ยามออกจากตำหนักเฟิ่งหวงอีกครั้ง ละอองหิมะโปรยปราย ต้องชุนเยี่ยนประคองจินฉานเดินมายังตำหนักผิงอันพร้อมด้วยผู้ติดตามจากบ้านเกิดและนางกำนัลชาวต้าเจวียนที่เพิ่งได้รับมาจากหลิวกุ้ยเฟยอีกจำนวนหนึ่ง ขันทีและนางกำนัลประจำตำหนักต่างยืนเรียงแถวรอต้อนรับพระสนมคนใหม่อย่างนอบน้อม หญิงสาวพยักหน้าเป็นเชิงให้ทั้งหมดลุกขึ้น นางปรายตามองตำหนักปีกทั้งซ้ายขวา แล้วจึงเอ่ยถามกับนางกำนัลที่ดูอาวุโสที่สุดในแถว “ที่นี่นอกจากตัวข้าแล้ว มิมีสนมผู้อื่นอีกหรือ?”
สตรีนางนั้นเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ทูลพระสนม ฝ่าบาททรงเห็นว่าพระสนมนิยมชมชอบความสงบมาแต่ไหนแต่ไร จึงได้ให้ถงไฉ่เหรินและเจินเป่าหลินที่เคยอยู่ที่ตำหนักปีกซ้ายและขวาย้ายไปยังตำหนักอื่นเพคะ”
จินฉานถอนใจน้อยๆ มิน่าเจินเป่าหลินผู้นั้นถึงได้กล่าววาจากระทบกระเทียบนางเช่นนั้น ที่แท้เป็นวิหคที่ถูกแย่งรังนี่เอง “ฝ่าบาทไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย ทำเช่นนี้จะทำให้ตัวข้าถูกพระสนมคนอื่นเขม่นเอาได้”
หลีฮุ่ยที่ติดตามมาภายหลังได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าว “พระสนมอย่าได้กังวลไป ทั้งหมดทั้งมวลนี้ฝ่าบาทเพียงปรารถนาให้ท่านอยู่อย่างสงบ จากที่เห็นที่ตำหนักเฟิ่งหวง ฮองเฮาและเหล่าสนมตำแหน่งสูงต่างให้ความเอ็นดูท่านไม่น้อย ท่านเองเป็นผู้เฉลียวฉลาด หมั่นไปเยือนตำหนักของพระสนมต่างๆ บ่อยครั้งเสียหน่อย รู้จักผูกไมตรีกับผู้ที่สมควรผูกไมตรี กระทำเช่นนี้จึงทำให้ท่านอยู่ในวังหลวงได้อย่างมีความสุข”
ร่างงามคลี่ยิ้มบาง “หลีกงกง ข้าเป็นหนี้คำแนะนำอันประเสริฐของท่านอีกแล้ว”
หลีฮุ่ยได้ฟังเพียงแค่ยิ้มรับ หลังจากนั้นจึงผายมือให้พระสนมคนงาม “เชิญพระสนมเข้าตำหนักเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เพียงย่างเท้าเข้าสู่ตำหนักผิงอัน สายตาของจินฉานพลันกวาดมองไปรอบๆ จมูกได้กลิ่นจางๆ ของสีและรักจากเครื่องเรือนที่บ่งบอกว่าสั่งทำใหม่เพื่อตำหนักผิงอันส่วนกลางนี้โดยเฉพาะ แต่ละชิ้นล้วนแกะสลักด้วยลวดลายสวยสด ทั้งเก้าอี้กุ้ยเฟย โต๊ะรับประทานอาหารทำจากไม้หนานมู่ เข้ากับแจกันหยกเขียว ต้นปะการังแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่ แจกันปากแคบหลางเหยาหง (郎窑红 คือ เครื่องดินเผาเคลือบสีแดงและทองแดง) สีแดงดังเลือดพิราบฉูดฉาดทว่าเลอค่าที่ตั้งประดับพร้อมกับเครื่องทองและเครื่องทองเหลืองอย่างหรูหรามีรสนิยม เมื่อมองปรายตามองไปยังทางเข้าห้องบรรทม มีม่านมุกที่ร้อยจากมุกเม็ดเล็กๆ ขนาดเท่าๆ กันร้อยเรียงเป็นสายคล้ายกับม่านพิรุณเดือนสารทกางกั้น เพียงมองลอดผ่านม่านมุกก็รู้ว่าภายในนั้นย่อมวิจิตรตระการไม่แพ้ในส่วนห้องรับรองนี้อย่างแน่นอน
จินฉานพินิจความงามของตำหนักนี้ด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนหันไปมองนางกำนัลประจำตำหนัก ซึ่งดูอาวุโสที่สุด “เจ้าชื่ออะไร?”
นางกำนัลผู้นั้นเอ่ยตอบ “หม่อมฉันชื่อเฉิงฮวานเพคะ”
เด็กสาวพยักหน้า “เฉิงฮวาน ตัวข้าเพิ่งได้รูปสลักพระอวโลกิเศวรมาจากฮองเฮา ช่วยนำทางข้าไปยังห้องพระตำหนักนี้ที ข้าจะนำรูปสลักไปประดิษฐานที่นั่น”
เฉิงฮวานรับคำ จากนั้นจึงเดินตามไปยังห้องพระ จินฉานเพียงให้ชุนเยี่ยนเทินกล่องรูปสลักเดินตามเข้าไปในห้อง ส่วนตนเพียงหยิบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งจากหีบใบใหญ่ที่ติดตัวจากป๋ายอี้เดินตามมา แล้วสั่งให้เฉิงฮวานกับคนอื่นๆ ไปรออยู่ที่ด้านนอกเพื่อคืนความสงบและความเป็นส่วนตัวให้กับสองนายบ่าวที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน
ชุนเยี่ยนเปิดกล่องกำมะหยี่นั้น นำรูปสลักพระอวโลกิเตศวรวางตั้งบนฐานดอกบัวที่มีอยู่แล้ว จากนั้นจินฉานจึงเปิดกล่องของตนออก ภายในเป็นกระถางกำยานทองเหลืองลักษณะคล้ายดอกบัวตูมที่พร้อมผลิกลีบในช่วงคิมหันตฤดู จินฉานหยิบเครื่องหอมผสมแก่นไม้จันทน์ลงไปกำมือหนึ่ง เมื่อใช้ไฟจุด กลิ่นหอมละมุนจึงค่อยๆ โชยชายไปทั่วห้องพระแคบๆ นั้น ชุนเยี่ยนมองควันกำยานที่ลอยเป็นสายอย่างอ้อยอิ่งแล้วเอ่ยเสียงแผ่วค่อย “ฝ่าบาทตรัสว่าโปรดองค์หญิงหนักหนา ทว่าในตำหนักนี้ กลับไม่มีสิ่งใดที่เป็นของป๋ายอี้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของตกแต่ง เทียบกับตอนที่ท่านอ๋องของเรารับสนมจากเผ่าอื่นเข้ามา ท่านยังเอาใจพวกนางด้วยการตกแต่งตำหนักและจัดหาข้าวของเครื่องใช้จากบ้านเดิมเพื่อให้พวกนางคลายความคิดถึงบ้าน แต่นี่...”
“ชุนเยี่ยน สนมที่มาจากเผ่าพันธุ์ที่ล่มสลายเช่นตัวข้า มีสิทธิ์เรียกร้องอันใดได้หรือ?” ดวงตาของจินฉานเหม่อมองดวงหน้าอิ่มเอิบนวลลออของรูปสลักที่อาบไล้ด้วยแสงเทียน “พูดให้สวยหรูหน่อยคือเข้าถิ่นตามธรรมเนียม อยู่ในที่ของเขา เป็นคนของเขา ก็จำต้องต้องเรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีของเขา กินอาหารของเขา สวมเสื้อผ้าของเขา พูดภาษาของเขา ไม่ทำตนผิดแปลกจากผู้อื่น วังหลวงจะได้สุขสงบ ไร้เรื่องวุ่นวาย เป็นตัวอย่างอันดีกับไพร่ฟ้าประชาชน” นางว่าขณะมองอาภรณ์ลายดอกเสาเย่าที่สวมใส่บนร่างของตน “ถ้าพูดให้น่าเกลียดเสียหน่อย ก็คือการทำลายความเป็นตัวตนของเรา ทีละเล็ก ทีละน้อย ไล่ลงมาจากชนชั้นสูงเช่นพวกเรา เพื่อให้คนของป๋ายอี้นั้นเห็นว่าเจ้าชีวิตของพวกเขายอมจำนนต่อต้าเจวียนแล้ว จากนั้นเมื่อคนในเผ่าของเราเห็นว่าผู้นำปฏิบัติตามต้าเจวียนเยี่ยงสุนัขเชื่อเชื่องตัวหนึ่ง พวกเขาจะไม่เอาเยี่ยงอย่างเชียวหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่เกินสิบปี ป๋ายอี้ก็จะสูญสิ้น กลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของต้าเจวียนไป มิอาจหารากเหง้า และวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษสั่งสมมานับร้อยนับพันปีได้อีก”
“องค์หญิง”
จินฉานยิ้มบาง นางเอื้อมมือซ้ายแตะยังกระถางกำยานที่ไฟภายในกำลังค่อยลามเลียเผาไหม้เครื่องหอมอย่างเชื่องช้า “วางใจเถอะ ชุนเยี่ยน ตัวข้าไม่มีวันยอมให้วันนั้นมาถึงแน่”
ชุนเยี่ยนเพียงหลุบตาลงต่ำ คล้ายหลบเลี่ยงไม่กล้ามองแผ่นหลังงามสง่านั้น โลมาทุกเส้นลุกชันราวกับลมหนาวจากภายนอกพัดพาต้องผิวกายทั้งๆ ที่ภายในห้องพระนั้นปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง อาจเป็นเพราะเร่งรีบจนตาพร่าหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ ทว่าในคลองจักษุของชุนเยี่ยนกลับเห็นภาพๆ หนึ่ง
...แหวนที่เคยอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายขององค์หญิงจินฉานคล้ายมีชีวิต คืบคลานเข้าไปในช่องว่างของกระถางกำยานที่ฉลุลายแล้วหายวับไป...
“ชีวิตเจ้าที่ต้องทนทุกข์อยู่ในตำหนักเย็นแห่งนี้ยังอีกยาวไกล อย่าเพิ่งรีบร้อนปลิดชีวิตตนเอง”หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองบุรุษที่นางเคยรัก เคยมีช่วงเวลาที่ตกอยู่ในบ่วงเสน่หาร่วมกัน เคยคาดหวังรอคอยถึงชีวิตคู่ที่อบอุ่นพร้อมหน้า ทว่าคนตรงหน้านี้กลับไม่เหลือเค้าของผู้ที่อยู่ในห้วงความทรงจำอีกต่อไป กลับเป็นบุรุษที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เป็นผู้ชายที่พร้อมจะสลัดนางออกไปจากชีวิตเพื่อลาภยศของตนอย่างแท้จริง...หลีอ๋องปล่อยให้อดีตคนรักมองเขาจนพอใจ เขาพรูลมหายใจอย่างนึกสมเพช จากนั้นจึงหันหลังค่อยๆ เดินจากไป หญิงสาวจ้องมองแผ่นหลังสง่างามของอีกฝ่ายเขม็ง ขบฟันกรืดกรอดจนแทบแหลกละเอียด ก่อนตัดสินใจเอ่ยเรียก“ท่านอ๋อง!”เมื่อหลีอ๋องหันกลับมาครั้ง หญิงสาวก็เข้ามาประชิดตัวแล้วทำให้มิอาจปัดป้องหลบหนี รู้ตัวอีกทีสองแขนของนางก็สวมกอดเขาไว้แน่นอีกครั้ง พร้อมริมฝีปากอิ่มที่ประกบเข้าที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม เพื่อมอบจูบอ่อนหวานเฉกเช่นที่พวกเขาเคยถ่ายเทแลกเปลี่ยนเวลาลอบพบกัน...สายลมด้านนอกตำหนักปิงตี้เหลียนหวีดหวิวพร้อมพัดพาความหนาวเย็นเสียดกระดูก ทว่าฮ่องเต้และจินฉานก็ยังไม่มีทีท่าขยับ ราวกับรอ
...เนื่องจากนั่งอยู่ที่เก้าอี้กุ้ยเฟยเป็นระยะเวลานาน ขาทั้งสองข้างจึงไม่สามารถขยับเดินเหินได้ดั่งใจ จำต้องใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนก้าวโผเผเข้าไปหา มือซึ่งทั้งสิบนิ้วสวมแหวนเงินเปรอะเปื้อนเลือดและน้ำเหลืองจากการกอดกล่องใส่ซากทารกมาเนิ่นนานตรงเข้าสวมกอดอีกฝ่าย ใบหน้าซุกซบลงกับอกกว้าง น้ำตาหลั่งริน “ดี...ดียิ่ง เป็นเช่นนี้แสดงว่าท่านได้คืนตำแหน่งอ๋องแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราฮ่องเต้ยอมรับแล้วใช่หรือไม่? ที่ท่านมาวันนี้เพื่อมารับพวกเราแม่ลูกไปอยู่กับท่านใช่หรือไม่?”หลีอ๋องหรืออดีตต้าซืออู่คงมองเจ้าของริมฝีปากที่กล่าวพร่ำเพ้อไม่หยุดปากด้วยรอยยิ้ม..รอยยิ้มที่แสดงถึงความสมเพชสังเวชอย่างถึงที่สุด เขาผละจากอ้อมกอดอย่างนึกรังเกียจ ทว่าเนื่องด้วยจำเป็นต้องส่งยิ้มอบอบอุ่น ทั้งที่ในใจนั้นสุดแสนจะผะอืดผะอม จนรอยยิ้มที่พยายามปั้นออกมาดูพิลึกพิลั่น แต่หลีอ๋องยังคงเอื้อนเอ่ย “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ที่ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกให้เจ้าได้รับรู้”เซวียนเฟยพลันร่างกายแข็งทื่อ ดวงตากลอกไปมาท่าทางหวาดหวั่น นางจับมือเขาไว้แน่นแล้วพยายามดึงเขาให้เดินไปพร้อมกับนางพลางเอ่ยเพียงพร่า “ไ
เซวียนเฟยช้อนตาขึ้นมองด้วยความฉงน แล้วเอ่ย “ข้าจะให้ลูกกินนม เขาหิวแล้ว เสียงร้องไห้ดังไปทั่ว เจ้าไม่ได้ยินเลยหรือ?”หยวนจิ่นขนลุกชูชันพลางหันรีหันขวางมองไปรอบๆ จนแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ยินเสียงตามที่เซวียนเฟยกล่าวอ้างแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะใช้คำพูดตามจริงทำร้ายจิตใจ ได้แต่จัดสาบเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดและน้ำเหลืองที่ไหลซึมออกมาจากรอบฝากล่องของอีกฝ่ายให้เข้าที่ พยายามส่งยิ้มฝืดเฝื่อนแล้วกล่าวเสียงอ่อน “อาห์ ที่แท้นายหญิงต้องการให้นมองค์ชายน้อย แต่ว่าเท่าที่หม่อมฉันเห็น ท่านไม่ได้ดื่มน้ำและรับประทานอาหารอย่างเต็มที่มาหลายวันแล้ว เกรงว่าน้ำนมจะมีไม่เพียงพอ ท่านควรจะรับประทานอะไรบ้าง” ว่าพลางผละออกจากเซวียนเฟยอย่างแนบเนียน “อย่างไรเสียให้หม่อมฉันไปดูที่ห้องเครื่องเสียหน่อย ว่ามีอะไรพอให้นายหญิงรับประทานได้บ้าง ท่านรออยู่ตรงนี้ อย่าเพิ่งไปไหนนะเพคะ”เซวียนเฟยพยักหน้าช้าๆ ท่าทีสงบเสงี่ยมว่าง่ายนั้นทำให้หยวนจิ่นเบาใจ จึงเดินไปยังห้องเครื่องเพื่อเตรียมอาหารให้ตามที่ได้ว่าไว้โดยปล่อยให้เจ้านายของตนอยู่เพียงลำพังนาฬิกาน้ำที่วางอยู่ที่มุมห้องบ่งบอกเวลาว่าผ่านไปสองเค่อแล้ว อาจเป็นเพราะอา
จินฉานร้องอาห์พลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นจึงเอ่ยถามต่อ “แล้วต้าซืออู่คงล่ะเพคะ เป็นเช่นไรบ้าง”ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “เหตุใดถึงอยากรู้”จินฉานเพียงยิ้มน้อยๆ กล่าว “วันก่อนหม่อมฉันได้ไปงานเลี้ยงน้ำชาที่ตำหนักของฟู่เหม่ยเหริน ได้ยินเหล่าพี่สาวน้องสาวเล่าลือกันว่าต้าซือร่วมสวดอำนวยพรให้พี่เซวียนเฟยไม่สำเร็จ ซ้ำยังทำให้นางให้กำเนิดสิ่งอัปมงคล ฝ่าบาททรงกริ้วนัก สั่งปลดต้าซือจากเจ้าอารามแล้วนำไปไต่สวน ลงทัณฑ์ทรมานสารพัด จนป่านนี้แล้วเสียงของต้าซือยังร้องโหยหวนออกจากฝ่ายราชทัณฑ์ไม่หยุด” จินฉานว่าพลางลูบแขนตนเองไปมา ท่าทางขนพองสยองเกล้า “หม่อมฉันฟังแล้วกลัวยิ่งนัก แต่เชื่อมั่นว่าฝ่าบาทมิใช่คนพระทัยโหดเหี้ยมปานนั้น เห็นว่าวันนี้เป็นโอกาสดี หม่อมฉันเลยทำใจกล้า ทูลถามฝ่าบาทโดยตรง”ฮ่องเต้จ้องมาที่อีกฝ่ายนิ่ง จนจินฉานขยับตัวอย่างรู้สึกอึดอัด “หม่อมฉัน...หม่อมฉันสมควรตาย ไม่ควรถามอันใดไร้สาระเช่นนี้”แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าช้าๆ ท่าทียังเอื้อเอ็นดูมิคลาย “เรามิได้จะตำหนิเจ้า แต่เรากำลังคิดว่าฟู่เหม่ยเหรินนี่เป็นสตรีปากมาก วาดขาเติมตาให้มังกรเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ว่างๆ เราจะให้นางคัดตำราสักสิบจบน่าจะช่วยได
ศพของทารกผู้นั้นลือกันว่าถูกนำไปฝังบริเวณลานทิ้งศพของเหล่านางกำนัลขันทีอย่างเงียบๆ ไร้นาม ไร้พิธีศพ ไร้การสถาปนายศหลังจากสิ้นพระชนม์ ไม่มีการกล่าวถึง ทั่วทั้งวังหลวงต่างปฏิบัติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคราวนั้นเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่ง ไม่เคยมีตัวตนอันแสนอัปลักษณ์ที่เซวียนเฟยให้กำเนิดอุบัติขึ้นในตำหนักปิงตี้เหลียนมาก่อนช่วงนี้ฮ่องเต้มิอาจบรรทมที่ตำหนักใหญ่ได้ จึงได้แต่แวะเวียนไปยังตำหนักต่างๆ แต่สถานที่ที่ทำให้เขารู้สึกสงบใจลงได้อย่างที่สุดคงมีแต่งตำหนักผิงอันของอี๋ผิน ระยะหลังมานี้ถ้าไม่ต้องออกว่าราชการในตอนเช้า ก็มักจะขลุกอยู่แต่ในตำหนักผิงอัน โดยให้หลี่ฮุ่ยนำฎีกามาอ่านที่ตำหนัก ซึ่งจินฉานเองก็มิได้ทำสิ่งใดเป็นการรบกวนให้รำคาญใจ หลังจากชงชากาหนึ่งถวาย ก็มักจะหาหนังสือมาอ่าน ไม่ก็หางานฝีมือมาทำอยู่ไม่ห่างกัน ใช้เวลาร่วมกันยาวนานหลายชั่วยามอย่างสงบจากนั้นจึงร่วมรับประทานอาหารกลางวันและเย็น จากนั้นจึงให้จินฉานถวายการปรนนิบัติฮ่องเต้แล้วเข้าบรรทม เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องนานนับครึ่งเดือนจนกลายเป็นภาพชินตาวันหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มหนาวเย็นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบเฟิงจากต้นเฟิงที่ปลูกอย
“แต่ว่าพี่หญิงเซวียนเฟย...” จินเฟยเอ่ยแย้งเสียงเบา ทว่าฮ่องเต้ไม่มีท่าทีเคืองโกรธ กลับยินยอมอธิบายโดยดี “ห้องคลอดเป็นเรื่องของหมอตำแยและตัวผู้เป็นแม่ของเด็ก พวกเรารออยู่เช่นนี้ก็มิอาจเข้าไปช่วยเหลืออันใดได้ สู้ไปอยู่ที่อื่น อย่าได้เกะกะพวกเขาทำงานอีกเลย”ฮองเฮาและจินเฟยแม้จะรู้สึกไม่เห็นด้วย แต่ก็มิได้กล่าวอันใดมากความเนื่องด้วยมิใช่ธุระปะปังอันใดของตนไม่ เพียงแค่รับคำอย่างสำรวม แล้วเดินตามฮ่องเต้ไปยังตำหนักปีกอีกที่ ยิ่งเดินเสียงของเซวียนเฟยที่กำลังอยู่ในช่วงเป็นตายยิ่งห่างไกลลงไปทุกที สุดท้ายตำหนักปีกที่เคยเงียบสงบนั้นก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ชื่นมื่นไร้กังวลจนเสียงชุลมุนวุ่นวายของตำหนักส่วนกลางนั้นถูกกลบไปเสียสิ้น...ทว่าบรรยากาศรื่นรมย์นั้นก็ถูกกลบด้วยเสียงกรีดร้องจากตำหนักกลาง จินฉานเพียงปรายตาไปมองยังประตู พลันเห็นหยวนจิ่น นางกำนัลคนสนิทของเซวียนเฟย วิ่งเข้ามาในตำหนักปีกอย่างลืมสำรวมกิริยา สุดท้ายเข่าสองข้างพลันอ่อนยวบทรุดลงเบื้องหน้าฮ่องเต้และฮองเฮาที่หยุดเดินหมากกลางคัน ก่อนฟุบหน้าลงกับพื้นกราบทูลเสียงสั่นเครือจนเหมือนกับจะร้องไห้ “กราบทูลฝ่าบาท กราบทูลฮองเฮา นายหญิง...นายหญิง