ยามออกจากตำหนักเฟิ่งหวงอีกครั้ง ละอองหิมะโปรยปราย ต้องชุนเยี่ยนประคองจินฉานเดินมายังตำหนักผิงอันพร้อมด้วยผู้ติดตามจากบ้านเกิดและนางกำนัลชาวต้าเจวียนที่เพิ่งได้รับมาจากหลิวกุ้ยเฟยอีกจำนวนหนึ่ง ขันทีและนางกำนัลประจำตำหนักต่างยืนเรียงแถวรอต้อนรับพระสนมคนใหม่อย่างนอบน้อม หญิงสาวพยักหน้าเป็นเชิงให้ทั้งหมดลุกขึ้น นางปรายตามองตำหนักปีกทั้งซ้ายขวา แล้วจึงเอ่ยถามกับนางกำนัลที่ดูอาวุโสที่สุดในแถว “ที่นี่นอกจากตัวข้าแล้ว มิมีสนมผู้อื่นอีกหรือ?”
สตรีนางนั้นเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ทูลพระสนม ฝ่าบาททรงเห็นว่าพระสนมนิยมชมชอบความสงบมาแต่ไหนแต่ไร จึงได้ให้ถงไฉ่เหรินและเจินเป่าหลินที่เคยอยู่ที่ตำหนักปีกซ้ายและขวาย้ายไปยังตำหนักอื่นเพคะ”
จินฉานถอนใจน้อยๆ มิน่าเจินเป่าหลินผู้นั้นถึงได้กล่าววาจากระทบกระเทียบนางเช่นนั้น ที่แท้เป็นวิหคที่ถูกแย่งรังนี่เอง “ฝ่าบาทไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย ทำเช่นนี้จะทำให้ตัวข้าถูกพระสนมคนอื่นเขม่นเอาได้”
หลีฮุ่ยที่ติดตามมาภายหลังได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าว “พระสนมอย่าได้กังวลไป ทั้งหมดทั้งมวลนี้ฝ่าบาทเพียงปรารถนาให้ท่านอยู่อย่างสงบ จากที่เห็นที่ตำหนักเฟิ่งหวง ฮองเฮาและเหล่าสนมตำแหน่งสูงต่างให้ความเอ็นดูท่านไม่น้อย ท่านเองเป็นผู้เฉลียวฉลาด หมั่นไปเยือนตำหนักของพระสนมต่างๆ บ่อยครั้งเสียหน่อย รู้จักผูกไมตรีกับผู้ที่สมควรผูกไมตรี กระทำเช่นนี้จึงทำให้ท่านอยู่ในวังหลวงได้อย่างมีความสุข”
ร่างงามคลี่ยิ้มบาง “หลีกงกง ข้าเป็นหนี้คำแนะนำอันประเสริฐของท่านอีกแล้ว”
หลีฮุ่ยได้ฟังเพียงแค่ยิ้มรับ หลังจากนั้นจึงผายมือให้พระสนมคนงาม “เชิญพระสนมเข้าตำหนักเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เพียงย่างเท้าเข้าสู่ตำหนักผิงอัน สายตาของจินฉานพลันกวาดมองไปรอบๆ จมูกได้กลิ่นจางๆ ของสีและรักจากเครื่องเรือนที่บ่งบอกว่าสั่งทำใหม่เพื่อตำหนักผิงอันส่วนกลางนี้โดยเฉพาะ แต่ละชิ้นล้วนแกะสลักด้วยลวดลายสวยสด ทั้งเก้าอี้กุ้ยเฟย โต๊ะรับประทานอาหารทำจากไม้หนานมู่ เข้ากับแจกันหยกเขียว ต้นปะการังแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่ แจกันปากแคบหลางเหยาหง (郎窑红 คือ เครื่องดินเผาเคลือบสีแดงและทองแดง) สีแดงดังเลือดพิราบฉูดฉาดทว่าเลอค่าที่ตั้งประดับพร้อมกับเครื่องทองและเครื่องทองเหลืองอย่างหรูหรามีรสนิยม เมื่อมองปรายตามองไปยังทางเข้าห้องบรรทม มีม่านมุกที่ร้อยจากมุกเม็ดเล็กๆ ขนาดเท่าๆ กันร้อยเรียงเป็นสายคล้ายกับม่านพิรุณเดือนสารทกางกั้น เพียงมองลอดผ่านม่านมุกก็รู้ว่าภายในนั้นย่อมวิจิตรตระการไม่แพ้ในส่วนห้องรับรองนี้อย่างแน่นอน
จินฉานพินิจความงามของตำหนักนี้ด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนหันไปมองนางกำนัลประจำตำหนัก ซึ่งดูอาวุโสที่สุด “เจ้าชื่ออะไร?”
นางกำนัลผู้นั้นเอ่ยตอบ “หม่อมฉันชื่อเฉิงฮวานเพคะ”
เด็กสาวพยักหน้า “เฉิงฮวาน ตัวข้าเพิ่งได้รูปสลักพระอวโลกิเศวรมาจากฮองเฮา ช่วยนำทางข้าไปยังห้องพระตำหนักนี้ที ข้าจะนำรูปสลักไปประดิษฐานที่นั่น”
เฉิงฮวานรับคำ จากนั้นจึงเดินตามไปยังห้องพระ จินฉานเพียงให้ชุนเยี่ยนเทินกล่องรูปสลักเดินตามเข้าไปในห้อง ส่วนตนเพียงหยิบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งจากหีบใบใหญ่ที่ติดตัวจากป๋ายอี้เดินตามมา แล้วสั่งให้เฉิงฮวานกับคนอื่นๆ ไปรออยู่ที่ด้านนอกเพื่อคืนความสงบและความเป็นส่วนตัวให้กับสองนายบ่าวที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน
ชุนเยี่ยนเปิดกล่องกำมะหยี่นั้น นำรูปสลักพระอวโลกิเตศวรวางตั้งบนฐานดอกบัวที่มีอยู่แล้ว จากนั้นจินฉานจึงเปิดกล่องของตนออก ภายในเป็นกระถางกำยานทองเหลืองลักษณะคล้ายดอกบัวตูมที่พร้อมผลิกลีบในช่วงคิมหันตฤดู จินฉานหยิบเครื่องหอมผสมแก่นไม้จันทน์ลงไปกำมือหนึ่ง เมื่อใช้ไฟจุด กลิ่นหอมละมุนจึงค่อยๆ โชยชายไปทั่วห้องพระแคบๆ นั้น ชุนเยี่ยนมองควันกำยานที่ลอยเป็นสายอย่างอ้อยอิ่งแล้วเอ่ยเสียงแผ่วค่อย “ฝ่าบาทตรัสว่าโปรดองค์หญิงหนักหนา ทว่าในตำหนักนี้ กลับไม่มีสิ่งใดที่เป็นของป๋ายอี้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของตกแต่ง เทียบกับตอนที่ท่านอ๋องของเรารับสนมจากเผ่าอื่นเข้ามา ท่านยังเอาใจพวกนางด้วยการตกแต่งตำหนักและจัดหาข้าวของเครื่องใช้จากบ้านเดิมเพื่อให้พวกนางคลายความคิดถึงบ้าน แต่นี่...”
“ชุนเยี่ยน สนมที่มาจากเผ่าพันธุ์ที่ล่มสลายเช่นตัวข้า มีสิทธิ์เรียกร้องอันใดได้หรือ?” ดวงตาของจินฉานเหม่อมองดวงหน้าอิ่มเอิบนวลลออของรูปสลักที่อาบไล้ด้วยแสงเทียน “พูดให้สวยหรูหน่อยคือเข้าถิ่นตามธรรมเนียม อยู่ในที่ของเขา เป็นคนของเขา ก็จำต้องต้องเรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีของเขา กินอาหารของเขา สวมเสื้อผ้าของเขา พูดภาษาของเขา ไม่ทำตนผิดแปลกจากผู้อื่น วังหลวงจะได้สุขสงบ ไร้เรื่องวุ่นวาย เป็นตัวอย่างอันดีกับไพร่ฟ้าประชาชน” นางว่าขณะมองอาภรณ์ลายดอกเสาเย่าที่สวมใส่บนร่างของตน “ถ้าพูดให้น่าเกลียดเสียหน่อย ก็คือการทำลายความเป็นตัวตนของเรา ทีละเล็ก ทีละน้อย ไล่ลงมาจากชนชั้นสูงเช่นพวกเรา เพื่อให้คนของป๋ายอี้นั้นเห็นว่าเจ้าชีวิตของพวกเขายอมจำนนต่อต้าเจวียนแล้ว จากนั้นเมื่อคนในเผ่าของเราเห็นว่าผู้นำปฏิบัติตามต้าเจวียนเยี่ยงสุนัขเชื่อเชื่องตัวหนึ่ง พวกเขาจะไม่เอาเยี่ยงอย่างเชียวหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่เกินสิบปี ป๋ายอี้ก็จะสูญสิ้น กลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของต้าเจวียนไป มิอาจหารากเหง้า และวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษสั่งสมมานับร้อยนับพันปีได้อีก”
“องค์หญิง”
จินฉานยิ้มบาง นางเอื้อมมือซ้ายแตะยังกระถางกำยานที่ไฟภายในกำลังค่อยลามเลียเผาไหม้เครื่องหอมอย่างเชื่องช้า “วางใจเถอะ ชุนเยี่ยน ตัวข้าไม่มีวันยอมให้วันนั้นมาถึงแน่”
ชุนเยี่ยนเพียงหลุบตาลงต่ำ คล้ายหลบเลี่ยงไม่กล้ามองแผ่นหลังงามสง่านั้น โลมาทุกเส้นลุกชันราวกับลมหนาวจากภายนอกพัดพาต้องผิวกายทั้งๆ ที่ภายในห้องพระนั้นปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง อาจเป็นเพราะเร่งรีบจนตาพร่าหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ ทว่าในคลองจักษุของชุนเยี่ยนกลับเห็นภาพๆ หนึ่ง
...แหวนที่เคยอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายขององค์หญิงจินฉานคล้ายมีชีวิต คืบคลานเข้าไปในช่องว่างของกระถางกำยานที่ฉลุลายแล้วหายวับไป...
ในเมื่อไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติม คำพูดเมื่อครู่จึงคล้ายกับสายลมที่ผ่านเลย จินฉานจ้องมองมือขาวเนียนดั่งหยกมันแพะเนื้อเย็นที่ขยับเชือกถักอย่างคล่องแคล่ว ไม่ช้าไม่นานก็กลายเป็นรูปลักษณ์คล้ายกงล้อของเกวียน ที่ใช้กันในศาสนาพุทธนิกายมหายานซึ่งนางเคยเห็นที่อารามหลวง จินเฟยเห็นอีกฝ่ายดูสนอกสนใจจึงอธิบายเสียงนุ่ม “นี่คือเงื่อนฝ่าหลุน (เงื่อนธรรมจักร) อันนี้องค์ชายเจ็ดเพิ่งมาขอให้ตัวข้าทำเป็นพู่ห้อยกระบี่แทนอันเก่าที่ขาดไป ฝ่าหลุนคือธรรมจักร คือกงล้อแห่งธรรม ข้าให้เขาห้อยติดที่ด้ามกระบี่เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าคราใดที่ชักกระบี่ออกมาให้ใช้พระธรรมนำทาง ใช้กระบี่เพื่อผดุงคุณธรรม อย่าได้หลงตกไปในห้วงแห่งกิเลสอันได้แก่ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นอันขาด”จินฉานพยักหน้า “อาหญิงใส่ใจบุตรธิดาอย่างยิ่ง แม้แต่เงื่อนเชือกนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังมีความหมายเป็นนัยลึกซึ้งเช่นนี้ ถ้าอาหญิงมีเวลา ใคร่อยากให้ท่านช่วยสอนข้าผูกเงื่อนฝ่าหลุนด้วยได้หรือไม่” เมื่อเห็นจินเฟยพยักหน้าตอบรับจึงหยิบเชือกเงื่อนอีกชิ้นหนึ่งที่ประดับหยกลายสิงโตแม่ลูกขึ้นมาดู “แล้วเงื่อนนี้ล่ะเพคะ”“เรียกว่าเงื่อนจี๋เสียง สื่อถึงโชคลาภและความสงบสุข หม่
วันรุ่งขึ้น หลังจากเสร็จสิ้นการถวายบังคมช่วงเช้า ฮองเฮาตัดสินใจรั้งตัวเหล่าสนมนางในเพื่อปรึกษาหารือกันในงานเทศกาลตวนอู่ที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า “จริงอยู่หน้าที่ในการจัดเตรียมงานส่วนใหญ่จะเป็นตัวข้า หลิวกุ้ยเฟย และจินเฟย ร่วมกันเป็นแม่งานกำกับฝ่ายพิธีการ แต่ตัวข้าเองก็อยากให้เหล่าสนมนางในมีส่วนร่วมทำให้งานครึกครื้น นอกจากจะมีการร่วมกันทำขนมโร่วจ้งรสชาติแปลกใหม่ให้ฝ่าบาทและหวงไทโฮ่วเสวยแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้มีการจัดการแสดงเล็กน้อย ถ้าน้องหญิงคนใดมีความสามารถในการขับร้องร่ายรำสามารถเข้าร่วมได้ทันที มิต้องเกรงใจ”เหล่าบุปผางามต่างขานรับด้วยท่าทีกระตือรือร้นแข็งขัน จากนั้นจึงมีเสียงสนทนาแผ่วเบาแต่ไพเราะปานนกการเวกกล่าวถ้อยวาจาซักถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานพอเป็นพิธี ฮองเฮามองเห็นเช่นนั้นก็ให้พึงพอใจอย่างยิ่ง การสนทนาดำเนินไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาจึงมีรับสั่งให้เหล่าสนมนางในแยกย้ายกลับตำหนักของตนจินเฟยก้าวออกจากตำหนักเฟิ่งหวงโดยมีนางกำนัลประคองอยู่ไม่ห่าง มิคาดว่าผู้ที่เดินตามหลังมาโดยทิ้งระยะห่างอย่างเหมาะสมจะเป็นอี๋เหม่ยเหริน จินฉาน นางหยุดเดินแล้วหันกลับมามองเด็กสาวที่ย่อกายทำคว
“พระสนมอย่าล้อหม่อมฉันเล่นเช่นนี้เลยเพคะ” ชุนเยี่ยนกล่าวเสียงแผ่วค่อย จินฉานได้แต่เพียงอมยิ้มไม่หยุด ก่อนจูงมือปี้อันมา แล้วป้ายชาดทาปากสีเดิมให้อีกครั้ง “ปี้อัน เจ้าก็ด้วย ทำหน้าหวาดกลัวรังเกียจเช่นนั้นกับของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้เห็นทีคงไม่เหมาะกระมัง หรือว่าเจ้าคิดว่าเครื่องประทินโฉมเหล่านี้ทำด้วยวิธีการเดียวกับที่ตัวข้าเล่าให้ฟังกัน เหลวไหลเสียจริง ข้าแกล้งเล่านิทานขู่ให้พวกเจ้ากลัวเข้าหน่อยก็เชื่อกันเป็นตุเป็นตะขนาดนี้ ใช้ได้ที่ไหน”“ถ้าเป็นแค่นิทาน หม่อมฉันก็คงต้องขอชมพระสนมจากใจจริงเลยว่าพระองค์ช่างเล่าได้สมจริงอย่างยิ่ง...สมจริงราวกับเห็นกับตา” เฉิงฮวานย่อกายคารวะอย่างอ่อนน้อม แสดงท่าทีถึงความนับถือ นี่นางยังไม่แน่ใจตนเองเลยว่าหลังจากฟังเรื่องที่เจ้านายนางเล่าแล้วจะกลับไปนอนหลับได้ลงหรือไม่ทว่าชุนเยี่ยนกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น มีสัญญาณบางอย่างในกายร้องเตือนว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคือเรื่องจริง...ขณะที่เจ้านายของนางเล่าก็มีภาพเลือนรางไม่ปะติดปะต่อแล่นผ่านเข้ามาในหัวตลอดเวลาจนถึงขนาดอุปาทานไปว่าตนเองได้กลิ่นศพเหม็นเน่าลอยโชยเข้าจมูกจนทำให้สีหน้าของนางย่ำแย่จนแทบดูไม่ได้ แต่พอนึกอะไรออก
เมื่อจินฉานและชุนเยี่ยนกลับถึงตำหนักผิงอัน กล่องสีแดงกำมะหยี่และหีบใบเล็กจำนวนหนึ่งก็วางอยู่จนเต็มโต๊ะที่ไว้สำหรับรับประทานอาหาร มีปี้อันที่ส่งเสียงอือๆ อาๆ พยายามจะอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จนเฉิงฮวานต้องสะกิดเตือนแล้วรายงานแทน “เมื่อครู่คนจากตำหนักใหญ่นำของพระราชทานจากฮ่องเต้มาเพคะ นัยว่าเป็นของรางวัลที่นายหญิงทำพระเขนยถวายฝ่าบาท”จินฉานอมยิ้มจาง พลางนั่งลงที่กี๋กระเบื้องเคลือบลวดลายวิจิตรเบื้องหน้ากล่องและหีบกองโต นางเลือกเปิดหีบไม้สลักลายดอกเหมยใบหนึ่ง พบว่าเป็นตลับกระเบื้องเคลือบบรรจุแป้งหอมนานาชนิด ทั้งแป้งหอมโม่ลี่ แป้งจื่อเฟิน แต่ละตลับส่งกลิ่นหอมจรุงแต่ไม่ฉุนจัด อีกทั้งยังมีชาดทาปากทั้งแบบผสมขี้ผึ้งบรรจุตลับกระเบื้องหลากสีสันและเป็นกระดาษชาดแบบที่ใช้แนบเม้มริมฝีปากอิ่มแยกเอาไว้ในกล่องเล็กๆ ต่างหาก นอกจากนี้ยังมีโต๊ะเครื่องแป้งที่เมื่อเปิดประตูออกก็จะมีตุ๊กตารูปนางกำนัลตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูสองมือถือถาดเทินหวี สือไต้เขียนคิ้ว และน้ำปรุงดอกเหมยกุ้ยจากป๋อสื่อเคลื่อนด้วยลานมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ปี้อันที่ยังเด็กดูตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ส่วนเฉิงฮวานเห็นเช่นนั้นก็ให้อมยิ้ม “โต๊ะเครื่องแป
หลังจากปลุกปลอบกันอยู่ครู่หนึ่ง พอท่าทีหวงไทโฮ่วคลายเศร้าโศกได้จึงขอทูลลากลับ ระหว่างที่ประคองผู้เป็นนายเดินไปตามเส้นทางสายยาวของราชอุทยาน ชุนเยี่ยนครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักหรูหลาน คลับคล้ายว่าสิ่งที่จินฉานและหวงไทโฮ่วสนทนากันในวันนี้มีส่วนที่นางคลับคล้ายจะเข้าใจและไม่เข้าใจ ส่วนที่เหมือนจะเข้าใจนั้นก็ดั่งมองผ่านม่านหมอกเลือนราง ไม่อาจจับต้นชนปลายได้ ยิ่งพยายามเค้นสมองคิดยิ่งรู้สึกปวดศีรษะอย่างยิ่งจนต้องเอามือนวดขมับตนเองเบาๆ จินฉานเห็นดังนั้นจึงหยุดเดิน แล้วปรายตามองอีกฝ่ายเงียบๆ ชุนเยี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงพยายามทำตนให้เป็นปกติ “ขออภัยเพคะ หม่อมฉันจู่ ๆ ก็รู้สึกเวียนศีรษะ...”จินฉานได้ยินเช่นนั้นก็อมยิ้ม ส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่เป็นไร อากาศที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา อีกทั้งเมื่อครู่เจ้ายังเจอเรื่องชวนให้สับสนอีก จะปวดศีรษะก็ไม่แปลก วันนี้เรากลับตำหนักเร็วหน่อย ข้าจะให้ปี้อันต้มยาให้เจ้าดื่ม และพักผ่อนเสีย ข้าอนุญาตให้เจ้าลาหยุดหนึ่งวัน ไม่ต้องมาปรนนิบัติตัวข้า”ชุนเยี่ยนได้แต่พยักหน้าขอบพระทัยเงียบ ๆ ก่อนที่จะถูกจินฉานเร่งฝีเท้าให้รีบเดิน จนกลายเป็นว่านางถูกเจ้านายของนางจูงมือกลับเข
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวปานดอกไม้ที่ขาดคนรดน้ำดูแลรักษาพลันค่อยๆ ผลิบานพองฟูอย่างเป็นสุข เนิ่นนานนับปีที่พระนางต้องอยู่อย่างหน้าชื่นอกตรม ฝั่งหนึ่งได้รับการสรรเสริญเยินยอจากประชาและเหล่าขุนนางว่าเป็นมารดาที่คำนึงถึงความถูกต้อง แม้นว่าสายเลือดของตนจะทำผิดแต่ก็ไม่คิดคัดค้านฮ่องเต้ที่เป็นโอรสในการมีราชโองการลงทัณฑ์พระอนุชา ดำรงตนเป็นแบบอย่างของมารดาผู้มีคุณธรรม แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเบื้องหลังฉากนั้นพระนางก็ไม่ต่างกับมารดาที่หัวใจสลายคนหนึ่งที่ต้องเห็นบุตรคนหนึ่งสังหารบุตรอีกคนหนึ่งโดยที่ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้เลยพระนางบีบมือจินฉานตอบ “เด็กดี เด็กประเสริฐ ขอแค่เพียงเจ้าเชื่อว่า อู่เฉิงหวัง หลี่หยวน เป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าก็ไม่เสียใจอีกแล้ว”“ดูจากท่าทีของท่าน คิดเรื่องนี้คงมีเรื่องไม่ชอบมาพากล” จินฉานเอ่ย หวงไทโฮ่วถอนใจแช่มช้า มองสือม่านถัวนำถ้วยน้ำชาที่เริ่มเย็นชืดเพราะไม่ได้แตะต้องไปเปลี่ยน “ชอบมาพากลก็ดี ไม่ชอบมาพากลแล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อฮ่องเต้เชื่อในหลักฐานที่คนเหล่านั้นนำมาถวาย ในบ้านนี้เมืองนี้ ถ้าฮ่องเต้เชื่อสิ่งใด เหล่าขุนนางก็จำต้องคล้อยตาม ประจบเอาใจดั
“หวงไทโฮ่วอันใดกัน เรียกข้าว่าเสด็จแม่เถิด” นางยิ้มเอ่ย จินฉานเฉลียวฉลาดสักปานใด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา “เชิญเสด็จแม่เสวยพระสุธารสชาเพคะ”หวงไทโฮ่วรับถ้วยชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง จากนั้นจึงส่งถ้วยชาให้สือม่านถัวที่พยายามทำความเข้าใจกับสตรีที่รู้จักและไม่รู้จักทั้งสองคนอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังคงเก็บกักอารมณ์ของตนเองไว้ในดวงหน้าเรียบเฉยได้ แล้วจึงยืนอยู่รับใช้อย่างสำรวม มองทั้งคู่ที่นั่งอยู่เคียงกันประหนึ่งสะใภ้และแม่สามีที่รักใคร่ปรองดองครอบครัวหนึ่ง แล้วจึงมองเจ้านายของตนใช้มืออวบอิ่มที่สวมแหวนและกำไลหยกเขียวเข้มที่ข้อมือยกขึ้นเชยคางของจินฉานอย่างรักใคร่เอ็นดูอย่างยิ่ง “เจ้าคือจินฉานสินะ งามสมกับที่บุตรชายข้าเคยเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิจริงๆ”“ท่านผู้นั้นกล่าวเกินจริงไปเสียหน่อย หม่อมฉันจะงามอย่างไรก็มิอาจเทียบเสด็จแม่ ฮองเฮา กับบรรดาสนมนางในที่อยู่ ณ ที่นี้หรอกเพคะ”“งามแล้วอย่างไร ภายใต้รูปลักษณ์งดงามปานเทพธิดา แต่บทสนทนาที่แลกเปลี่ยน และกิเลสที่อยู่ในร่างแต่ละนางช่างน่ากลัว วันๆ ดีแต่มีความคิดช่วงชิงความโปรดปราน ทั้งหน้าซื่อใจคด ทั้งปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ พวกนางก็มีต่างกับอส
หลังจากรอให้จินฉานทำธุระที่ตำหนักอันผิงจนเสร็จเรียบร้อย สือม่านถัวจึงนำทางไปยังตำหนักหรูหลานอันเป็นที่พำนักของหวงไทโฮ่ว ตำหนักแห่งนี้ห่างไกลจากตำหนักสนมนางในเยาว์วัย แต่กลับใกล้กับบรรดาตำหนักของเหล่าไท่เฟย ทำให้เสียงเจื้อยแจ้วปานนกกระจอกแตกรังของเหล่าหญิงสาวมิอาจรบกวนพระนาง แต่ในขณะเดียวกันกลับใกล้กับตำหนักของเหล่าไท่เฟยที่เคยสนิทกันกับหวงไทโฮ่วตั้งแต่สมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังสามารถไปมาหาสู่ได้โดยสะดวก บรรยากาศภายนอกร่มรื่น มีเหมยขาวและเหมยเขียวกำลังชูช่อบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมจรุงไปทั่วเมื่อจินฉานและชุนเยี่ยนมาถึง นางกำนัลอาวุโสจึงขอตัวไปรายงานกับหวงไทโฮ่ว จินฉานเพียงรับคำอย่างสงบ แล้วใช้เวลาระหว่างนั้นชมความงามของตำหนักไปพลางๆ จนสายตาไปสะดุดกับตัวอักษรแถวหนึ่งที่เขียนด้วยหมึกทอง นางอมยิ้ม “ที่แท้ชื่อตำหนักของหวงไทโฮ่วมาจากประโยคนี้”“ตัวอักษรแถวนั้นหรือเพคะ?” ชุนเยี่ยนถึงแม้ร่ำเรียนภาษาต้าเจวียนมา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบทสนทนาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และคำพูดในรั้วในวังที่จำเป็น ส่วนบทกลอนกวีของต้าเจวียนนั้นนางไม่กระดิกสักเรื่อง จะไม่เข้าใจก็ไม่แปลกจินฉานพยักหน้า “ประโยคนั้นอ่านว่า หรูหลานจ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม การสวดมนต์จึงเสร็จสิ้น เซวียนเฟยดูมีท่าทีที่มีความสุขเหลือประมาณ จินฉานมองเซวียนเฟยและอู่คงสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง เซวียนเฟยจึงหันไปทางจินฉาน ท่าทีเกรงอกเกรงใจหลายส่วน “อี๋เหม่ยเหริน พอดีว่าวันนี้ข้าจะอยู่สนทนาธรรมกับต้าซือต่อ ถ้ารั้งให้น้องอยู่ต่อ ข้าเองก็เกรงใจนัก ถ้าเจ้ามีธุระอันใดที่ต้องกลับไปจัดการก็สามารถกลับไปก่อนได้เลย มิต้องรอข้า”จินฉานเอ่ยปากหมายจะปฏิเสธ ทว่าเมื่อจ้องลึกเข้าไปในแววตาของเซวียนเฟย กลับพบนัยยะบางอย่าง ในใจร้องเตือนนางว่าไม่สมควรอยู่ต่อ จึงคลี่ยิ้มอ่อนหวานเอ่ย “ถ้าไม่ได้พี่หญิงเตือน หม่อมฉันคงลืมแล้ว ช่วงสายวันนี้จินเฟยเชิญหม่อมฉันไปตำหนักหรูอี้เพื่อเป็นเพื่อนเดินหมากกับพระนาง นี่ก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว หม่อมฉันคงต้องขอทูลลา และขอขอบพระทัยเซวียนเฟยที่ชวนหม่อมฉันมายังอารามหลวงแห่งนี้เพคะ”เซวียนเฟยเพียงพยักหน้ารับคำ ดวงตาคู่งามมองส่งสตรีอ่อนเยาว์ที่ติดตามนางมา ก่อนหันไปสนทนากับอู่คงต่อ...“พระสนม หม่อมฉันมิเห็นจำได้ว่าพระนางจินเฟยชวนพระสนมไปเดินหมากนะเพคะ” ชุนเยี่ยนย่นคิ้วขณะประคองแขนจินฉานเดินออกจากอาราม เด็กสาวหันไปยิ้ม แล้วเอ่ย “เจ้านี่ช่างไม่รู