หลังจากแนะนำสนมใหม่เสร็จสิ้น จินฉานและเหล่าสนมต่างแยกย้ายกลับตำหนักของตน เหลือเพียงฮองเฮาและหลิวกุ้ยเฟยที่พระนางเรียกตัวเอาไว้ก่อน ภายในห้องเงียบสงบเจือกลิ่นหวานละมุนของกำยานที่กำลังเผาไหม้ในกระถางกำยานทองเหลืองฉลุลายดอกไม้วิจิตร ฮองเฮารับถ้วยชาหลงจิ่งร้อนกรุ่นจากนางกำนัล แล้วใช้ฝาเขี่ยใบชาที่ลอยอยู่เหนือผิวหน้ายกจิบขึ้นอึกหนึ่ง พลันถอนหายใจแช่มช้า “ในที่สุด สองพี่น้องสกุลจ้าวก็ครบคน (หมายถึงจ้าวเฟยเอี้ยนและจ้าวเหอเต๋อ ที่ทำให้ราชวงศ์โจวเกือบพินาศ ในที่นี้หมายถึง จินเฟยและจินฉานที่เป็นญาติกัน) ...หญิงสกุลจินนั้นช่างดวงแข็งนัก”
หลิวกุ้ยเฟยเมื่อปราศจากคนนอกได้ยินดังนั้นจึงรีบคุกเข่าลงเบื้องหน้าสตรีสูงศักดิ์แล้วเอ่ยเสียงร้อนรน “เป็นความผิดของหม่อมฉันเองที่สั่งสอนองค์ชายสามไม่ดี ทำให้เกิดความผิดพลาดเพคะ” ทว่าฮองเฮากลับลุกขึ้นใช้สองมือประคองแขนทั้งสองของหญิงงามผู้มีอำนาจรองจากตน ยกยิ้มอบอุ่นอย่างไม่ถือสา “น้องหญิงกุ้ยเฟยอย่าได้กล่าวโทษตนเองเช่นนั้น จะเป็นความผิดของเจ้าได้อย่างไร ตัวข้ารู้ดีว่าองค์ชายสามได้ทำสุดความสามารถเท่าที่มีแล้ว ผู้ที่ทำให้เสียเรื่องคือองค์ชายห้าโอรสของจินเฟยต่างหากเล่า”
‘ทำได้สุดความสามารถเท่าที่มีแล้ว’ ประโยคนี้เสียดใจคนฟังยิ่ง ไม่มีผู้ใดในวังหลวงหรือแม้กระทั่งตัวหลิวกุ้ยเฟยที่เป็นมารดาเองจะไม่รู้ว่าบุตรชายของนางผู้นี้ประพฤติตนเหลวแหลกเพียงใด ทั้งสุรา นารี การพนัน รวมไปถึงการคบหาสหายนอกวังที่ล้วนเป็นพวกไม่เอาไหน เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่สมควรเรียกได้เต็มปากว่าเป็นพวกใกล้ชาดติดสีแดงใกล้หมึกติดสีดำของแท้ เป็นที่ระอาของฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์รวมไปถึงขุนนางเป็นอย่างยิ่ง เหตุการณ์ร้ายแรงล่าสุดนั้นเกิดขึ้นในงานเลี้ยงของเทศกาลตวนอู่เมื่อปีที่แล้ว องค์ชายสามที่เมาสุราอย่างหนักเผลอไปพูดจาแทะโลมบุตรสาวของอัครเสนาบดีสกุลซูซึ่งมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว อัครเสนาบดีนำความที่เข้ากราบทูลฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ที่ให้ความสำคัญกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ประกอบกับที่องค์ชายสามเดิมก็มิใช่โอรสที่ทรงโปรดอยู่แล้ว พระองค์จึงกริ้วจัด บริภาษองค์ชายเสเพลผู้นั้นต่อหน้าธารกำนัล จากนั้นจึงลงโทษให้ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนเป็นเวลาเจ็ดวัน เป็นที่อับอายยิ่งนัก หลิวกุ้ยเฟยร้อนใจอย่างยิ่งจึงเร่งรุดไปยังตำหนักเฟิ่งหวงเพื่อทูลขอให้ฮองเฮาช่วยเหลือ โชคยังดีที่ประจวบเหมาะกับฮ่องเต้มีพระราชโองการส่งองค์ชายห้าไปยังด่านเจิ้งถังเพื่อคุ้มกันองค์หญิงจากป๋ายอี้พอดี ฮองเฮาจึงลองทูลขอให้ฮ่องเต้นำองค์ชายสามร่วมติดตามคุ้มกันด้วย โดยอ้างถึงความอายุน้อยด้อยประสบการณ์ขององค์ชายห้าและเป็นการทำความชอบเพื่อไถ่ถอนความผิดไปในตัว นับว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสองตัว
“ทั้งๆ ที่บุตรชายของหม่อมฉันได้โอกาสจากพระนางฮองเฮา กลับทำให้พระองค์ผิดหวัง หม่อมฉันละอายใจแทนบุตรชายของหม่อมฉันเหลือเกิน” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วค่อยอย่างรู้สึกวิตกพาลให้ดวงหน้าที่ผัดแป้งหอมหนาหลายชั้นเพื่อบดบังริ้วรอยของช่วงวัยบัดนี้ยิ่งซีดขาวเป็นทวีคูณ แต่ว่าฮองเฮากลับมิถือสา พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกไห่ถังบรรจงเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายตรงขมับของหลิวกุ้ยเฟยพลางกล่าวเสียงนุ่ม “ตัวข้าได้กล่าวแล้วว่าองค์ชายสามทำสุดความสามารถแล้ว ถึงแม้จะหยุดยั้งการเข้าวังของหญิงสกุลจินมิได้ แต่การที่คุ้มครองนางกลับมายังต้าเจวียนอย่างปลอดภัยนั้นก็ทำให้องค์ชายสามได้รับความดีความชอบ ฮ่องเต้ถึงกับทรงมีดำริจะเลื่อนขั้นเขาจากกั๋วกงเป็นจวิ้นหวัง แบบนี้มินับเป็นนิมิตรหมายอันดีที่เขาจะเข้าใกล้ตำแหน่งรัชทายาทไปอีกขั้นหรอกหรือ”
“ถึงเช่นนั้นตำแหน่งของเขาก็เพียงเทียบเท่ากับองค์ชายห้าของจินเฟย...”
“ตำแหน่งจวิ้นหวังเท่าเทียมกันแล้วอย่างไร นอกเหนือจากความสามารถโดดเด่นแล้วต้องดูว่าออกมาจากครรภ์ของสตรีนางใดด้วย องค์ชายห้าถือกำเนิดจากจินเฟยที่เป็นเพียงชาวเผ่าป๋ายอี้ ส่วนองค์ชายสามมีมารดาเป็นชาวต้าเจวียนโดยกำเนิดเช่นเจ้า บิดาของเจ้าก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่รับใช้ราชสำนักต้าเจวียนมาถึงสองสมัย เช่นนี้แล้ว บุตรของสตรีบ้านป่าเมืองเถื่อนจะไปเทียบกับบุตรของเจ้าได้อย่างไรกัน”
“ฮองเฮา...”
“น่าเสียดายที่ตัวข้าเป็นบุปผาที่ร่วงโรย อยู่ร่วมกับฝ่าบาทมานับสิบปีกลับไร้โอรสธิดา ถือได้ว่าบกพร่องอย่างยิ่ง ข้าคิดไตร่ตรองอยู่นาน วันนี้จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่จะกล่าวกับเจ้า” กลีบปากสีเฝิ่นหงเอ่ยช้าๆ “ถ้าตัวข้าอยากรับองค์ชายสามเป็นโอรสบุญธรรมของข้า เจ้าจะขัดข้องหรือไม่?”
“ฮองเฮา...”
“ตัวข้าจะสนับสนุนเขาให้ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป เมื่อถึงตอนนั้นตัวข้าจะกลายเป็นหวงไทโฮ่ว ส่วนเจ้าจะเป็นหลิวกุ้ยไท่เฟย ร่วมกันให้คำชี้แนะสั่งสอนเหล่าสนมนางในรุ่นใหม่ในวังหลวง เสพสุขเกียรติยศใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตามประสาพี่น้อง จะได้หลุดพ้นจากการแก่งแย่งชิงดีที่ผ่านมาร่วมครึ่งชีวิตเสียที”
“...เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ” หลิวกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเครือประหนึ่งซาบซึ้งในน้ำใจของฮองเฮายิ่งนัก ทว่าผู้ใดจะรู้ว่านั่นคือเสียงเครือจากการลอบกัดฟันกรืดกรอด กุ้ยไท่เฟยหรือ ตำแหน่งนั้นจะยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับตำแหน่งหวงไทโฮ่วได้อย่างไร มีหรือว่านางจะไม่รู้ว่าสตรีที่งามดั่งบุปผาแต่มิอาจออกผลตรงหน้านางนี้ประสงค์สิ่งใด คิดว่าฮองเฮาจะเก็บนางเอาไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือ? มิแคล้วต้องกำจัดนางดั่งสังหารลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้งอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อใดที่บุตรชายของนางได้ขึ้นเป็นรัชทายาท เมื่อนั้นคือช่วงเวลาตัดสินว่าผู้ใดกันแน่ที่จะได้ขึ้นเป็นไทโฮ่ว!
“ชีวิตเจ้าที่ต้องทนทุกข์อยู่ในตำหนักเย็นแห่งนี้ยังอีกยาวไกล อย่าเพิ่งรีบร้อนปลิดชีวิตตนเอง”หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองบุรุษที่นางเคยรัก เคยมีช่วงเวลาที่ตกอยู่ในบ่วงเสน่หาร่วมกัน เคยคาดหวังรอคอยถึงชีวิตคู่ที่อบอุ่นพร้อมหน้า ทว่าคนตรงหน้านี้กลับไม่เหลือเค้าของผู้ที่อยู่ในห้วงความทรงจำอีกต่อไป กลับเป็นบุรุษที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เป็นผู้ชายที่พร้อมจะสลัดนางออกไปจากชีวิตเพื่อลาภยศของตนอย่างแท้จริง...หลีอ๋องปล่อยให้อดีตคนรักมองเขาจนพอใจ เขาพรูลมหายใจอย่างนึกสมเพช จากนั้นจึงหันหลังค่อยๆ เดินจากไป หญิงสาวจ้องมองแผ่นหลังสง่างามของอีกฝ่ายเขม็ง ขบฟันกรืดกรอดจนแทบแหลกละเอียด ก่อนตัดสินใจเอ่ยเรียก“ท่านอ๋อง!”เมื่อหลีอ๋องหันกลับมาครั้ง หญิงสาวก็เข้ามาประชิดตัวแล้วทำให้มิอาจปัดป้องหลบหนี รู้ตัวอีกทีสองแขนของนางก็สวมกอดเขาไว้แน่นอีกครั้ง พร้อมริมฝีปากอิ่มที่ประกบเข้าที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม เพื่อมอบจูบอ่อนหวานเฉกเช่นที่พวกเขาเคยถ่ายเทแลกเปลี่ยนเวลาลอบพบกัน...สายลมด้านนอกตำหนักปิงตี้เหลียนหวีดหวิวพร้อมพัดพาความหนาวเย็นเสียดกระดูก ทว่าฮ่องเต้และจินฉานก็ยังไม่มีทีท่าขยับ ราวกับรอ
...เนื่องจากนั่งอยู่ที่เก้าอี้กุ้ยเฟยเป็นระยะเวลานาน ขาทั้งสองข้างจึงไม่สามารถขยับเดินเหินได้ดั่งใจ จำต้องใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนก้าวโผเผเข้าไปหา มือซึ่งทั้งสิบนิ้วสวมแหวนเงินเปรอะเปื้อนเลือดและน้ำเหลืองจากการกอดกล่องใส่ซากทารกมาเนิ่นนานตรงเข้าสวมกอดอีกฝ่าย ใบหน้าซุกซบลงกับอกกว้าง น้ำตาหลั่งริน “ดี...ดียิ่ง เป็นเช่นนี้แสดงว่าท่านได้คืนตำแหน่งอ๋องแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราฮ่องเต้ยอมรับแล้วใช่หรือไม่? ที่ท่านมาวันนี้เพื่อมารับพวกเราแม่ลูกไปอยู่กับท่านใช่หรือไม่?”หลีอ๋องหรืออดีตต้าซืออู่คงมองเจ้าของริมฝีปากที่กล่าวพร่ำเพ้อไม่หยุดปากด้วยรอยยิ้ม..รอยยิ้มที่แสดงถึงความสมเพชสังเวชอย่างถึงที่สุด เขาผละจากอ้อมกอดอย่างนึกรังเกียจ ทว่าเนื่องด้วยจำเป็นต้องส่งยิ้มอบอบอุ่น ทั้งที่ในใจนั้นสุดแสนจะผะอืดผะอม จนรอยยิ้มที่พยายามปั้นออกมาดูพิลึกพิลั่น แต่หลีอ๋องยังคงเอื้อนเอ่ย “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ที่ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกให้เจ้าได้รับรู้”เซวียนเฟยพลันร่างกายแข็งทื่อ ดวงตากลอกไปมาท่าทางหวาดหวั่น นางจับมือเขาไว้แน่นแล้วพยายามดึงเขาให้เดินไปพร้อมกับนางพลางเอ่ยเพียงพร่า “ไ
เซวียนเฟยช้อนตาขึ้นมองด้วยความฉงน แล้วเอ่ย “ข้าจะให้ลูกกินนม เขาหิวแล้ว เสียงร้องไห้ดังไปทั่ว เจ้าไม่ได้ยินเลยหรือ?”หยวนจิ่นขนลุกชูชันพลางหันรีหันขวางมองไปรอบๆ จนแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ยินเสียงตามที่เซวียนเฟยกล่าวอ้างแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะใช้คำพูดตามจริงทำร้ายจิตใจ ได้แต่จัดสาบเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดและน้ำเหลืองที่ไหลซึมออกมาจากรอบฝากล่องของอีกฝ่ายให้เข้าที่ พยายามส่งยิ้มฝืดเฝื่อนแล้วกล่าวเสียงอ่อน “อาห์ ที่แท้นายหญิงต้องการให้นมองค์ชายน้อย แต่ว่าเท่าที่หม่อมฉันเห็น ท่านไม่ได้ดื่มน้ำและรับประทานอาหารอย่างเต็มที่มาหลายวันแล้ว เกรงว่าน้ำนมจะมีไม่เพียงพอ ท่านควรจะรับประทานอะไรบ้าง” ว่าพลางผละออกจากเซวียนเฟยอย่างแนบเนียน “อย่างไรเสียให้หม่อมฉันไปดูที่ห้องเครื่องเสียหน่อย ว่ามีอะไรพอให้นายหญิงรับประทานได้บ้าง ท่านรออยู่ตรงนี้ อย่าเพิ่งไปไหนนะเพคะ”เซวียนเฟยพยักหน้าช้าๆ ท่าทีสงบเสงี่ยมว่าง่ายนั้นทำให้หยวนจิ่นเบาใจ จึงเดินไปยังห้องเครื่องเพื่อเตรียมอาหารให้ตามที่ได้ว่าไว้โดยปล่อยให้เจ้านายของตนอยู่เพียงลำพังนาฬิกาน้ำที่วางอยู่ที่มุมห้องบ่งบอกเวลาว่าผ่านไปสองเค่อแล้ว อาจเป็นเพราะอา
จินฉานร้องอาห์พลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นจึงเอ่ยถามต่อ “แล้วต้าซืออู่คงล่ะเพคะ เป็นเช่นไรบ้าง”ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “เหตุใดถึงอยากรู้”จินฉานเพียงยิ้มน้อยๆ กล่าว “วันก่อนหม่อมฉันได้ไปงานเลี้ยงน้ำชาที่ตำหนักของฟู่เหม่ยเหริน ได้ยินเหล่าพี่สาวน้องสาวเล่าลือกันว่าต้าซือร่วมสวดอำนวยพรให้พี่เซวียนเฟยไม่สำเร็จ ซ้ำยังทำให้นางให้กำเนิดสิ่งอัปมงคล ฝ่าบาททรงกริ้วนัก สั่งปลดต้าซือจากเจ้าอารามแล้วนำไปไต่สวน ลงทัณฑ์ทรมานสารพัด จนป่านนี้แล้วเสียงของต้าซือยังร้องโหยหวนออกจากฝ่ายราชทัณฑ์ไม่หยุด” จินฉานว่าพลางลูบแขนตนเองไปมา ท่าทางขนพองสยองเกล้า “หม่อมฉันฟังแล้วกลัวยิ่งนัก แต่เชื่อมั่นว่าฝ่าบาทมิใช่คนพระทัยโหดเหี้ยมปานนั้น เห็นว่าวันนี้เป็นโอกาสดี หม่อมฉันเลยทำใจกล้า ทูลถามฝ่าบาทโดยตรง”ฮ่องเต้จ้องมาที่อีกฝ่ายนิ่ง จนจินฉานขยับตัวอย่างรู้สึกอึดอัด “หม่อมฉัน...หม่อมฉันสมควรตาย ไม่ควรถามอันใดไร้สาระเช่นนี้”แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าช้าๆ ท่าทียังเอื้อเอ็นดูมิคลาย “เรามิได้จะตำหนิเจ้า แต่เรากำลังคิดว่าฟู่เหม่ยเหรินนี่เป็นสตรีปากมาก วาดขาเติมตาให้มังกรเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ว่างๆ เราจะให้นางคัดตำราสักสิบจบน่าจะช่วยได
ศพของทารกผู้นั้นลือกันว่าถูกนำไปฝังบริเวณลานทิ้งศพของเหล่านางกำนัลขันทีอย่างเงียบๆ ไร้นาม ไร้พิธีศพ ไร้การสถาปนายศหลังจากสิ้นพระชนม์ ไม่มีการกล่าวถึง ทั่วทั้งวังหลวงต่างปฏิบัติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคราวนั้นเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่ง ไม่เคยมีตัวตนอันแสนอัปลักษณ์ที่เซวียนเฟยให้กำเนิดอุบัติขึ้นในตำหนักปิงตี้เหลียนมาก่อนช่วงนี้ฮ่องเต้มิอาจบรรทมที่ตำหนักใหญ่ได้ จึงได้แต่แวะเวียนไปยังตำหนักต่างๆ แต่สถานที่ที่ทำให้เขารู้สึกสงบใจลงได้อย่างที่สุดคงมีแต่งตำหนักผิงอันของอี๋ผิน ระยะหลังมานี้ถ้าไม่ต้องออกว่าราชการในตอนเช้า ก็มักจะขลุกอยู่แต่ในตำหนักผิงอัน โดยให้หลี่ฮุ่ยนำฎีกามาอ่านที่ตำหนัก ซึ่งจินฉานเองก็มิได้ทำสิ่งใดเป็นการรบกวนให้รำคาญใจ หลังจากชงชากาหนึ่งถวาย ก็มักจะหาหนังสือมาอ่าน ไม่ก็หางานฝีมือมาทำอยู่ไม่ห่างกัน ใช้เวลาร่วมกันยาวนานหลายชั่วยามอย่างสงบจากนั้นจึงร่วมรับประทานอาหารกลางวันและเย็น จากนั้นจึงให้จินฉานถวายการปรนนิบัติฮ่องเต้แล้วเข้าบรรทม เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องนานนับครึ่งเดือนจนกลายเป็นภาพชินตาวันหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มหนาวเย็นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบเฟิงจากต้นเฟิงที่ปลูกอย
“แต่ว่าพี่หญิงเซวียนเฟย...” จินเฟยเอ่ยแย้งเสียงเบา ทว่าฮ่องเต้ไม่มีท่าทีเคืองโกรธ กลับยินยอมอธิบายโดยดี “ห้องคลอดเป็นเรื่องของหมอตำแยและตัวผู้เป็นแม่ของเด็ก พวกเรารออยู่เช่นนี้ก็มิอาจเข้าไปช่วยเหลืออันใดได้ สู้ไปอยู่ที่อื่น อย่าได้เกะกะพวกเขาทำงานอีกเลย”ฮองเฮาและจินเฟยแม้จะรู้สึกไม่เห็นด้วย แต่ก็มิได้กล่าวอันใดมากความเนื่องด้วยมิใช่ธุระปะปังอันใดของตนไม่ เพียงแค่รับคำอย่างสำรวม แล้วเดินตามฮ่องเต้ไปยังตำหนักปีกอีกที่ ยิ่งเดินเสียงของเซวียนเฟยที่กำลังอยู่ในช่วงเป็นตายยิ่งห่างไกลลงไปทุกที สุดท้ายตำหนักปีกที่เคยเงียบสงบนั้นก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ชื่นมื่นไร้กังวลจนเสียงชุลมุนวุ่นวายของตำหนักส่วนกลางนั้นถูกกลบไปเสียสิ้น...ทว่าบรรยากาศรื่นรมย์นั้นก็ถูกกลบด้วยเสียงกรีดร้องจากตำหนักกลาง จินฉานเพียงปรายตาไปมองยังประตู พลันเห็นหยวนจิ่น นางกำนัลคนสนิทของเซวียนเฟย วิ่งเข้ามาในตำหนักปีกอย่างลืมสำรวมกิริยา สุดท้ายเข่าสองข้างพลันอ่อนยวบทรุดลงเบื้องหน้าฮ่องเต้และฮองเฮาที่หยุดเดินหมากกลางคัน ก่อนฟุบหน้าลงกับพื้นกราบทูลเสียงสั่นเครือจนเหมือนกับจะร้องไห้ “กราบทูลฝ่าบาท กราบทูลฮองเฮา นายหญิง...นายหญิง