จินฉานเลิกคิ้วพร้อมส่งสายตาเป็นเชิงสงสัย ท่าทีใสซื่อทำเอาเจินเป่าหลินเม้มริมฝีปากมีท่าทีกระอักกระอ่วน ยิ่งมองไปเห็นสนมอื่นเลี่ยงสนทนากับคนข้างๆ บ้างยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นกดริมฝีปากข่มกลั้นอาการขบขัน ยิ่งทำให้ใบหน้าและใบหูของนางพลันร้อนผ่าว สุดท้ายจึงหยิบถ้วยชายกขึ้นจิบกลบเกลื่อน ฮองเฮาเห็นเช่นนั้นก็ส่งสายตาตำหนิเจินเป่าหลินแต่มิได้ว่ากล่าวอะไรเพิ่มเติม จากนั้นหันไปกล่าวกับจินฉานต่อเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “ได้ข่าวว่าระหว่างที่เดินทางมายังเมืองหลวง เจ้าเองก็ต้องลำบากไม่น้อย แต่ยังอยู่รอดปลอดภัย นับว่าสวรรค์คุ้มครองโดยแท้”
“หม่อมฉันเองก็คาดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะมีกลุ่มคนกล้าปล้นสะดมขบวนของป๋ายอี้ นอกจากนี้แล้วยังต้องขอขอบพระทัยองค์ชายสามกู้ไห่และองค์ชายห้ากู้อวิ๋นที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้มาประจำการคอยท่าอยู่ที่ด่านเจิ้งถังมาช่วยเหลือได้ทันการ มิเช่นนั้นต่อให้สวรรค์คุ้มครองเพียงใดหม่อมฉันก็คงยากที่จะพ้นด่านเคราะห์เช่นนี้ได้” เด็กสาวเอ่ยเสียงเบา ดวงตาหลุบลงต่ำอย่างหวาดหวั่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน แต่กลับแจ่มชัดราวกับเกิดขึ้นเมื่อวันวาน
สตรีในชุดสีเขียวครามหิมะยกยิ้มภาคภูมิ นางพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเต็มที่จนปิ่นระย้าทองคำขยับไหวสะท้อนแสงแดดพราวระยับ “องค์ชายสามของตัวข้าเห็นว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญกับน้องหญิงจึงได้รับอาสาไปด้วยตนเอง เชื่อว่าเขาคงได้แสดงฝีมือเป็นที่ประจักษ์แก่น้องหญิงไม่น้อยกระมัง”
จินฉานพอเดาได้ว่าผู้ที่กำลังเอ่ยคือหลิวกุ้ยเฟย พระมารดาขององค์ชายสามจึงพยักหน้ารับ “เพคะ หม่อมฉันได้เห็นกับตา องค์ชายสามกล้าหาญยิ่งนัก ลงแรงช่วยเหลือเต็มกำลัง มิกล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย” จากนั้นจึงกล่าวต่อ “ทว่าองค์ชายห้าเองนั้นแม้อายุยังน้อย แต่เขาก็ร่วมมือกับองค์ชายสาม ช่วยเหลือหม่อมฉันไม่ด้อยไปกว่ากัน วีรกรรมอันกล้าหาญขององค์ชายทั้งสองจินฉานขอจำใส่ใจ วันหน้าหม่อมฉันจะหาหนทางตอบแทนในภายหลังแน่นอนเพคะ”
“นั่นเพราะว่าองค์ชายห้าของตัวข้านั่นมีองค์ชายสามเป็นแบบอย่างที่ดี พี่น้องสมัครสมานร่วมใจต้องตามประสงค์ของฝ่าบาท ภารกิจช่วยเหลืออี๋เหม่ยเหรินจึงสำเร็จลุล่วงด้วยดี” ร่างงามระหงในชุดสีชมพูเฝิ่นหง ประดับศีรษะด้วยปิ่นเงินและปิ่นระย้าคลี่ยิ้มนุ่มนวล จินฉานหันไปมองไม่วางตา ทั้งยังส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรอย่างยิ่งมาให้ก็ให้นึกฉงน “อี๋เหม่ยเหริน มีอะไรหรือ?”
“ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันเสียมารยาท หม่อมฉันเพียงรู้สึกว่าคุ้นเคยกับพระองค์อย่างยิ่ง ทั้งเครื่องประดับ ปิ่นระย้าของพระองค์ ล้วนเป็นเครื่องประดับจากฝีมือช่างของป๋ายอี้เฉกเช่นเดียวกับหม่อมฉัน โดยเฉพาะพระพักตร์ของพระนาง คล้ายคลึงกับเสด็จพ่อของหม่อมฉันมากเพคะ”
จินเฟยแตะระย้าปิ่นเงินที่ทอประกายแวมวาวบนมวยผมของตน มองอีกฝ่ายอย่างเอื้อเอ็นดู “เรื่องนั้น...”
“อี๋เหม่ยเหรินไม่ทราบหรือ จินเฟยนั้นเป็นชาวป๋ายอี้เช่นเดียวกับเจ้า” ฮองเฮาเอ่ยแทรก พลันทำสีหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ “จริงสิ ตอนที่จินเฟยมายังต้าเจวียนแห่งนี้ก็ผ่านมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ถ้าคำนวณจากเวลา...อืม...น่าจะเป็นช่วงก่อนที่น้องหญิงจะเกิดเสียอีก จะไม่รู้จักก็ไม่แปลก”
“เป็นตามที่ฮองเฮาตรัสเพคะ เสด็จพ่อเคยเล่าเพียงว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนมีอาหญิงคนหนึ่งมาเป็นสนมอยู่ที่ต้าเจวียนแห่งนี้ก่อนที่หม่อมฉันจะเกิด...” จินฉานมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกายชื่นชม “ได้ยินเพียงคำเล่าลือ พอได้มาพบองค์จริง ทรงพระสิริโฉมยิ่งนักเพคะ” ได้ยินเช่นนั้นจินเฟยพลันหลุบตามองต่ำ มีท่าทีเขินอายอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้านั้นกล่าวเกินไป ตัวข้าอายุสามสิบเจ็ดปีเข้าไปแล้ว บุปผาผลิบานนานวันพลันโรยรา จะให้สู้กับเหล่าน้องหญิงที่เสมือนอิงฮวายามวสันตกาลได้อย่างไร” จินเฟยเอ่ยด้วยท่าทีถ่อมตน “ถ้าจะให้งามเพริศพริ้งเหมือนพวกนาง ตัวข้าคงต้องพอกไข่ขาวลบริ้วรอยทุกสามเวลาและก่อนนอน จากนั้นก่อนออกจากตำหนักต้องประโคมเครื่องประทินโฉม ทั้งแป้งหอมและผงชาดอีกเท่าใดแก้มถึงจะขาวอมชมพูระเรื่อมีเลือดฝาดดุจสาวแรกรุ่น พระนางฮองเฮาถ้าทราบว่าตัวข้าใช้ของสิ้นเปลือง คงถูกตำหนิไม่น้อย”
คำพูดของจินเฟยเรียกรอยยิ้มเอื้อเอ็นดูจากฮองเฮาได้ไม่น้อย ทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงดูเป็นกันเองมากขึ้นจนพระสนมชั้นเฟยผู้หนึ่งอดเอ่ยกับจินฉานไม่ได้ “มีคนจากบ้านเกิดอย่างจินเฟยอยู่ด้วย น้องหญิงอี๋คงจะอุ่นใจขึ้น ตัวข้าดีใจแทนเจ้าด้วยจริงๆ” นางกล่าวด้วยใบหน้าอิ่มเอิบอบอุ่นดั่งรูปปั้นพระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมเมตตายิ่งส่งเสริมให้คำพูดนั้นน่าเชื่อถือ
ฮองเฮาเห็นบรรยากาศชื่นมื่นเช่นนี้ก็ให้รู้สึกเบาใจ “ฝ่าบาทมีดำริให้เจ้าอยู่ที่ตำหนักผิงอัน ตรัสว่าเจ้าจะได้อยู่อย่างสงบสุขสราญสมราชทินนาม อี๋ ที่แปลว่าสุขกายสบายใจ ตัวข้าเองก็เห็นด้วย” พระนางว่า ก่อนพยักเพยิดให้หลิงซีนางกำนัลคนสนิทเทินกล่องไม้กล่องหนึ่งส่งให้จินฉาน “ดังนั้นตัวข้าจึงไปยังท้องพระคลังเลือกเฟ้นพระอวโลกิเตศวรสลักจากหยกขาวมันแพะทั้งก้อนด้วยตนเอง ข้าให้เจ้านำรูปสลักไปตั้งบูชาในห้องพระของตำหนัก กราบไหว้บูชาเป็นนิจ เพื่อให้ชีวิตในวังของเจ้าราบรื่นปลอดภัย”
จินฉานหลุบตาลงมองรูปสลักที่อยู่ในกล่องไม้บุแพรด้านในตรงหน้า รูปสลักจากหยกขาวมันแพะทั้งก้อนดั่งว่า เนื้อเนียนไร้รอยตำหนิและหินชนิดอื่นเจือปนราวกับผิวมนุษย์จริงๆ อีกทั้งชายแขนเสื้อและกระโปรงยังพลิกพลิ้วอ่อนช้อย คล้ายต้องสายลมอ่อนโชยโบกสะบัด เป็นพระอวโลกิเตศวรปางประทานพรที่พุทธลักษณะงดงามหาใดเปรียบ
เมื่อร่างแบบบางละสายตาจากพระอวโลกิเตศวรหยกขาวเลอค่า ดวงตากลมโตพลันสบเข้ากับจินเฟยที่มองมาที่นางอย่างกังวล ป๋ายอี้คือชนเผ่าหลายชนเผ่าที่เข้ามารวมตัวกันจนกลายเป็นแว่นแคว้น คนทุกผู้ในแคว้นต่างมีอิสระในการนับถือสิ่งที่ต้องการนับถืออย่างเต็มที่ แต่สำหรับชนชั้นสูงของป๋ายอี้นั้นรับถือบรรพบุรุษ นับถือธรรมชาติด้วยเชื่อว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือเทพเจ้าที่ไม่อาจล่วงล้ำก้ำเกิน มีพิธีกรรมบูชาบรรพชนและเทพเจ้าในทุกๆ ปี จึงเป็นข้อห้ามเด็ดขาดที่ไม่ให้บูชารูปเคารพจากลัทธิและศาสนาใดๆ ที่ต่างจากวิญญาณบรรพชนของป๋ายอี้ในวังเป็นอันขาด อี๋เหม่ยเหรินอายุยังน้อย มิเคยทราบข่าวคราวจากบ้านเกิดว่าอุปนิสัยใจคอของเด็กสาวผู้นี้เป็นเช่นไร ถ้าเกิดว่าทำท่าทีปั้นปึ่งหรือปฏิเสธของขวัญจากฮองเฮา เกรงว่าอนาคตในวังหลวงในภายภาคหน้าคงไม่ราบรื่นนัก
ทว่า จินฉานกลับลุกขึ้นยืนโดยมีนางกำนัลประคอง ยอบกายลงเพื่อแสดงถึงการคารวะสูงสุดพร้อมกล่าว “หม่อมฉันขอขอบพระทัยฮองเฮาในพระเมตตา หม่อมฉันจะดูแลรักษาสิ่งที่ฮองเฮาประทานให้อย่างดีที่สุดเพคะ” จากนั้นจึงให้ชุนเยี่ยนรับกล่องใส่รูปสลักเอาไว้ด้วยความท่าทีนอบน้อม
จินเฟยได้ยินเช่นนั้นก็ให้พอหายใจโล่งคอโล่งอกได้บ้าง ฮองเฮาเห็นท่าทีอ่อนน้อมว่าง่ายก็ให้รู้สึกพอพระทัย “ตัวข้าเห็นว่าอี๋เหม่ยเหรินชื่นชอบ พาให้รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง” ว่าพลางกรายนิ้วเรียวงามไปยังนางกำนัลสองสามคนที่ยืนอยู่ด้านนอก “ยังมี นางกำนัลที่ตัวข้ากับหลิวกุ้ยเฟยคัดเลือกไว้ให้กับเจ้า การมีนางกำนัลข้ารับใช้จากบ้านเกิดนับว่าเป็นเรื่องดีอยู่ แต่อย่างไรเสียก็ต้องมีนางกำนัลขันทีที่เป็นชาวต้าเจวียนอยู่ด้วย จะได้เรียกใช้ เบิกของจากส่วนกลางและไปมาหาสู่กับตำหนักอื่นได้สะดวก นอกจากสื่อสารกันกับผู้อื่นรู้เรื่องแล้ว ยังไม่ทำให้เจ้าขายหน้า เจ้าว่าดีหรือไม่?”
“พระกรุณาของฮองเฮาและหลิวกุ้ยเฟย หม่อมฉันซาบซึ้งใจยิ่งนักเพคะ” จินฉานเอ่ย จากนั้นจึงลุกขึ้น ปรายตามองไปยังนางกำนัลเหล่านั้น พวกนางพร้อมใจถวายความเคารพทำให้หญิงสาวยิ้มอ่อนบางเป็นเชิงตอบรับ
“นับว่าน้องหญิงอี๋มีวาสนายิ่งนัก มาถึงต้าเจวียนเพียงไม่กี่วันก็ได้รับพระเมตตาจากทั้งฝ่าบาท พระนางฮองเฮา และกุ้ยเฟยถึงเพียงนี้” พระสนมตำแหน่งผินสกุลซูเอ่ยเสริม ซึ่งสนมนางอื่นต่างพยักหน้าเห็นดีเห็นงามจนปิ่นเงินทองดอกไม้ไหวแต่ละนางขยับส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะเพราะพริ้งกังวานราวกังสดาล พาให้บรรยากาศภายในตำหนักเฟิ่งหวงอบอุ่นสว่างสดใสราววสันตกาล
“ชีวิตเจ้าที่ต้องทนทุกข์อยู่ในตำหนักเย็นแห่งนี้ยังอีกยาวไกล อย่าเพิ่งรีบร้อนปลิดชีวิตตนเอง”หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองบุรุษที่นางเคยรัก เคยมีช่วงเวลาที่ตกอยู่ในบ่วงเสน่หาร่วมกัน เคยคาดหวังรอคอยถึงชีวิตคู่ที่อบอุ่นพร้อมหน้า ทว่าคนตรงหน้านี้กลับไม่เหลือเค้าของผู้ที่อยู่ในห้วงความทรงจำอีกต่อไป กลับเป็นบุรุษที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เป็นผู้ชายที่พร้อมจะสลัดนางออกไปจากชีวิตเพื่อลาภยศของตนอย่างแท้จริง...หลีอ๋องปล่อยให้อดีตคนรักมองเขาจนพอใจ เขาพรูลมหายใจอย่างนึกสมเพช จากนั้นจึงหันหลังค่อยๆ เดินจากไป หญิงสาวจ้องมองแผ่นหลังสง่างามของอีกฝ่ายเขม็ง ขบฟันกรืดกรอดจนแทบแหลกละเอียด ก่อนตัดสินใจเอ่ยเรียก“ท่านอ๋อง!”เมื่อหลีอ๋องหันกลับมาครั้ง หญิงสาวก็เข้ามาประชิดตัวแล้วทำให้มิอาจปัดป้องหลบหนี รู้ตัวอีกทีสองแขนของนางก็สวมกอดเขาไว้แน่นอีกครั้ง พร้อมริมฝีปากอิ่มที่ประกบเข้าที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม เพื่อมอบจูบอ่อนหวานเฉกเช่นที่พวกเขาเคยถ่ายเทแลกเปลี่ยนเวลาลอบพบกัน...สายลมด้านนอกตำหนักปิงตี้เหลียนหวีดหวิวพร้อมพัดพาความหนาวเย็นเสียดกระดูก ทว่าฮ่องเต้และจินฉานก็ยังไม่มีทีท่าขยับ ราวกับรอ
...เนื่องจากนั่งอยู่ที่เก้าอี้กุ้ยเฟยเป็นระยะเวลานาน ขาทั้งสองข้างจึงไม่สามารถขยับเดินเหินได้ดั่งใจ จำต้องใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนก้าวโผเผเข้าไปหา มือซึ่งทั้งสิบนิ้วสวมแหวนเงินเปรอะเปื้อนเลือดและน้ำเหลืองจากการกอดกล่องใส่ซากทารกมาเนิ่นนานตรงเข้าสวมกอดอีกฝ่าย ใบหน้าซุกซบลงกับอกกว้าง น้ำตาหลั่งริน “ดี...ดียิ่ง เป็นเช่นนี้แสดงว่าท่านได้คืนตำแหน่งอ๋องแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราฮ่องเต้ยอมรับแล้วใช่หรือไม่? ที่ท่านมาวันนี้เพื่อมารับพวกเราแม่ลูกไปอยู่กับท่านใช่หรือไม่?”หลีอ๋องหรืออดีตต้าซืออู่คงมองเจ้าของริมฝีปากที่กล่าวพร่ำเพ้อไม่หยุดปากด้วยรอยยิ้ม..รอยยิ้มที่แสดงถึงความสมเพชสังเวชอย่างถึงที่สุด เขาผละจากอ้อมกอดอย่างนึกรังเกียจ ทว่าเนื่องด้วยจำเป็นต้องส่งยิ้มอบอบอุ่น ทั้งที่ในใจนั้นสุดแสนจะผะอืดผะอม จนรอยยิ้มที่พยายามปั้นออกมาดูพิลึกพิลั่น แต่หลีอ๋องยังคงเอื้อนเอ่ย “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ที่ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกให้เจ้าได้รับรู้”เซวียนเฟยพลันร่างกายแข็งทื่อ ดวงตากลอกไปมาท่าทางหวาดหวั่น นางจับมือเขาไว้แน่นแล้วพยายามดึงเขาให้เดินไปพร้อมกับนางพลางเอ่ยเพียงพร่า “ไ
เซวียนเฟยช้อนตาขึ้นมองด้วยความฉงน แล้วเอ่ย “ข้าจะให้ลูกกินนม เขาหิวแล้ว เสียงร้องไห้ดังไปทั่ว เจ้าไม่ได้ยินเลยหรือ?”หยวนจิ่นขนลุกชูชันพลางหันรีหันขวางมองไปรอบๆ จนแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ยินเสียงตามที่เซวียนเฟยกล่าวอ้างแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะใช้คำพูดตามจริงทำร้ายจิตใจ ได้แต่จัดสาบเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดและน้ำเหลืองที่ไหลซึมออกมาจากรอบฝากล่องของอีกฝ่ายให้เข้าที่ พยายามส่งยิ้มฝืดเฝื่อนแล้วกล่าวเสียงอ่อน “อาห์ ที่แท้นายหญิงต้องการให้นมองค์ชายน้อย แต่ว่าเท่าที่หม่อมฉันเห็น ท่านไม่ได้ดื่มน้ำและรับประทานอาหารอย่างเต็มที่มาหลายวันแล้ว เกรงว่าน้ำนมจะมีไม่เพียงพอ ท่านควรจะรับประทานอะไรบ้าง” ว่าพลางผละออกจากเซวียนเฟยอย่างแนบเนียน “อย่างไรเสียให้หม่อมฉันไปดูที่ห้องเครื่องเสียหน่อย ว่ามีอะไรพอให้นายหญิงรับประทานได้บ้าง ท่านรออยู่ตรงนี้ อย่าเพิ่งไปไหนนะเพคะ”เซวียนเฟยพยักหน้าช้าๆ ท่าทีสงบเสงี่ยมว่าง่ายนั้นทำให้หยวนจิ่นเบาใจ จึงเดินไปยังห้องเครื่องเพื่อเตรียมอาหารให้ตามที่ได้ว่าไว้โดยปล่อยให้เจ้านายของตนอยู่เพียงลำพังนาฬิกาน้ำที่วางอยู่ที่มุมห้องบ่งบอกเวลาว่าผ่านไปสองเค่อแล้ว อาจเป็นเพราะอา
จินฉานร้องอาห์พลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นจึงเอ่ยถามต่อ “แล้วต้าซืออู่คงล่ะเพคะ เป็นเช่นไรบ้าง”ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “เหตุใดถึงอยากรู้”จินฉานเพียงยิ้มน้อยๆ กล่าว “วันก่อนหม่อมฉันได้ไปงานเลี้ยงน้ำชาที่ตำหนักของฟู่เหม่ยเหริน ได้ยินเหล่าพี่สาวน้องสาวเล่าลือกันว่าต้าซือร่วมสวดอำนวยพรให้พี่เซวียนเฟยไม่สำเร็จ ซ้ำยังทำให้นางให้กำเนิดสิ่งอัปมงคล ฝ่าบาททรงกริ้วนัก สั่งปลดต้าซือจากเจ้าอารามแล้วนำไปไต่สวน ลงทัณฑ์ทรมานสารพัด จนป่านนี้แล้วเสียงของต้าซือยังร้องโหยหวนออกจากฝ่ายราชทัณฑ์ไม่หยุด” จินฉานว่าพลางลูบแขนตนเองไปมา ท่าทางขนพองสยองเกล้า “หม่อมฉันฟังแล้วกลัวยิ่งนัก แต่เชื่อมั่นว่าฝ่าบาทมิใช่คนพระทัยโหดเหี้ยมปานนั้น เห็นว่าวันนี้เป็นโอกาสดี หม่อมฉันเลยทำใจกล้า ทูลถามฝ่าบาทโดยตรง”ฮ่องเต้จ้องมาที่อีกฝ่ายนิ่ง จนจินฉานขยับตัวอย่างรู้สึกอึดอัด “หม่อมฉัน...หม่อมฉันสมควรตาย ไม่ควรถามอันใดไร้สาระเช่นนี้”แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าช้าๆ ท่าทียังเอื้อเอ็นดูมิคลาย “เรามิได้จะตำหนิเจ้า แต่เรากำลังคิดว่าฟู่เหม่ยเหรินนี่เป็นสตรีปากมาก วาดขาเติมตาให้มังกรเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ว่างๆ เราจะให้นางคัดตำราสักสิบจบน่าจะช่วยได
ศพของทารกผู้นั้นลือกันว่าถูกนำไปฝังบริเวณลานทิ้งศพของเหล่านางกำนัลขันทีอย่างเงียบๆ ไร้นาม ไร้พิธีศพ ไร้การสถาปนายศหลังจากสิ้นพระชนม์ ไม่มีการกล่าวถึง ทั่วทั้งวังหลวงต่างปฏิบัติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคราวนั้นเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่ง ไม่เคยมีตัวตนอันแสนอัปลักษณ์ที่เซวียนเฟยให้กำเนิดอุบัติขึ้นในตำหนักปิงตี้เหลียนมาก่อนช่วงนี้ฮ่องเต้มิอาจบรรทมที่ตำหนักใหญ่ได้ จึงได้แต่แวะเวียนไปยังตำหนักต่างๆ แต่สถานที่ที่ทำให้เขารู้สึกสงบใจลงได้อย่างที่สุดคงมีแต่งตำหนักผิงอันของอี๋ผิน ระยะหลังมานี้ถ้าไม่ต้องออกว่าราชการในตอนเช้า ก็มักจะขลุกอยู่แต่ในตำหนักผิงอัน โดยให้หลี่ฮุ่ยนำฎีกามาอ่านที่ตำหนัก ซึ่งจินฉานเองก็มิได้ทำสิ่งใดเป็นการรบกวนให้รำคาญใจ หลังจากชงชากาหนึ่งถวาย ก็มักจะหาหนังสือมาอ่าน ไม่ก็หางานฝีมือมาทำอยู่ไม่ห่างกัน ใช้เวลาร่วมกันยาวนานหลายชั่วยามอย่างสงบจากนั้นจึงร่วมรับประทานอาหารกลางวันและเย็น จากนั้นจึงให้จินฉานถวายการปรนนิบัติฮ่องเต้แล้วเข้าบรรทม เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องนานนับครึ่งเดือนจนกลายเป็นภาพชินตาวันหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มหนาวเย็นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบเฟิงจากต้นเฟิงที่ปลูกอย
“แต่ว่าพี่หญิงเซวียนเฟย...” จินเฟยเอ่ยแย้งเสียงเบา ทว่าฮ่องเต้ไม่มีท่าทีเคืองโกรธ กลับยินยอมอธิบายโดยดี “ห้องคลอดเป็นเรื่องของหมอตำแยและตัวผู้เป็นแม่ของเด็ก พวกเรารออยู่เช่นนี้ก็มิอาจเข้าไปช่วยเหลืออันใดได้ สู้ไปอยู่ที่อื่น อย่าได้เกะกะพวกเขาทำงานอีกเลย”ฮองเฮาและจินเฟยแม้จะรู้สึกไม่เห็นด้วย แต่ก็มิได้กล่าวอันใดมากความเนื่องด้วยมิใช่ธุระปะปังอันใดของตนไม่ เพียงแค่รับคำอย่างสำรวม แล้วเดินตามฮ่องเต้ไปยังตำหนักปีกอีกที่ ยิ่งเดินเสียงของเซวียนเฟยที่กำลังอยู่ในช่วงเป็นตายยิ่งห่างไกลลงไปทุกที สุดท้ายตำหนักปีกที่เคยเงียบสงบนั้นก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ชื่นมื่นไร้กังวลจนเสียงชุลมุนวุ่นวายของตำหนักส่วนกลางนั้นถูกกลบไปเสียสิ้น...ทว่าบรรยากาศรื่นรมย์นั้นก็ถูกกลบด้วยเสียงกรีดร้องจากตำหนักกลาง จินฉานเพียงปรายตาไปมองยังประตู พลันเห็นหยวนจิ่น นางกำนัลคนสนิทของเซวียนเฟย วิ่งเข้ามาในตำหนักปีกอย่างลืมสำรวมกิริยา สุดท้ายเข่าสองข้างพลันอ่อนยวบทรุดลงเบื้องหน้าฮ่องเต้และฮองเฮาที่หยุดเดินหมากกลางคัน ก่อนฟุบหน้าลงกับพื้นกราบทูลเสียงสั่นเครือจนเหมือนกับจะร้องไห้ “กราบทูลฝ่าบาท กราบทูลฮองเฮา นายหญิง...นายหญิง