไม่มีการกล่าวถึง ทั่วทั้งวังหลวงต่างปฏิบัติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคราวนั้นเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่ง ไม่เคยมีตัวตนอันแสนอัปลักษณ์ที่เซวียนเฟยให้กำเนิดอุบัติขึ้นในตำหนักปิงตี้เหลียนมาก่อนช่วงนี้ฮ่องเต้มิอาจบรรทมที่ตำหนักใหญ่ได้ จึงได้แต่แวะเวียนไปยังตำหนักต่างๆ แต่สถานที่ที่ทำให้เขารู้สึกสงบใจลงได้อย่างที่สุดคงมีแต่งตำหนักผิงอันของอี๋ผิน ระยะหลังมานี้ถ้าไม่ต้องออกว่าราชการในตอนเช้า ก็มักจะขลุกอยู่แต่ในตำหนักผิงอัน โดยให้หลี่ฮุ่ยนำฎีกามาอ่านที่ตำหนัก ซึ่งจินฉานเองก็มิได้ทำสิ่งใดเป็นการรบกวนให้รำคาญใจ หลังจากชงชากาหนึ่งถวาย ก็มักจะหาหนังสือมาอ่าน ไม่ก็หางานฝีมือมาทำอยู่ไม่ห่างกัน ใช้เวลาร่วมกันยาวนานหลายชั่วยามอย่างสงบจากนั้นจึงร่วมรับประทานอาหารกลางวันและเย็น จากนั้นจึงให้จินฉานถวายการปรนนิบัติฮ่องเต้แล้วเข้าบรรทม เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องนานนับครึ่งเดือนจนกลายเป็นภาพชินตาวันหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มหนาวเย็นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบเฟิงจากต้นเฟิงที่ปลูกอย
“แต่ว่าพี่หญิงเซวียนเฟย...” จินเฟยเอ่ยแย้งเสียงเบา ทว่าฮ่องเต้ไม่มีท่าทีเคืองโกรธ กลับยินยอมอธิบายโดยดี “ห้องคลอดเป็นเรื่องของหมอตำแยและตัวผู้เป็นแม่ของเด็ก พวกเรารออยู่เช่นนี้ก็มิอาจเข้าไปช่วยเหลืออันใดได้ สู้ไปอยู่ที่อื่น อย่าได้เกะกะพวกเขาทำงานอีกเลย”ฮองเฮาและจินเฟยแม้จะรู้สึกไม่เห็นด้วย แต่ก็มิได้กล่าวอันใดมากความเนื่องด้วยมิใช่ธุระปะปังอันใดของตนไม่ เพียงแค่รับคำอย่างสำรวม แล้วเดินตามฮ่องเต้ไปยังตำหนักปีกอีกที่ ยิ่งเดินเสียงของเซวียนเฟยที่กำลังอยู่ในช่วงเป็นตายยิ่งห่างไกลลงไปทุกที สุดท้ายตำหนักปีกที่เคยเงียบสงบนั้นก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ชื่นมื่นไร้กังวลจนเสียงชุลมุนวุ่นวายของตำหนักส่วนกลางนั้นถูกกลบไปเสียสิ้น...ทว่าบรรยากาศรื่นรมย์นั้นก็ถูกกลบด้วยเสียงกรีดร้องจากตำหนักกลาง จินฉานเพียงปรายตาไปมองยังประตู พลันเห็นหยวนจิ่น นางกำนัลคนสนิทของเซวียนเฟย วิ่งเข้ามาในตำหนักปีกอย่างลืมสำรวมกิริยา สุดท้ายเข่าสองข้างพลันอ่อนยวบทรุดลงเบื้องหน้าฮ่องเต้และฮองเฮาที่หยุดเดินหมากกลางคัน ก่อนฟุบหน้าลงกับพื้นกราบทูลเสียงสั่นเครือจนเหมือนกับจะร้องไห้ “กราบทูลฝ่าบาท กราบทูลฮองเฮา นายหญิง...นายหญิง