Home / รักโบราณ / เล่ห์แค้นจินฉาน / เข้าถิ่นตามธรรมเนียม 4

Share

เข้าถิ่นตามธรรมเนียม 4

Author: lianlian
last update Last Updated: 2025-05-11 20:18:45

จินฉานเลิกคิ้วพร้อมส่งสายตาเป็นเชิงสงสัย ท่าทีใสซื่อทำเอาเจินเป่าหลินเม้มริมฝีปากมีท่าทีกระอักกระอ่วน ยิ่งมองไปเห็นสนมอื่นเลี่ยงสนทนากับคนข้างๆ บ้างยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นกดริมฝีปากข่มกลั้นอาการขบขัน ยิ่งทำให้ใบหน้าและใบหูของนางพลันร้อนผ่าว สุดท้ายจึงหยิบถ้วยชายกขึ้นจิบกลบเกลื่อน ฮองเฮาเห็นเช่นนั้นก็ส่งสายตาตำหนิเจินเป่าหลินแต่มิได้ว่ากล่าวอะไรเพิ่มเติม จากนั้นหันไปกล่าวกับจินฉานต่อเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “ได้ข่าวว่าระหว่างที่เดินทางมายังเมืองหลวง เจ้าเองก็ต้องลำบากไม่น้อย แต่ยังอยู่รอดปลอดภัย นับว่าสวรรค์คุ้มครองโดยแท้”

“หม่อมฉันเองก็คาดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะมีกลุ่มคนกล้าปล้นสะดมขบวนของป๋ายอี้ นอกจากนี้แล้วยังต้องขอขอบพระทัยองค์ชายสามกู้ไห่และองค์ชายห้ากู้อวิ๋นที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้มาประจำการคอยท่าอยู่ที่ด่านเจิ้งถังมาช่วยเหลือได้ทันการ มิเช่นนั้นต่อให้สวรรค์คุ้มครองเพียงใดหม่อมฉันก็คงยากที่จะพ้นด่านเคราะห์เช่นนี้ได้” เด็กสาวเอ่ยเสียงเบา ดวงตาหลุบลงต่ำอย่างหวาดหวั่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน แต่กลับแจ่มชัดราวกับเกิดขึ้นเมื่อวันวาน

สตรีในชุดสีเขียวครามหิมะยกยิ้มภาคภูมิ นางพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเต็มที่จนปิ่นระย้าทองคำขยับไหวสะท้อนแสงแดดพราวระยับ “องค์ชายสามของตัวข้าเห็นว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญกับน้องหญิงจึงได้รับอาสาไปด้วยตนเอง เชื่อว่าเขาคงได้แสดงฝีมือเป็นที่ประจักษ์แก่น้องหญิงไม่น้อยกระมัง”

จินฉานพอเดาได้ว่าผู้ที่กำลังเอ่ยคือหลิวกุ้ยเฟย พระมารดาขององค์ชายสามจึงพยักหน้ารับ “เพคะ หม่อมฉันได้เห็นกับตา องค์ชายสามกล้าหาญยิ่งนัก ลงแรงช่วยเหลือเต็มกำลัง มิกล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย” จากนั้นจึงกล่าวต่อ “ทว่าองค์ชายห้าเองนั้นแม้อายุยังน้อย แต่เขาก็ร่วมมือกับองค์ชายสาม ช่วยเหลือหม่อมฉันไม่ด้อยไปกว่ากัน วีรกรรมอันกล้าหาญขององค์ชายทั้งสองจินฉานขอจำใส่ใจ วันหน้าหม่อมฉันจะหาหนทางตอบแทนในภายหลังแน่นอนเพคะ”

“นั่นเพราะว่าองค์ชายห้าของตัวข้านั่นมีองค์ชายสามเป็นแบบอย่างที่ดี พี่น้องสมัครสมานร่วมใจต้องตามประสงค์ของฝ่าบาท ภารกิจช่วยเหลืออี๋เหม่ยเหรินจึงสำเร็จลุล่วงด้วยดี” ร่างงามระหงในชุดสีชมพูเฝิ่นหง ประดับศีรษะด้วยปิ่นเงินและปิ่นระย้าคลี่ยิ้มนุ่มนวล จินฉานหันไปมองไม่วางตา ทั้งยังส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรอย่างยิ่งมาให้ก็ให้นึกฉงน “อี๋เหม่ยเหริน มีอะไรหรือ?”

“ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันเสียมารยาท หม่อมฉันเพียงรู้สึกว่าคุ้นเคยกับพระองค์อย่างยิ่ง ทั้งเครื่องประดับ ปิ่นระย้าของพระองค์ ล้วนเป็นเครื่องประดับจากฝีมือช่างของป๋ายอี้เฉกเช่นเดียวกับหม่อมฉัน โดยเฉพาะพระพักตร์ของพระนาง คล้ายคลึงกับเสด็จพ่อของหม่อมฉันมากเพคะ”

จินเฟยแตะระย้าปิ่นเงินที่ทอประกายแวมวาวบนมวยผมของตน มองอีกฝ่ายอย่างเอื้อเอ็นดู “เรื่องนั้น...”

“อี๋เหม่ยเหรินไม่ทราบหรือ จินเฟยนั้นเป็นชาวป๋ายอี้เช่นเดียวกับเจ้า” ฮองเฮาเอ่ยแทรก พลันทำสีหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ “จริงสิ ตอนที่จินเฟยมายังต้าเจวียนแห่งนี้ก็ผ่านมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ถ้าคำนวณจากเวลา...อืม...น่าจะเป็นช่วงก่อนที่น้องหญิงจะเกิดเสียอีก จะไม่รู้จักก็ไม่แปลก”

“เป็นตามที่ฮองเฮาตรัสเพคะ เสด็จพ่อเคยเล่าเพียงว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนมีอาหญิงคนหนึ่งมาเป็นสนมอยู่ที่ต้าเจวียนแห่งนี้ก่อนที่หม่อมฉันจะเกิด...” จินฉานมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกายชื่นชม “ได้ยินเพียงคำเล่าลือ พอได้มาพบองค์จริง ทรงพระสิริโฉมยิ่งนักเพคะ” ได้ยินเช่นนั้นจินเฟยพลันหลุบตามองต่ำ มีท่าทีเขินอายอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้านั้นกล่าวเกินไป ตัวข้าอายุสามสิบเจ็ดปีเข้าไปแล้ว บุปผาผลิบานนานวันพลันโรยรา จะให้สู้กับเหล่าน้องหญิงที่เสมือนอิงฮวายามวสันตกาลได้อย่างไร” จินเฟยเอ่ยด้วยท่าทีถ่อมตน “ถ้าจะให้งามเพริศพริ้งเหมือนพวกนาง ตัวข้าคงต้องพอกไข่ขาวลบริ้วรอยทุกสามเวลาและก่อนนอน จากนั้นก่อนออกจากตำหนักต้องประโคมเครื่องประทินโฉม ทั้งแป้งหอมและผงชาดอีกเท่าใดแก้มถึงจะขาวอมชมพูระเรื่อมีเลือดฝาดดุจสาวแรกรุ่น พระนางฮองเฮาถ้าทราบว่าตัวข้าใช้ของสิ้นเปลือง คงถูกตำหนิไม่น้อย”

คำพูดของจินเฟยเรียกรอยยิ้มเอื้อเอ็นดูจากฮองเฮาได้ไม่น้อย ทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงดูเป็นกันเองมากขึ้นจนพระสนมชั้นเฟยผู้หนึ่งอดเอ่ยกับจินฉานไม่ได้ “มีคนจากบ้านเกิดอย่างจินเฟยอยู่ด้วย น้องหญิงอี๋คงจะอุ่นใจขึ้น ตัวข้าดีใจแทนเจ้าด้วยจริงๆ” นางกล่าวด้วยใบหน้าอิ่มเอิบอบอุ่นดั่งรูปปั้นพระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมเมตตายิ่งส่งเสริมให้คำพูดนั้นน่าเชื่อถือ

ฮองเฮาเห็นบรรยากาศชื่นมื่นเช่นนี้ก็ให้รู้สึกเบาใจ “ฝ่าบาทมีดำริให้เจ้าอยู่ที่ตำหนักผิงอัน ตรัสว่าเจ้าจะได้อยู่อย่างสงบสุขสราญสมราชทินนาม อี๋ ที่แปลว่าสุขกายสบายใจ ตัวข้าเองก็เห็นด้วย” พระนางว่า ก่อนพยักเพยิดให้หลิงซีนางกำนัลคนสนิทเทินกล่องไม้กล่องหนึ่งส่งให้จินฉาน “ดังนั้นตัวข้าจึงไปยังท้องพระคลังเลือกเฟ้นพระอวโลกิเตศวรสลักจากหยกขาวมันแพะทั้งก้อนด้วยตนเอง ข้าให้เจ้านำรูปสลักไปตั้งบูชาในห้องพระของตำหนัก กราบไหว้บูชาเป็นนิจ เพื่อให้ชีวิตในวังของเจ้าราบรื่นปลอดภัย”

จินฉานหลุบตาลงมองรูปสลักที่อยู่ในกล่องไม้บุแพรด้านในตรงหน้า รูปสลักจากหยกขาวมันแพะทั้งก้อนดั่งว่า เนื้อเนียนไร้รอยตำหนิและหินชนิดอื่นเจือปนราวกับผิวมนุษย์จริงๆ อีกทั้งชายแขนเสื้อและกระโปรงยังพลิกพลิ้วอ่อนช้อย คล้ายต้องสายลมอ่อนโชยโบกสะบัด เป็นพระอวโลกิเตศวรปางประทานพรที่พุทธลักษณะงดงามหาใดเปรียบ

เมื่อร่างแบบบางละสายตาจากพระอวโลกิเตศวรหยกขาวเลอค่า ดวงตากลมโตพลันสบเข้ากับจินเฟยที่มองมาที่นางอย่างกังวล ป๋ายอี้คือชนเผ่าหลายชนเผ่าที่เข้ามารวมตัวกันจนกลายเป็นแว่นแคว้น คนทุกผู้ในแคว้นต่างมีอิสระในการนับถือสิ่งที่ต้องการนับถืออย่างเต็มที่ แต่สำหรับชนชั้นสูงของป๋ายอี้นั้นรับถือบรรพบุรุษ นับถือธรรมชาติด้วยเชื่อว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือเทพเจ้าที่ไม่อาจล่วงล้ำก้ำเกิน มีพิธีกรรมบูชาบรรพชนและเทพเจ้าในทุกๆ ปี จึงเป็นข้อห้ามเด็ดขาดที่ไม่ให้บูชารูปเคารพจากลัทธิและศาสนาใดๆ ที่ต่างจากวิญญาณบรรพชนของป๋ายอี้ในวังเป็นอันขาด อี๋เหม่ยเหรินอายุยังน้อย มิเคยทราบข่าวคราวจากบ้านเกิดว่าอุปนิสัยใจคอของเด็กสาวผู้นี้เป็นเช่นไร ถ้าเกิดว่าทำท่าทีปั้นปึ่งหรือปฏิเสธของขวัญจากฮองเฮา เกรงว่าอนาคตในวังหลวงในภายภาคหน้าคงไม่ราบรื่นนัก

ทว่า จินฉานกลับลุกขึ้นยืนโดยมีนางกำนัลประคอง ยอบกายลงเพื่อแสดงถึงการคารวะสูงสุดพร้อมกล่าว “หม่อมฉันขอขอบพระทัยฮองเฮาในพระเมตตา หม่อมฉันจะดูแลรักษาสิ่งที่ฮองเฮาประทานให้อย่างดีที่สุดเพคะ” จากนั้นจึงให้ชุนเยี่ยนรับกล่องใส่รูปสลักเอาไว้ด้วยความท่าทีนอบน้อม

จินเฟยได้ยินเช่นนั้นก็ให้พอหายใจโล่งคอโล่งอกได้บ้าง ฮองเฮาเห็นท่าทีอ่อนน้อมว่าง่ายก็ให้รู้สึกพอพระทัย “ตัวข้าเห็นว่าอี๋เหม่ยเหรินชื่นชอบ พาให้รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง” ว่าพลางกรายนิ้วเรียวงามไปยังนางกำนัลสองสามคนที่ยืนอยู่ด้านนอก “ยังมี นางกำนัลที่ตัวข้ากับหลิวกุ้ยเฟยคัดเลือกไว้ให้กับเจ้า การมีนางกำนัลข้ารับใช้จากบ้านเกิดนับว่าเป็นเรื่องดีอยู่ แต่อย่างไรเสียก็ต้องมีนางกำนัลขันทีที่เป็นชาวต้าเจวียนอยู่ด้วย จะได้เรียกใช้ เบิกของจากส่วนกลางและไปมาหาสู่กับตำหนักอื่นได้สะดวก นอกจากสื่อสารกันกับผู้อื่นรู้เรื่องแล้ว ยังไม่ทำให้เจ้าขายหน้า เจ้าว่าดีหรือไม่?”

“พระกรุณาของฮองเฮาและหลิวกุ้ยเฟย หม่อมฉันซาบซึ้งใจยิ่งนักเพคะ” จินฉานเอ่ย จากนั้นจึงลุกขึ้น ปรายตามองไปยังนางกำนัลเหล่านั้น พวกนางพร้อมใจถวายความเคารพทำให้หญิงสาวยิ้มอ่อนบางเป็นเชิงตอบรับ

“นับว่าน้องหญิงอี๋มีวาสนายิ่งนัก มาถึงต้าเจวียนเพียงไม่กี่วันก็ได้รับพระเมตตาจากทั้งฝ่าบาท พระนางฮองเฮา และกุ้ยเฟยถึงเพียงนี้” พระสนมตำแหน่งผินสกุลซูเอ่ยเสริม ซึ่งสนมนางอื่นต่างพยักหน้าเห็นดีเห็นงามจนปิ่นเงินทองดอกไม้ไหวแต่ละนางขยับส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะเพราะพริ้งกังวานราวกังสดาล พาให้บรรยากาศภายในตำหนักเฟิ่งหวงอบอุ่นสว่างสดใสราววสันตกาล

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เล่ห์แค้นจินฉาน   เงื่อนเชือก 4

    ในเมื่อไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติม คำพูดเมื่อครู่จึงคล้ายกับสายลมที่ผ่านเลย จินฉานจ้องมองมือขาวเนียนดั่งหยกมันแพะเนื้อเย็นที่ขยับเชือกถักอย่างคล่องแคล่ว ไม่ช้าไม่นานก็กลายเป็นรูปลักษณ์คล้ายกงล้อของเกวียน ที่ใช้กันในศาสนาพุทธนิกายมหายานซึ่งนางเคยเห็นที่อารามหลวง จินเฟยเห็นอีกฝ่ายดูสนอกสนใจจึงอธิบายเสียงนุ่ม “นี่คือเงื่อนฝ่าหลุน (เงื่อนธรรมจักร) อันนี้องค์ชายเจ็ดเพิ่งมาขอให้ตัวข้าทำเป็นพู่ห้อยกระบี่แทนอันเก่าที่ขาดไป ฝ่าหลุนคือธรรมจักร คือกงล้อแห่งธรรม ข้าให้เขาห้อยติดที่ด้ามกระบี่เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าคราใดที่ชักกระบี่ออกมาให้ใช้พระธรรมนำทาง ใช้กระบี่เพื่อผดุงคุณธรรม อย่าได้หลงตกไปในห้วงแห่งกิเลสอันได้แก่ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นอันขาด”จินฉานพยักหน้า “อาหญิงใส่ใจบุตรธิดาอย่างยิ่ง แม้แต่เงื่อนเชือกนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังมีความหมายเป็นนัยลึกซึ้งเช่นนี้ ถ้าอาหญิงมีเวลา ใคร่อยากให้ท่านช่วยสอนข้าผูกเงื่อนฝ่าหลุนด้วยได้หรือไม่” เมื่อเห็นจินเฟยพยักหน้าตอบรับจึงหยิบเชือกเงื่อนอีกชิ้นหนึ่งที่ประดับหยกลายสิงโตแม่ลูกขึ้นมาดู “แล้วเงื่อนนี้ล่ะเพคะ”“เรียกว่าเงื่อนจี๋เสียง สื่อถึงโชคลาภและความสงบสุข หม่

  • เล่ห์แค้นจินฉาน   เงื่อนเชือก 3

    วันรุ่งขึ้น หลังจากเสร็จสิ้นการถวายบังคมช่วงเช้า ฮองเฮาตัดสินใจรั้งตัวเหล่าสนมนางในเพื่อปรึกษาหารือกันในงานเทศกาลตวนอู่ที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า “จริงอยู่หน้าที่ในการจัดเตรียมงานส่วนใหญ่จะเป็นตัวข้า หลิวกุ้ยเฟย และจินเฟย ร่วมกันเป็นแม่งานกำกับฝ่ายพิธีการ แต่ตัวข้าเองก็อยากให้เหล่าสนมนางในมีส่วนร่วมทำให้งานครึกครื้น นอกจากจะมีการร่วมกันทำขนมโร่วจ้งรสชาติแปลกใหม่ให้ฝ่าบาทและหวงไทโฮ่วเสวยแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้มีการจัดการแสดงเล็กน้อย ถ้าน้องหญิงคนใดมีความสามารถในการขับร้องร่ายรำสามารถเข้าร่วมได้ทันที มิต้องเกรงใจ”เหล่าบุปผางามต่างขานรับด้วยท่าทีกระตือรือร้นแข็งขัน จากนั้นจึงมีเสียงสนทนาแผ่วเบาแต่ไพเราะปานนกการเวกกล่าวถ้อยวาจาซักถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานพอเป็นพิธี ฮองเฮามองเห็นเช่นนั้นก็ให้พึงพอใจอย่างยิ่ง การสนทนาดำเนินไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาจึงมีรับสั่งให้เหล่าสนมนางในแยกย้ายกลับตำหนักของตนจินเฟยก้าวออกจากตำหนักเฟิ่งหวงโดยมีนางกำนัลประคองอยู่ไม่ห่าง มิคาดว่าผู้ที่เดินตามหลังมาโดยทิ้งระยะห่างอย่างเหมาะสมจะเป็นอี๋เหม่ยเหริน จินฉาน นางหยุดเดินแล้วหันกลับมามองเด็กสาวที่ย่อกายทำคว

  • เล่ห์แค้นจินฉาน   เงื่อนเชือก 2

    “พระสนมอย่าล้อหม่อมฉันเล่นเช่นนี้เลยเพคะ” ชุนเยี่ยนกล่าวเสียงแผ่วค่อย จินฉานได้แต่เพียงอมยิ้มไม่หยุด ก่อนจูงมือปี้อันมา แล้วป้ายชาดทาปากสีเดิมให้อีกครั้ง “ปี้อัน เจ้าก็ด้วย ทำหน้าหวาดกลัวรังเกียจเช่นนั้นกับของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้เห็นทีคงไม่เหมาะกระมัง หรือว่าเจ้าคิดว่าเครื่องประทินโฉมเหล่านี้ทำด้วยวิธีการเดียวกับที่ตัวข้าเล่าให้ฟังกัน เหลวไหลเสียจริง ข้าแกล้งเล่านิทานขู่ให้พวกเจ้ากลัวเข้าหน่อยก็เชื่อกันเป็นตุเป็นตะขนาดนี้ ใช้ได้ที่ไหน”“ถ้าเป็นแค่นิทาน หม่อมฉันก็คงต้องขอชมพระสนมจากใจจริงเลยว่าพระองค์ช่างเล่าได้สมจริงอย่างยิ่ง...สมจริงราวกับเห็นกับตา” เฉิงฮวานย่อกายคารวะอย่างอ่อนน้อม แสดงท่าทีถึงความนับถือ นี่นางยังไม่แน่ใจตนเองเลยว่าหลังจากฟังเรื่องที่เจ้านายนางเล่าแล้วจะกลับไปนอนหลับได้ลงหรือไม่ทว่าชุนเยี่ยนกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น มีสัญญาณบางอย่างในกายร้องเตือนว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคือเรื่องจริง...ขณะที่เจ้านายของนางเล่าก็มีภาพเลือนรางไม่ปะติดปะต่อแล่นผ่านเข้ามาในหัวตลอดเวลาจนถึงขนาดอุปาทานไปว่าตนเองได้กลิ่นศพเหม็นเน่าลอยโชยเข้าจมูกจนทำให้สีหน้าของนางย่ำแย่จนแทบดูไม่ได้ แต่พอนึกอะไรออก

  • เล่ห์แค้นจินฉาน   เงื่อนเชือก 1

    เมื่อจินฉานและชุนเยี่ยนกลับถึงตำหนักผิงอัน กล่องสีแดงกำมะหยี่และหีบใบเล็กจำนวนหนึ่งก็วางอยู่จนเต็มโต๊ะที่ไว้สำหรับรับประทานอาหาร มีปี้อันที่ส่งเสียงอือๆ อาๆ พยายามจะอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จนเฉิงฮวานต้องสะกิดเตือนแล้วรายงานแทน “เมื่อครู่คนจากตำหนักใหญ่นำของพระราชทานจากฮ่องเต้มาเพคะ นัยว่าเป็นของรางวัลที่นายหญิงทำพระเขนยถวายฝ่าบาท”จินฉานอมยิ้มจาง พลางนั่งลงที่กี๋กระเบื้องเคลือบลวดลายวิจิตรเบื้องหน้ากล่องและหีบกองโต นางเลือกเปิดหีบไม้สลักลายดอกเหมยใบหนึ่ง พบว่าเป็นตลับกระเบื้องเคลือบบรรจุแป้งหอมนานาชนิด ทั้งแป้งหอมโม่ลี่ แป้งจื่อเฟิน แต่ละตลับส่งกลิ่นหอมจรุงแต่ไม่ฉุนจัด อีกทั้งยังมีชาดทาปากทั้งแบบผสมขี้ผึ้งบรรจุตลับกระเบื้องหลากสีสันและเป็นกระดาษชาดแบบที่ใช้แนบเม้มริมฝีปากอิ่มแยกเอาไว้ในกล่องเล็กๆ ต่างหาก นอกจากนี้ยังมีโต๊ะเครื่องแป้งที่เมื่อเปิดประตูออกก็จะมีตุ๊กตารูปนางกำนัลตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูสองมือถือถาดเทินหวี สือไต้เขียนคิ้ว และน้ำปรุงดอกเหมยกุ้ยจากป๋อสื่อเคลื่อนด้วยลานมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ปี้อันที่ยังเด็กดูตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ส่วนเฉิงฮวานเห็นเช่นนั้นก็ให้อมยิ้ม “โต๊ะเครื่องแป

  • เล่ห์แค้นจินฉาน   หวงไทโฮ่ว 4

    หลังจากปลุกปลอบกันอยู่ครู่หนึ่ง พอท่าทีหวงไทโฮ่วคลายเศร้าโศกได้จึงขอทูลลากลับ ระหว่างที่ประคองผู้เป็นนายเดินไปตามเส้นทางสายยาวของราชอุทยาน ชุนเยี่ยนครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักหรูหลาน คลับคล้ายว่าสิ่งที่จินฉานและหวงไทโฮ่วสนทนากันในวันนี้มีส่วนที่นางคลับคล้ายจะเข้าใจและไม่เข้าใจ ส่วนที่เหมือนจะเข้าใจนั้นก็ดั่งมองผ่านม่านหมอกเลือนราง ไม่อาจจับต้นชนปลายได้ ยิ่งพยายามเค้นสมองคิดยิ่งรู้สึกปวดศีรษะอย่างยิ่งจนต้องเอามือนวดขมับตนเองเบาๆ จินฉานเห็นดังนั้นจึงหยุดเดิน แล้วปรายตามองอีกฝ่ายเงียบๆ ชุนเยี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงพยายามทำตนให้เป็นปกติ “ขออภัยเพคะ หม่อมฉันจู่ ๆ ก็รู้สึกเวียนศีรษะ...”จินฉานได้ยินเช่นนั้นก็อมยิ้ม ส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่เป็นไร อากาศที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา อีกทั้งเมื่อครู่เจ้ายังเจอเรื่องชวนให้สับสนอีก จะปวดศีรษะก็ไม่แปลก วันนี้เรากลับตำหนักเร็วหน่อย ข้าจะให้ปี้อันต้มยาให้เจ้าดื่ม และพักผ่อนเสีย ข้าอนุญาตให้เจ้าลาหยุดหนึ่งวัน ไม่ต้องมาปรนนิบัติตัวข้า”ชุนเยี่ยนได้แต่พยักหน้าขอบพระทัยเงียบ ๆ ก่อนที่จะถูกจินฉานเร่งฝีเท้าให้รีบเดิน จนกลายเป็นว่านางถูกเจ้านายของนางจูงมือกลับเข

  • เล่ห์แค้นจินฉาน   หวงไทโฮ่ว 3

    เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวปานดอกไม้ที่ขาดคนรดน้ำดูแลรักษาพลันค่อยๆ ผลิบานพองฟูอย่างเป็นสุข เนิ่นนานนับปีที่พระนางต้องอยู่อย่างหน้าชื่นอกตรม ฝั่งหนึ่งได้รับการสรรเสริญเยินยอจากประชาและเหล่าขุนนางว่าเป็นมารดาที่คำนึงถึงความถูกต้อง แม้นว่าสายเลือดของตนจะทำผิดแต่ก็ไม่คิดคัดค้านฮ่องเต้ที่เป็นโอรสในการมีราชโองการลงทัณฑ์พระอนุชา ดำรงตนเป็นแบบอย่างของมารดาผู้มีคุณธรรม แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเบื้องหลังฉากนั้นพระนางก็ไม่ต่างกับมารดาที่หัวใจสลายคนหนึ่งที่ต้องเห็นบุตรคนหนึ่งสังหารบุตรอีกคนหนึ่งโดยที่ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้เลยพระนางบีบมือจินฉานตอบ “เด็กดี เด็กประเสริฐ ขอแค่เพียงเจ้าเชื่อว่า อู่เฉิงหวัง หลี่หยวน เป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าก็ไม่เสียใจอีกแล้ว”“ดูจากท่าทีของท่าน คิดเรื่องนี้คงมีเรื่องไม่ชอบมาพากล” จินฉานเอ่ย หวงไทโฮ่วถอนใจแช่มช้า มองสือม่านถัวนำถ้วยน้ำชาที่เริ่มเย็นชืดเพราะไม่ได้แตะต้องไปเปลี่ยน “ชอบมาพากลก็ดี ไม่ชอบมาพากลแล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อฮ่องเต้เชื่อในหลักฐานที่คนเหล่านั้นนำมาถวาย ในบ้านนี้เมืองนี้ ถ้าฮ่องเต้เชื่อสิ่งใด เหล่าขุนนางก็จำต้องคล้อยตาม ประจบเอาใจดั

  • เล่ห์แค้นจินฉาน   หวงไทโฮ่ว 2

    “หวงไทโฮ่วอันใดกัน เรียกข้าว่าเสด็จแม่เถิด” นางยิ้มเอ่ย จินฉานเฉลียวฉลาดสักปานใด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา “เชิญเสด็จแม่เสวยพระสุธารสชาเพคะ”หวงไทโฮ่วรับถ้วยชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง จากนั้นจึงส่งถ้วยชาให้สือม่านถัวที่พยายามทำความเข้าใจกับสตรีที่รู้จักและไม่รู้จักทั้งสองคนอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังคงเก็บกักอารมณ์ของตนเองไว้ในดวงหน้าเรียบเฉยได้ แล้วจึงยืนอยู่รับใช้อย่างสำรวม มองทั้งคู่ที่นั่งอยู่เคียงกันประหนึ่งสะใภ้และแม่สามีที่รักใคร่ปรองดองครอบครัวหนึ่ง แล้วจึงมองเจ้านายของตนใช้มืออวบอิ่มที่สวมแหวนและกำไลหยกเขียวเข้มที่ข้อมือยกขึ้นเชยคางของจินฉานอย่างรักใคร่เอ็นดูอย่างยิ่ง “เจ้าคือจินฉานสินะ งามสมกับที่บุตรชายข้าเคยเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิจริงๆ”“ท่านผู้นั้นกล่าวเกินจริงไปเสียหน่อย หม่อมฉันจะงามอย่างไรก็มิอาจเทียบเสด็จแม่ ฮองเฮา กับบรรดาสนมนางในที่อยู่ ณ ที่นี้หรอกเพคะ”“งามแล้วอย่างไร ภายใต้รูปลักษณ์งดงามปานเทพธิดา แต่บทสนทนาที่แลกเปลี่ยน และกิเลสที่อยู่ในร่างแต่ละนางช่างน่ากลัว วันๆ ดีแต่มีความคิดช่วงชิงความโปรดปราน ทั้งหน้าซื่อใจคด ทั้งปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ พวกนางก็มีต่างกับอส

  • เล่ห์แค้นจินฉาน   หวงไทโฮ่ว 1

    หลังจากรอให้จินฉานทำธุระที่ตำหนักอันผิงจนเสร็จเรียบร้อย สือม่านถัวจึงนำทางไปยังตำหนักหรูหลานอันเป็นที่พำนักของหวงไทโฮ่ว ตำหนักแห่งนี้ห่างไกลจากตำหนักสนมนางในเยาว์วัย แต่กลับใกล้กับบรรดาตำหนักของเหล่าไท่เฟย ทำให้เสียงเจื้อยแจ้วปานนกกระจอกแตกรังของเหล่าหญิงสาวมิอาจรบกวนพระนาง แต่ในขณะเดียวกันกลับใกล้กับตำหนักของเหล่าไท่เฟยที่เคยสนิทกันกับหวงไทโฮ่วตั้งแต่สมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังสามารถไปมาหาสู่ได้โดยสะดวก บรรยากาศภายนอกร่มรื่น มีเหมยขาวและเหมยเขียวกำลังชูช่อบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมจรุงไปทั่วเมื่อจินฉานและชุนเยี่ยนมาถึง นางกำนัลอาวุโสจึงขอตัวไปรายงานกับหวงไทโฮ่ว จินฉานเพียงรับคำอย่างสงบ แล้วใช้เวลาระหว่างนั้นชมความงามของตำหนักไปพลางๆ จนสายตาไปสะดุดกับตัวอักษรแถวหนึ่งที่เขียนด้วยหมึกทอง นางอมยิ้ม “ที่แท้ชื่อตำหนักของหวงไทโฮ่วมาจากประโยคนี้”“ตัวอักษรแถวนั้นหรือเพคะ?” ชุนเยี่ยนถึงแม้ร่ำเรียนภาษาต้าเจวียนมา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบทสนทนาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และคำพูดในรั้วในวังที่จำเป็น ส่วนบทกลอนกวีของต้าเจวียนนั้นนางไม่กระดิกสักเรื่อง จะไม่เข้าใจก็ไม่แปลกจินฉานพยักหน้า “ประโยคนั้นอ่านว่า หรูหลานจ

  • เล่ห์แค้นจินฉาน   เซวียนเฟย 2

    ผ่านไปครึ่งชั่วยาม การสวดมนต์จึงเสร็จสิ้น เซวียนเฟยดูมีท่าทีที่มีความสุขเหลือประมาณ จินฉานมองเซวียนเฟยและอู่คงสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง เซวียนเฟยจึงหันไปทางจินฉาน ท่าทีเกรงอกเกรงใจหลายส่วน “อี๋เหม่ยเหริน พอดีว่าวันนี้ข้าจะอยู่สนทนาธรรมกับต้าซือต่อ ถ้ารั้งให้น้องอยู่ต่อ ข้าเองก็เกรงใจนัก ถ้าเจ้ามีธุระอันใดที่ต้องกลับไปจัดการก็สามารถกลับไปก่อนได้เลย มิต้องรอข้า”จินฉานเอ่ยปากหมายจะปฏิเสธ ทว่าเมื่อจ้องลึกเข้าไปในแววตาของเซวียนเฟย กลับพบนัยยะบางอย่าง ในใจร้องเตือนนางว่าไม่สมควรอยู่ต่อ จึงคลี่ยิ้มอ่อนหวานเอ่ย “ถ้าไม่ได้พี่หญิงเตือน หม่อมฉันคงลืมแล้ว ช่วงสายวันนี้จินเฟยเชิญหม่อมฉันไปตำหนักหรูอี้เพื่อเป็นเพื่อนเดินหมากกับพระนาง นี่ก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว หม่อมฉันคงต้องขอทูลลา และขอขอบพระทัยเซวียนเฟยที่ชวนหม่อมฉันมายังอารามหลวงแห่งนี้เพคะ”เซวียนเฟยเพียงพยักหน้ารับคำ ดวงตาคู่งามมองส่งสตรีอ่อนเยาว์ที่ติดตามนางมา ก่อนหันไปสนทนากับอู่คงต่อ...“พระสนม หม่อมฉันมิเห็นจำได้ว่าพระนางจินเฟยชวนพระสนมไปเดินหมากนะเพคะ” ชุนเยี่ยนย่นคิ้วขณะประคองแขนจินฉานเดินออกจากอาราม เด็กสาวหันไปยิ้ม แล้วเอ่ย “เจ้านี่ช่างไม่รู

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status