หลังจากแนะนำสนมใหม่เสร็จสิ้น จินฉานและเหล่าสนมต่างแยกย้ายกลับตำหนักของตน เหลือเพียงฮองเฮาและหลิวกุ้ยเฟยที่พระนางเรียกตัวเอาไว้ก่อน ภายในห้องเงียบสงบเจือกลิ่นหวานละมุนของกำยานที่กำลังเผาไหม้ในกระถางกำยานทองเหลืองฉลุลายดอกไม้วิจิตร ฮองเฮารับถ้วยชาหลงจิ่งร้อนกรุ่นจากนางกำนัล แล้วใช้ฝาเขี่ยใบชาที่ลอยอยู่เหนือผิวหน้ายกจิบขึ้นอึกหนึ่ง พลันถอนหายใจแช่มช้า “ในที่สุด สองพี่น้องสกุลจ้าวก็ครบคน (หมายถึงจ้าวเฟยเอี้ยนและจ้าวเหอเต๋อ ที่ทำให้ราชวงศ์โจวเกือบพินาศ ในที่นี้หมายถึง จินเฟยและจินฉานที่เป็นญาติกัน) ...หญิงสกุลจินนั้นช่างดวงแข็งนัก”
หลิวกุ้ยเฟยเมื่อปราศจากคนนอกได้ยินดังนั้นจึงรีบคุกเข่าลงเบื้องหน้าสตรีสูงศักดิ์แล้วเอ่ยเสียงร้อนรน “เป็นความผิดของหม่อมฉันเองที่สั่งสอนองค์ชายสามไม่ดี ทำให้เกิดความผิดพลาดเพคะ” ทว่าฮองเฮากลับลุกขึ้นใช้สองมือประคองแขนทั้งสองของหญิงงามผู้มีอำนาจรองจากตน ยกยิ้มอบอุ่นอย่างไม่ถือสา “น้องหญิงกุ้ยเฟยอย่าได้กล่าวโทษตนเองเช่นนั้น จะเป็นความผิดของเจ้าได้อย่างไร ตัวข้ารู้ดีว่าองค์ชายสามได้ทำสุดความสามารถเท่าที่มีแล้ว ผู้ที่ทำให้เสียเรื่องคือองค์ชายห้าโอรสของจินเฟยต่างหากเล่า”
‘ทำได้สุดความสามารถเท่าที่มีแล้ว’ ประโยคนี้เสียดใจคนฟังยิ่ง ไม่มีผู้ใดในวังหลวงหรือแม้กระทั่งตัวหลิวกุ้ยเฟยที่เป็นมารดาเองจะไม่รู้ว่าบุตรชายของนางผู้นี้ประพฤติตนเหลวแหลกเพียงใด ทั้งสุรา นารี การพนัน รวมไปถึงการคบหาสหายนอกวังที่ล้วนเป็นพวกไม่เอาไหน เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่สมควรเรียกได้เต็มปากว่าเป็นพวกใกล้ชาดติดสีแดงใกล้หมึกติดสีดำของแท้ เป็นที่ระอาของฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์รวมไปถึงขุนนางเป็นอย่างยิ่ง เหตุการณ์ร้ายแรงล่าสุดนั้นเกิดขึ้นในงานเลี้ยงของเทศกาลตวนอู่เมื่อปีที่แล้ว องค์ชายสามที่เมาสุราอย่างหนักเผลอไปพูดจาแทะโลมบุตรสาวของอัครเสนาบดีสกุลซูซึ่งมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว อัครเสนาบดีนำความที่เข้ากราบทูลฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ที่ให้ความสำคัญกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ประกอบกับที่องค์ชายสามเดิมก็มิใช่โอรสที่ทรงโปรดอยู่แล้ว พระองค์จึงกริ้วจัด บริภาษองค์ชายเสเพลผู้นั้นต่อหน้าธารกำนัล จากนั้นจึงลงโทษให้ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนเป็นเวลาเจ็ดวัน เป็นที่อับอายยิ่งนัก หลิวกุ้ยเฟยร้อนใจอย่างยิ่งจึงเร่งรุดไปยังตำหนักเฟิ่งหวงเพื่อทูลขอให้ฮองเฮาช่วยเหลือ โชคยังดีที่ประจวบเหมาะกับฮ่องเต้มีพระราชโองการส่งองค์ชายห้าไปยังด่านเจิ้งถังเพื่อคุ้มกันองค์หญิงจากป๋ายอี้พอดี ฮองเฮาจึงลองทูลขอให้ฮ่องเต้นำองค์ชายสามร่วมติดตามคุ้มกันด้วย โดยอ้างถึงความอายุน้อยด้อยประสบการณ์ขององค์ชายห้าและเป็นการทำความชอบเพื่อไถ่ถอนความผิดไปในตัว นับว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสองตัว
“ทั้งๆ ที่บุตรชายของหม่อมฉันได้โอกาสจากพระนางฮองเฮา กลับทำให้พระองค์ผิดหวัง หม่อมฉันละอายใจแทนบุตรชายของหม่อมฉันเหลือเกิน” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วค่อยอย่างรู้สึกวิตกพาลให้ดวงหน้าที่ผัดแป้งหอมหนาหลายชั้นเพื่อบดบังริ้วรอยของช่วงวัยบัดนี้ยิ่งซีดขาวเป็นทวีคูณ แต่ว่าฮองเฮากลับมิถือสา พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกไห่ถังบรรจงเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายตรงขมับของหลิวกุ้ยเฟยพลางกล่าวเสียงนุ่ม “ตัวข้าได้กล่าวแล้วว่าองค์ชายสามทำสุดความสามารถแล้ว ถึงแม้จะหยุดยั้งการเข้าวังของหญิงสกุลจินมิได้ แต่การที่คุ้มครองนางกลับมายังต้าเจวียนอย่างปลอดภัยนั้นก็ทำให้องค์ชายสามได้รับความดีความชอบ ฮ่องเต้ถึงกับทรงมีดำริจะเลื่อนขั้นเขาจากกั๋วกงเป็นจวิ้นหวัง แบบนี้มินับเป็นนิมิตรหมายอันดีที่เขาจะเข้าใกล้ตำแหน่งรัชทายาทไปอีกขั้นหรอกหรือ”
“ถึงเช่นนั้นตำแหน่งของเขาก็เพียงเทียบเท่ากับองค์ชายห้าของจินเฟย...”
“ตำแหน่งจวิ้นหวังเท่าเทียมกันแล้วอย่างไร นอกเหนือจากความสามารถโดดเด่นแล้วต้องดูว่าออกมาจากครรภ์ของสตรีนางใดด้วย องค์ชายห้าถือกำเนิดจากจินเฟยที่เป็นเพียงชาวเผ่าป๋ายอี้ ส่วนองค์ชายสามมีมารดาเป็นชาวต้าเจวียนโดยกำเนิดเช่นเจ้า บิดาของเจ้าก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่รับใช้ราชสำนักต้าเจวียนมาถึงสองสมัย เช่นนี้แล้ว บุตรของสตรีบ้านป่าเมืองเถื่อนจะไปเทียบกับบุตรของเจ้าได้อย่างไรกัน”
“ฮองเฮา...”
“น่าเสียดายที่ตัวข้าเป็นบุปผาที่ร่วงโรย อยู่ร่วมกับฝ่าบาทมานับสิบปีกลับไร้โอรสธิดา ถือได้ว่าบกพร่องอย่างยิ่ง ข้าคิดไตร่ตรองอยู่นาน วันนี้จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่จะกล่าวกับเจ้า” กลีบปากสีเฝิ่นหงเอ่ยช้าๆ “ถ้าตัวข้าอยากรับองค์ชายสามเป็นโอรสบุญธรรมของข้า เจ้าจะขัดข้องหรือไม่?”
“ฮองเฮา...”
“ตัวข้าจะสนับสนุนเขาให้ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป เมื่อถึงตอนนั้นตัวข้าจะกลายเป็นหวงไทโฮ่ว ส่วนเจ้าจะเป็นหลิวกุ้ยไท่เฟย ร่วมกันให้คำชี้แนะสั่งสอนเหล่าสนมนางในรุ่นใหม่ในวังหลวง เสพสุขเกียรติยศใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตามประสาพี่น้อง จะได้หลุดพ้นจากการแก่งแย่งชิงดีที่ผ่านมาร่วมครึ่งชีวิตเสียที”
“...เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ” หลิวกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเครือประหนึ่งซาบซึ้งในน้ำใจของฮองเฮายิ่งนัก ทว่าผู้ใดจะรู้ว่านั่นคือเสียงเครือจากการลอบกัดฟันกรืดกรอด กุ้ยไท่เฟยหรือ ตำแหน่งนั้นจะยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับตำแหน่งหวงไทโฮ่วได้อย่างไร มีหรือว่านางจะไม่รู้ว่าสตรีที่งามดั่งบุปผาแต่มิอาจออกผลตรงหน้านางนี้ประสงค์สิ่งใด คิดว่าฮองเฮาจะเก็บนางเอาไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือ? มิแคล้วต้องกำจัดนางดั่งสังหารลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้งอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อใดที่บุตรชายของนางได้ขึ้นเป็นรัชทายาท เมื่อนั้นคือช่วงเวลาตัดสินว่าผู้ใดกันแน่ที่จะได้ขึ้นเป็นไทโฮ่ว!
ในเมื่อไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติม คำพูดเมื่อครู่จึงคล้ายกับสายลมที่ผ่านเลย จินฉานจ้องมองมือขาวเนียนดั่งหยกมันแพะเนื้อเย็นที่ขยับเชือกถักอย่างคล่องแคล่ว ไม่ช้าไม่นานก็กลายเป็นรูปลักษณ์คล้ายกงล้อของเกวียน ที่ใช้กันในศาสนาพุทธนิกายมหายานซึ่งนางเคยเห็นที่อารามหลวง จินเฟยเห็นอีกฝ่ายดูสนอกสนใจจึงอธิบายเสียงนุ่ม “นี่คือเงื่อนฝ่าหลุน (เงื่อนธรรมจักร) อันนี้องค์ชายเจ็ดเพิ่งมาขอให้ตัวข้าทำเป็นพู่ห้อยกระบี่แทนอันเก่าที่ขาดไป ฝ่าหลุนคือธรรมจักร คือกงล้อแห่งธรรม ข้าให้เขาห้อยติดที่ด้ามกระบี่เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าคราใดที่ชักกระบี่ออกมาให้ใช้พระธรรมนำทาง ใช้กระบี่เพื่อผดุงคุณธรรม อย่าได้หลงตกไปในห้วงแห่งกิเลสอันได้แก่ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นอันขาด”จินฉานพยักหน้า “อาหญิงใส่ใจบุตรธิดาอย่างยิ่ง แม้แต่เงื่อนเชือกนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังมีความหมายเป็นนัยลึกซึ้งเช่นนี้ ถ้าอาหญิงมีเวลา ใคร่อยากให้ท่านช่วยสอนข้าผูกเงื่อนฝ่าหลุนด้วยได้หรือไม่” เมื่อเห็นจินเฟยพยักหน้าตอบรับจึงหยิบเชือกเงื่อนอีกชิ้นหนึ่งที่ประดับหยกลายสิงโตแม่ลูกขึ้นมาดู “แล้วเงื่อนนี้ล่ะเพคะ”“เรียกว่าเงื่อนจี๋เสียง สื่อถึงโชคลาภและความสงบสุข หม่
วันรุ่งขึ้น หลังจากเสร็จสิ้นการถวายบังคมช่วงเช้า ฮองเฮาตัดสินใจรั้งตัวเหล่าสนมนางในเพื่อปรึกษาหารือกันในงานเทศกาลตวนอู่ที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า “จริงอยู่หน้าที่ในการจัดเตรียมงานส่วนใหญ่จะเป็นตัวข้า หลิวกุ้ยเฟย และจินเฟย ร่วมกันเป็นแม่งานกำกับฝ่ายพิธีการ แต่ตัวข้าเองก็อยากให้เหล่าสนมนางในมีส่วนร่วมทำให้งานครึกครื้น นอกจากจะมีการร่วมกันทำขนมโร่วจ้งรสชาติแปลกใหม่ให้ฝ่าบาทและหวงไทโฮ่วเสวยแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้มีการจัดการแสดงเล็กน้อย ถ้าน้องหญิงคนใดมีความสามารถในการขับร้องร่ายรำสามารถเข้าร่วมได้ทันที มิต้องเกรงใจ”เหล่าบุปผางามต่างขานรับด้วยท่าทีกระตือรือร้นแข็งขัน จากนั้นจึงมีเสียงสนทนาแผ่วเบาแต่ไพเราะปานนกการเวกกล่าวถ้อยวาจาซักถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานพอเป็นพิธี ฮองเฮามองเห็นเช่นนั้นก็ให้พึงพอใจอย่างยิ่ง การสนทนาดำเนินไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาจึงมีรับสั่งให้เหล่าสนมนางในแยกย้ายกลับตำหนักของตนจินเฟยก้าวออกจากตำหนักเฟิ่งหวงโดยมีนางกำนัลประคองอยู่ไม่ห่าง มิคาดว่าผู้ที่เดินตามหลังมาโดยทิ้งระยะห่างอย่างเหมาะสมจะเป็นอี๋เหม่ยเหริน จินฉาน นางหยุดเดินแล้วหันกลับมามองเด็กสาวที่ย่อกายทำคว
“พระสนมอย่าล้อหม่อมฉันเล่นเช่นนี้เลยเพคะ” ชุนเยี่ยนกล่าวเสียงแผ่วค่อย จินฉานได้แต่เพียงอมยิ้มไม่หยุด ก่อนจูงมือปี้อันมา แล้วป้ายชาดทาปากสีเดิมให้อีกครั้ง “ปี้อัน เจ้าก็ด้วย ทำหน้าหวาดกลัวรังเกียจเช่นนั้นกับของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้เห็นทีคงไม่เหมาะกระมัง หรือว่าเจ้าคิดว่าเครื่องประทินโฉมเหล่านี้ทำด้วยวิธีการเดียวกับที่ตัวข้าเล่าให้ฟังกัน เหลวไหลเสียจริง ข้าแกล้งเล่านิทานขู่ให้พวกเจ้ากลัวเข้าหน่อยก็เชื่อกันเป็นตุเป็นตะขนาดนี้ ใช้ได้ที่ไหน”“ถ้าเป็นแค่นิทาน หม่อมฉันก็คงต้องขอชมพระสนมจากใจจริงเลยว่าพระองค์ช่างเล่าได้สมจริงอย่างยิ่ง...สมจริงราวกับเห็นกับตา” เฉิงฮวานย่อกายคารวะอย่างอ่อนน้อม แสดงท่าทีถึงความนับถือ นี่นางยังไม่แน่ใจตนเองเลยว่าหลังจากฟังเรื่องที่เจ้านายนางเล่าแล้วจะกลับไปนอนหลับได้ลงหรือไม่ทว่าชุนเยี่ยนกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น มีสัญญาณบางอย่างในกายร้องเตือนว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคือเรื่องจริง...ขณะที่เจ้านายของนางเล่าก็มีภาพเลือนรางไม่ปะติดปะต่อแล่นผ่านเข้ามาในหัวตลอดเวลาจนถึงขนาดอุปาทานไปว่าตนเองได้กลิ่นศพเหม็นเน่าลอยโชยเข้าจมูกจนทำให้สีหน้าของนางย่ำแย่จนแทบดูไม่ได้ แต่พอนึกอะไรออก
เมื่อจินฉานและชุนเยี่ยนกลับถึงตำหนักผิงอัน กล่องสีแดงกำมะหยี่และหีบใบเล็กจำนวนหนึ่งก็วางอยู่จนเต็มโต๊ะที่ไว้สำหรับรับประทานอาหาร มีปี้อันที่ส่งเสียงอือๆ อาๆ พยายามจะอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จนเฉิงฮวานต้องสะกิดเตือนแล้วรายงานแทน “เมื่อครู่คนจากตำหนักใหญ่นำของพระราชทานจากฮ่องเต้มาเพคะ นัยว่าเป็นของรางวัลที่นายหญิงทำพระเขนยถวายฝ่าบาท”จินฉานอมยิ้มจาง พลางนั่งลงที่กี๋กระเบื้องเคลือบลวดลายวิจิตรเบื้องหน้ากล่องและหีบกองโต นางเลือกเปิดหีบไม้สลักลายดอกเหมยใบหนึ่ง พบว่าเป็นตลับกระเบื้องเคลือบบรรจุแป้งหอมนานาชนิด ทั้งแป้งหอมโม่ลี่ แป้งจื่อเฟิน แต่ละตลับส่งกลิ่นหอมจรุงแต่ไม่ฉุนจัด อีกทั้งยังมีชาดทาปากทั้งแบบผสมขี้ผึ้งบรรจุตลับกระเบื้องหลากสีสันและเป็นกระดาษชาดแบบที่ใช้แนบเม้มริมฝีปากอิ่มแยกเอาไว้ในกล่องเล็กๆ ต่างหาก นอกจากนี้ยังมีโต๊ะเครื่องแป้งที่เมื่อเปิดประตูออกก็จะมีตุ๊กตารูปนางกำนัลตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูสองมือถือถาดเทินหวี สือไต้เขียนคิ้ว และน้ำปรุงดอกเหมยกุ้ยจากป๋อสื่อเคลื่อนด้วยลานมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ปี้อันที่ยังเด็กดูตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ส่วนเฉิงฮวานเห็นเช่นนั้นก็ให้อมยิ้ม “โต๊ะเครื่องแป
หลังจากปลุกปลอบกันอยู่ครู่หนึ่ง พอท่าทีหวงไทโฮ่วคลายเศร้าโศกได้จึงขอทูลลากลับ ระหว่างที่ประคองผู้เป็นนายเดินไปตามเส้นทางสายยาวของราชอุทยาน ชุนเยี่ยนครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักหรูหลาน คลับคล้ายว่าสิ่งที่จินฉานและหวงไทโฮ่วสนทนากันในวันนี้มีส่วนที่นางคลับคล้ายจะเข้าใจและไม่เข้าใจ ส่วนที่เหมือนจะเข้าใจนั้นก็ดั่งมองผ่านม่านหมอกเลือนราง ไม่อาจจับต้นชนปลายได้ ยิ่งพยายามเค้นสมองคิดยิ่งรู้สึกปวดศีรษะอย่างยิ่งจนต้องเอามือนวดขมับตนเองเบาๆ จินฉานเห็นดังนั้นจึงหยุดเดิน แล้วปรายตามองอีกฝ่ายเงียบๆ ชุนเยี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงพยายามทำตนให้เป็นปกติ “ขออภัยเพคะ หม่อมฉันจู่ ๆ ก็รู้สึกเวียนศีรษะ...”จินฉานได้ยินเช่นนั้นก็อมยิ้ม ส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่เป็นไร อากาศที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา อีกทั้งเมื่อครู่เจ้ายังเจอเรื่องชวนให้สับสนอีก จะปวดศีรษะก็ไม่แปลก วันนี้เรากลับตำหนักเร็วหน่อย ข้าจะให้ปี้อันต้มยาให้เจ้าดื่ม และพักผ่อนเสีย ข้าอนุญาตให้เจ้าลาหยุดหนึ่งวัน ไม่ต้องมาปรนนิบัติตัวข้า”ชุนเยี่ยนได้แต่พยักหน้าขอบพระทัยเงียบ ๆ ก่อนที่จะถูกจินฉานเร่งฝีเท้าให้รีบเดิน จนกลายเป็นว่านางถูกเจ้านายของนางจูงมือกลับเข
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวปานดอกไม้ที่ขาดคนรดน้ำดูแลรักษาพลันค่อยๆ ผลิบานพองฟูอย่างเป็นสุข เนิ่นนานนับปีที่พระนางต้องอยู่อย่างหน้าชื่นอกตรม ฝั่งหนึ่งได้รับการสรรเสริญเยินยอจากประชาและเหล่าขุนนางว่าเป็นมารดาที่คำนึงถึงความถูกต้อง แม้นว่าสายเลือดของตนจะทำผิดแต่ก็ไม่คิดคัดค้านฮ่องเต้ที่เป็นโอรสในการมีราชโองการลงทัณฑ์พระอนุชา ดำรงตนเป็นแบบอย่างของมารดาผู้มีคุณธรรม แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเบื้องหลังฉากนั้นพระนางก็ไม่ต่างกับมารดาที่หัวใจสลายคนหนึ่งที่ต้องเห็นบุตรคนหนึ่งสังหารบุตรอีกคนหนึ่งโดยที่ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้เลยพระนางบีบมือจินฉานตอบ “เด็กดี เด็กประเสริฐ ขอแค่เพียงเจ้าเชื่อว่า อู่เฉิงหวัง หลี่หยวน เป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าก็ไม่เสียใจอีกแล้ว”“ดูจากท่าทีของท่าน คิดเรื่องนี้คงมีเรื่องไม่ชอบมาพากล” จินฉานเอ่ย หวงไทโฮ่วถอนใจแช่มช้า มองสือม่านถัวนำถ้วยน้ำชาที่เริ่มเย็นชืดเพราะไม่ได้แตะต้องไปเปลี่ยน “ชอบมาพากลก็ดี ไม่ชอบมาพากลแล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อฮ่องเต้เชื่อในหลักฐานที่คนเหล่านั้นนำมาถวาย ในบ้านนี้เมืองนี้ ถ้าฮ่องเต้เชื่อสิ่งใด เหล่าขุนนางก็จำต้องคล้อยตาม ประจบเอาใจดั
“หวงไทโฮ่วอันใดกัน เรียกข้าว่าเสด็จแม่เถิด” นางยิ้มเอ่ย จินฉานเฉลียวฉลาดสักปานใด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา “เชิญเสด็จแม่เสวยพระสุธารสชาเพคะ”หวงไทโฮ่วรับถ้วยชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง จากนั้นจึงส่งถ้วยชาให้สือม่านถัวที่พยายามทำความเข้าใจกับสตรีที่รู้จักและไม่รู้จักทั้งสองคนอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังคงเก็บกักอารมณ์ของตนเองไว้ในดวงหน้าเรียบเฉยได้ แล้วจึงยืนอยู่รับใช้อย่างสำรวม มองทั้งคู่ที่นั่งอยู่เคียงกันประหนึ่งสะใภ้และแม่สามีที่รักใคร่ปรองดองครอบครัวหนึ่ง แล้วจึงมองเจ้านายของตนใช้มืออวบอิ่มที่สวมแหวนและกำไลหยกเขียวเข้มที่ข้อมือยกขึ้นเชยคางของจินฉานอย่างรักใคร่เอ็นดูอย่างยิ่ง “เจ้าคือจินฉานสินะ งามสมกับที่บุตรชายข้าเคยเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิจริงๆ”“ท่านผู้นั้นกล่าวเกินจริงไปเสียหน่อย หม่อมฉันจะงามอย่างไรก็มิอาจเทียบเสด็จแม่ ฮองเฮา กับบรรดาสนมนางในที่อยู่ ณ ที่นี้หรอกเพคะ”“งามแล้วอย่างไร ภายใต้รูปลักษณ์งดงามปานเทพธิดา แต่บทสนทนาที่แลกเปลี่ยน และกิเลสที่อยู่ในร่างแต่ละนางช่างน่ากลัว วันๆ ดีแต่มีความคิดช่วงชิงความโปรดปราน ทั้งหน้าซื่อใจคด ทั้งปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ พวกนางก็มีต่างกับอส
หลังจากรอให้จินฉานทำธุระที่ตำหนักอันผิงจนเสร็จเรียบร้อย สือม่านถัวจึงนำทางไปยังตำหนักหรูหลานอันเป็นที่พำนักของหวงไทโฮ่ว ตำหนักแห่งนี้ห่างไกลจากตำหนักสนมนางในเยาว์วัย แต่กลับใกล้กับบรรดาตำหนักของเหล่าไท่เฟย ทำให้เสียงเจื้อยแจ้วปานนกกระจอกแตกรังของเหล่าหญิงสาวมิอาจรบกวนพระนาง แต่ในขณะเดียวกันกลับใกล้กับตำหนักของเหล่าไท่เฟยที่เคยสนิทกันกับหวงไทโฮ่วตั้งแต่สมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังสามารถไปมาหาสู่ได้โดยสะดวก บรรยากาศภายนอกร่มรื่น มีเหมยขาวและเหมยเขียวกำลังชูช่อบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมจรุงไปทั่วเมื่อจินฉานและชุนเยี่ยนมาถึง นางกำนัลอาวุโสจึงขอตัวไปรายงานกับหวงไทโฮ่ว จินฉานเพียงรับคำอย่างสงบ แล้วใช้เวลาระหว่างนั้นชมความงามของตำหนักไปพลางๆ จนสายตาไปสะดุดกับตัวอักษรแถวหนึ่งที่เขียนด้วยหมึกทอง นางอมยิ้ม “ที่แท้ชื่อตำหนักของหวงไทโฮ่วมาจากประโยคนี้”“ตัวอักษรแถวนั้นหรือเพคะ?” ชุนเยี่ยนถึงแม้ร่ำเรียนภาษาต้าเจวียนมา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบทสนทนาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และคำพูดในรั้วในวังที่จำเป็น ส่วนบทกลอนกวีของต้าเจวียนนั้นนางไม่กระดิกสักเรื่อง จะไม่เข้าใจก็ไม่แปลกจินฉานพยักหน้า “ประโยคนั้นอ่านว่า หรูหลานจ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม การสวดมนต์จึงเสร็จสิ้น เซวียนเฟยดูมีท่าทีที่มีความสุขเหลือประมาณ จินฉานมองเซวียนเฟยและอู่คงสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง เซวียนเฟยจึงหันไปทางจินฉาน ท่าทีเกรงอกเกรงใจหลายส่วน “อี๋เหม่ยเหริน พอดีว่าวันนี้ข้าจะอยู่สนทนาธรรมกับต้าซือต่อ ถ้ารั้งให้น้องอยู่ต่อ ข้าเองก็เกรงใจนัก ถ้าเจ้ามีธุระอันใดที่ต้องกลับไปจัดการก็สามารถกลับไปก่อนได้เลย มิต้องรอข้า”จินฉานเอ่ยปากหมายจะปฏิเสธ ทว่าเมื่อจ้องลึกเข้าไปในแววตาของเซวียนเฟย กลับพบนัยยะบางอย่าง ในใจร้องเตือนนางว่าไม่สมควรอยู่ต่อ จึงคลี่ยิ้มอ่อนหวานเอ่ย “ถ้าไม่ได้พี่หญิงเตือน หม่อมฉันคงลืมแล้ว ช่วงสายวันนี้จินเฟยเชิญหม่อมฉันไปตำหนักหรูอี้เพื่อเป็นเพื่อนเดินหมากกับพระนาง นี่ก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว หม่อมฉันคงต้องขอทูลลา และขอขอบพระทัยเซวียนเฟยที่ชวนหม่อมฉันมายังอารามหลวงแห่งนี้เพคะ”เซวียนเฟยเพียงพยักหน้ารับคำ ดวงตาคู่งามมองส่งสตรีอ่อนเยาว์ที่ติดตามนางมา ก่อนหันไปสนทนากับอู่คงต่อ...“พระสนม หม่อมฉันมิเห็นจำได้ว่าพระนางจินเฟยชวนพระสนมไปเดินหมากนะเพคะ” ชุนเยี่ยนย่นคิ้วขณะประคองแขนจินฉานเดินออกจากอาราม เด็กสาวหันไปยิ้ม แล้วเอ่ย “เจ้านี่ช่างไม่รู