ณ จวนตระกูลเว่ย
“ทุกคนคงรู้กันแล้วว่าดินแดนลับที่กำลังจะเปิดนี้มีประตูทางเข้าที่ป่าจินหลินชั้นใน” เว่ยซือหลิวเอ่ยออกมาเมื่อสมาชิกทุกคนในครอบครัวอยู่กันแบบพร้อมหน้า
“ขอรับท่านปู่” เว่ยซือหลางตอบกลับ สายตาชายหนุ่มมองผู้เป็นปู่มีร่องรอยแห่งความภาคภูมิใจพาดผ่าน นั่นเป็นเพราะปัจจุบันเว่ยซือหลิวไม่ได้อ่อนแออีกต่อไปแล้ว เพราะเขามีพลังปราณอยู่ที่ระดับราชัน!
ถึงจะเป็นราชาขั้นต่ำแต่ก็ยังเป็นระดับราชันคนแรกของดินแดนเบื้องล่างที่สามารถตัดผ่านขั้นพลังไปยังระดับนี้ได้ ต่อให้เป็นดินแดนเบื้องบนเองหากมีทรัพยากรไม่เพียงพอก็ยากจะไปถึง เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้น้องสาวของเขา ที่ชอบนำของดี ๆ มาให้คนในครอบครัวอยู่เสมอ คนอื่น ๆ ในครอบครัวจึงพากันเลื่อนระดับกลายเป็นตระกูลที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิม
ท้าวความกลับไปตอนที่ตระกูลเว่ยทำการค้าผักปราณอย่างเปิดเผยกับดินแดนเบื้องบนใหม่ ๆ การค้าของพวกเขาไปกระตุ้นผู้มีอำนาจบางคนเข้าจึงถูกกดดันอย่างหนัก โชคดีที่ได้สองพี่น้องตระกูลโอหยางและหอเทพโอสถกับสมาคมอักขระออกหน้าให้ ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าพวกตนยังจะรักษาการค้านี้ไว้ได้หรือไม่
นับจากวันนั้นเว่ยซือหลิวที่คิดว่าตนเองแข็งแกร่งมากพอแล้วถึงกับปิดด่านกักตนร่วมปี จนในที่สุดก็สามารถเลื่อนระดับมาอยู่ในขั้นราชันได้ เขาถึงได้ออกมา ระดับพลังคนอื่น ๆ ในปัจจุบันเองก็ไม่ได้น้อยหน้า
หลินซือเหยาเลื่อนพลังปราณมาอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นต่ำ แต่กลายเป็นนักอักขระระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว ผู้เป็นบุตรชายเว่ยซือซานนั้นมีความคืบหน้ามากกว่ามารดาเพราะมีพลังปราณอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นกลาง พลังยุทธของเขาจึงล้ำลึกมาก
หลิวลี่หงเลื่อนระดับพลังปราณมาอยู่ที่จอมยุทธิ์ขั้นกลาง และกลายเป็นนักปรุงโอสถระดับสูงแล้ว มีบางครั้งที่ปรุงโอสถระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ นับว่าก้าวหน้ามาก
หลานชายคนโตของตระกูลเว่ยซือหลางเองมีพลังอยู่ในระดับปราชญ์ขั้นต่ำ ส่วนคนน้องอย่างเว่ยซือเหลียงมีพลังอยู่ในระดับจอมยุทธ์ขั้นต่ำ
ในขณะที่พลังปราณของเว่ยซือหงอยู่ที่จอมยุทธ์ขั้นต่ำเท่าพี่ชายคนรอง ทว่าพิเศษตรงที่นางสามารถเลื่อนไปยังระดับถัดไปได้ทุกเมื่อ เคล็ดวิชาหยินหยางลมปราณสวรรค์มีอัตราการดูดซับลมปราณยากจะหยั่ง จนเว่ยซือหงต้องใส่กำไลผนึกพลังไว้ ไม่เช่นนั้นตอนนี้นางอาจมีพลังอยู่ขั้นเดียวกับพี่ใหญ่หรือมารดาก็ได้ ทั้งหมดทั้งมวลยังคงปิดบังไว้ด้วยแหวนปกปิดระดับเทพ คนอื่น ๆ ในครอบครัวจึงไม่รู้ว่าเจ้าตัวก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วกันแน่
กลับมายังสถานการณ์ปัจจุบัน เว่ยซือซานที่วิเคราะห์เรื่องนี้อยู่นานเอ่ยขึ้นบ้าง “ท่านพ่อ เช่นนั้นเราควรจัดเตรียมคนคุ้มกันฝีมือดีไว้หลายชุดสักหน่อยนะขอรับ การฝ่าไปยังป่าจินหลินชั้นในไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
“ใช่ เราต้องทำทุกอย่างอย่างรัดกุม อาหลางกับอาเหลียงต้องเข้าไปในดินแดนลับโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน”
เว่ยซือหงนั่งฟังเงียบ ๆ ขมวดคิ้ว เหตุใดมีเพียงพี่ใหญ่กับพี่รองล่ะ ชื่อนางอยู่ไหน?
“หงเอ๋อร์หลานยังเด็ก ยังเข้าไปตอนนี้ไม่ได้” หลินซือเหยามีหรือจะไม่รู้ว่าหลานรักคิดอะไรอยู่
“แต่ว่าอาหงดูแลตัวเองได้นะเจ้าคะท่านย่า”
“พวกเรารู้ว่าหงเอ๋อร์เก่งกาจ แต่แม่ให้ลูกเข้าไปในดินแดนลับครั้งนี้ไม่ได้จริง ๆ” หลิวลี่หงนาน ๆ ทีจะค้านบุตรสาวเอ่ยเสียงเข้ม ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่มีวันให้เจ้าตัวแสบเข้าไปเด็ดขาด
ใบหน้าของเว่ยซือหงบึ้งตึง อย่างไรก็ไม่ยินยอม ปกตินางเชื่อฟังทุกคนในครอบครัวมาก แต่ครั้งนี้เห็นทีว่าต้องขัดคำสั่งแล้ว
“อาหงต้องไปเจ้าค่ะ”
“...”
“ท่านแม่ ท่านย่า ทุกคนเจ้าคะ ให้อาหงไปเถอะนะเจ้าคะ อาหงรู้สึกว่าต้องไปจริง ๆ”
“ไม่! ฟังแม่ของเจ้าหงเอ๋อร์”
“ท่านพ่อ!” เด็กหญิงส่งสายตาร้องขออย่างน่าสงสาร หากบิดาและคนอื่น ๆ ต่างหลบสายตากันหมด
“หงเอ๋อร์ ปู่ไม่สามารถปล่อยหลานไปเผชิญอันตรายได้จริง ๆ เชื่อฟังพ่อแม่หลานเถอะ” เว่ยซือหลิวเองก็ลำบากใจ หลานคนนี้เป็นเด็กดีเสมอมา มีไม่กี่เรื่องที่จะยกเหตุผลขึ้นมาขัด ทว่าครั้งนี้ไม่ได้จริง ๆ อย่างไรก็ปล่อยให้นางเข้าดินแดนลับไม่ได้
มีพลังมากแล้วอย่างไร อย่าลืมนางเพิ่งอายุ 10 ขวบ ประสบการณ์การต่อสู้ยังมีไม่มาก ปล่อยให้ไปไม่ได้เด็ดขาด
เว่ยซือหงรู้ว่าพูดต่อก็รังแต่จะทะเลาะกันนางจึงเงียบใส่ทุกคน แต่ในหัวเอาแต่ขบคิดวิธีการ ไม่ใช่ว่านางรั้นไม่อยากเชื่อฟัง เพียงแต่นางต้องไปจริง ๆ หากไม่ไปครั้งนี้นางต้องสูญเสียบางอย่างไปแน่ ๆ ไม่ยอมหรอก
เช่นไรก็จะไปให้ได้!
“เอาละนี่คือโอสถเยียวยาและโอสถลบกลิ่นอายระดับศักดิ์สิทธิ์พวกเจ้าสองพี่น้องเก็บเอาไว้ให้ดี ภายในดินแดนลับมีอันตรายมากมาย เมื่อถึงคราวต้องใช้อย่าได้ลังเลเป็นอันขาด เอาชีวิตให้ปลอดภัยสำคัญที่สุด”
“ขอบคุณขอรับท่านปู่” เว่ยซือหลางและเว่ยซือเหลียงกล่าวขอบคุณเว่ยซือหลิวพร้อมกัน พร้อมกับรับโอสถระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองชนิดมาเก็บไว้กับตัว
“โอสถสองชนิดนี้ข้าจำได้ว่าท่านลุงจิงนำมามอบเป็นของขวัญให้ท่านพ่อ เมื่อครั้งที่ท่านเลื่อนขั้นพลังปราณเป็นระดับจักรพรรดิใช่หรือไม่ขอรับ”
“ใช่แล้ว ข้าสงสัยมาตลอดว่าความจำเป็นต้องใช้ที่พี่ชายจิงเอ่ยถึงคืออันใด มาวันนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
“ที่แท้พวกเขาก็รู้เรื่องดินแดนลับมาเนิ่นนานแล้ว”
“อืม แต่ก็ต้องขอบคุณพวกเขา มันมีประโยชน์ต่อพวกเราจริง ๆ นั่นแหละ” เว่ยซือหลิวตอบบุตรชาย
จากนั้นความสนใจของทุกคนก็พุ่งมาที่เว่ยซือหง เห็นเจ้าตัวเงียบขรึมผิดแปลกไปจากทุกทีรู้สึกปวดใจเล็กน้อย แต่ถ้าการขัดใจบุตรหลานแล้วนางปลอดภัยพวกเขาก็ยอม
เว่ยซือหงไม่ใช่ไม่เข้าใจความรู้สึกของทุกคน ทว่าอย่างที่เอ่ย นางจำเป็นต้องไปจริง ๆ ตลอดมานางไม่เคยรั้น ครั้งนี้คงต้องเป็นครั้งแรกแล้ว ต่อให้โดนลงโทษทีหลังนางขอน้อมรับโดยดุษดี
เห็นดังนั้น เว่ยซือหลิวจึงวางใจ ปล่อยให้นางฝึกฝนด้วยตนเอง ส่วนเขาก็กลับไปตั้งใจบ่มเพาะอย่างจริงจัง ตัวเว่ยซือหลางและเว่ยซือเหลียงเองก็จากไปบ่มเพาะเช่นกันเว่ยซือหงยังคงฝึกทักษะการต่อสู้ต่อไปแม้จะไม่มีคู่ซ้อม นางไม่คิดไปนั่งบ่มเพาะ เพราะพอใจในระดับพลังตอนนี้ของตนแล้ว ขอแค่อยากเลื่อนระดับ แค่หลับตานางก็สามารถเลื่อนไปยังระดับราชันได้ทันที ดังนั้นการบ่มเพาะสำหรับนางแล้วไม่จำเป็นเลยเด็กหญิงตั้งหน้าตั้งตาฝึกยุทธ์ขัดเกลาฝีมือของตนต่อไปไม่หยุดยั้ง กระบวนท่าของนางก็เฉียบคมและดุดันขึ้นเรื่อย ๆทั้งรวดเร็วและอันตรายมั่นใจได้เลยว่า หากได้ประมือกับพี่ชายทั้งสองอีก ต่อให้ไม่อาจเอาชนะ แต่นางก็ไม่แพ้อย่างแน่นอน พอใจในพัฒนาการของตนยิ่งนักเว่ยซือหงจึงสลับไปศึกษาศาสตร์อักขระและปรุงยาบ้าง สลับสับเปลี่ยนไปเช่นนี้อย่างไม่รู้เบื่อ วันเวลาในมิติผลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้ทุกคนจะมีใบหน้าและอายุเท่าเดิม เพราะเวลาในมิติไม่ส่งผลต่อมนุษย์ ทว่าระดับพลังของพวกเขานั้นคนละเรื่องไปเลย มันพัฒนาอย่างมากชนิดที่ว่าหากพวกเขาไม่ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกฝนในมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเขาก็ไม่อาจคิดฝันว่าตนเองจะมาถึงระดับนี้!เว่ย
ความจริงแล้วตระกูลเว่ยไม่ได้อาศัยอยู่ในจวน แต่พวกเขามารวมตัวกันอยู่ภายในมิติพฤกษาสวรรค์เว่ยซือหลินกับหลินซือเหยา แม่สามีลูกสะใภ้พากันเดินชมแปลงสมุนไพรพลังปราณระดับเซียนที่เคยเห็นชื่อแค่ในตำราด้วยความตื่นตาตื่นใจเว่ยซือหลิวกับเว่ยซือซานเองพากันศึกษากลยุทธ์ด้านการศึกสงครามในเรือนตำราส่วนสามพี่น้อง เว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียง และเว่ยซือหง พากันนอนกินผลไม้ปราณนิ่ง ๆ เนื่องจากพวกเขาเที่ยวเล่นในมิติจนพอแล้วกระทั่งได้เวลาอาหารกลางวัน ทุกคนก็มารวมตัวรับประทานอาหารพร้อมกันที่จุดเดียว จากนั้นเว่ยซือหลิวก็เอ่ยแจกแจงสิ่งที่แต่ละคนต้องทำขึ้นว่า“หลังจากนี้ข้าคิดว่าให้ทุกคนตั้งใจทำการบ่มเพาะดีกว่า ด้วยความช่วยเหลือจากมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนน่าจะเลื่อนระดับพลังปราณได้ไม่ยาก”“ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อนะขอรับ แต่นั่งบ่มเพาะนาน ๆ อย่างเดียวอาจเบื่อได้ เช่นนั้นให้ศึกษาอย่างอื่นที่ตนสนใจด้วยดีหรือไม่ขอรับ” เว่ยซือหลิวเสนอแนะ“จริงด้วยขอรับท่านปู่ ทำเช่นนี้จะได้คลายความเบื่อหน่าย การบ่มเพาะของพวกเราอาจจะก้าวหน้าเร็วขึ้น” เว่ยซือเหลียงเห็นด้วยกับความคิดบิดา“เช่นนั้นก็จัดเวลาด้วยตนเอง ศึกษาสิ่งที่สนใจส
“ได้ เริ่มจากข้าเลยแล้วกัน” หวังไท่หยางเป็นคนตรงไปตรงมาเอ่ยรับคำ ก่อนที่จะเอ่ยถึงข้อเสนอที่ตนเตรียมมาให้พ่อลูกตระกูลเว่ยและคนอื่น ๆ ได้ฟังถัดจากเขาคนอื่น ๆ ก็เริ่มนำเสนอข้อเสนอหรือสิ่งแลกเปลี่ยนของตนเองบ้าง การพูดคุยครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ทั้งเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานเองยังต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจยอมรับข้อเสนอหรือแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายหรือไม่การเจรจาเริ่มตั้งแต่ยามซื่อ(09:00-10:59) จนถึงยามซวี(19:00-20:59) โดยมีการหยุดพักรับประทานอาหารหนึ่งครั้งเท่านั้น การพูดคุยตกลงกันถึงได้สิ้นสุดลงโดยที่แต่ละคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า บ่งบอกว่าการเจรจามันผ่านไปได้ด้วยดี“ยินดีที่ได้ร่วมมือนะน้องเว่ย” หรงเทียนฮ่าว “ยินดีที่ได้ร่วมมือเช่นกันน้องเว่ย” หวังไท่หยาง “หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันอีกนะน้องเว่ย” ฉินตงหยาง“หากน้องเว่ยมีของดีอย่าลืมบอกพวกเราด้วยนะ” อิงหลันฮวาจาก ‘นายท่านตระกูลเว่ย’ ปัจจุบันเปลี่ยนคำเรียกขานว่า ‘น้องเว่ย’ ชี้ชัดว่าจากการพูดคุยครั้งนี้ พวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์กันไม่น้อยเลยทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นผลมาจากทุกข้อเสนอได้รับการตอบรับอย่างดีนั่นแหละ หากไม่ใช่เช่นนั้น
โอหยางจิง ตัวแทนจากหอเทพโอสถโอหยางเจี๋ย ตัวแทนจากสมาคมอักขระหรงเทียนฮ่าว ตัวแทนจากนิกายมังกรสวรรค์อิงหลันฮวา ตัวแทนจากนิกายจากบุปผาสวรรค์หวังไท่หยาง ตัวแทนจากนิกายพยัคฆ์สวรรค์ฉินตงหยาง ตัวแทนจากนิกายวิหคสวรรค์ตัวแทนที่มาจากนิกายทั้งสี่ ฟังจากที่โอหยางจิงที่เคยบอกกล่าวล่วงหน้าล้วนแต่เป็นเจ้านิกาย เป็นตัวตนยิ่งใหญ่ที่เขาสองพ่อลูกไม่อาจเสียมารยาทได้ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ศึกษาประวัติดินแดนเบื้องบนหรือที่ถูกกล่าวขานว่าทวีปศักดิ์สิทธิ์มาแล้วอย่างคร่าว ๆ ทวีปศักดิ์สิทธิ์ เป็นทวีปที่ปกครองตนเอง ไม่มีราชวงศ์ แบ่งออกเป็น 4 ดินแดน 4 นิกายหรือสำนักศึกษาอันเป็นขุมอำนาจสำคัญ ได้แก่ ดินแดนมังกร ดินแดนพยัคฆ์ ดินแดนวิหค และดินแดนบุปผาดินแดนมังกร เป็นดินแดนที่มีพื้นที่ใหญ่และเฟื่องฟูมีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุด จึงถูกจัดให้เป็นเมืองหลวงของทวีปศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนมังกรเป็นที่ตั้งของนิกายมังกรสวรรค์ โดยตระกูลหรงจัดเป็นตระกูลใหญ่และเรืองอำนาจมากที่สุดในดินแดนนี้ทิศเหนือของดินแดนมังกรคือดินแดนวิหค ที่อยู่บนเทือกเขาสูงไม่อาจเดินทางด้วยวิธีธรรมดา จำต้องขึ้นเรือเหาะหรือเรือบินเท่านั้น ดินแดนวิหคเป็นที่
เพียงสามวันหลังจากกลุ่มผู้เยาว์กลับออกมาจากการสำรวจดินแดนลับ ข้อเสนอที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และหลุมพรางมากมายก็ถูกยื่นตรงเข้าหาพวกเขา หลายคนมีความคิดตื้นเขินเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยก็สูญเสียบางอย่างที่ล้ำค่าไป ทว่ามีอีกหลายคนที่มีความคิดอ่านลึกซึ้ง จึงอยู่ในช่วงเจรจาต่อรอง ตระกูลเว่ยเป็นหนึ่งในคนกลุ่มหลังนี้เพียงแต่ว่าตระกูลเว่ยมีความแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะพวกเขามีแต้มต่อที่เยอะมาก ทั้งยังไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยยังไม่นับรวมการที่เว่ยซือหลิวมีพลังปราณระดับราชัน จากที่คิดว่าอาจถูกกดดัน กลายเป็นว่าตัวตนของตระกูลเว่ยไปกดดันผู้ที่มาเจรจาต่อรองผลประโยชน์แทนแม้จะเป็นเช่นนั้น ประตูของตระกูลเว่ยก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีคนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีข่าวว่าพวกเขาตกลงปลงใจกับขุมอำนาจใด หมายความว่าพวกเขายังมีหวังต่อตระกูลเว่ยอยู่ทรัพยากรที่เด็ก ๆ ตระกูลเว่ยเก็บเกี่ยวมาได้นั้นหอมหวานเกินไป ต่อให้การเจรจาต่อรองจะเป็นไปได้ยาก พวกเขาก็ไม่อาจตัดใจได้ จนกว่าจะมีข่าวว่าตระกูลเว่ยจับมือตกลงผลประโยชน์กับกลุ่มอำนาจใดไปแล้วนั่นแหละ พวกเขาจึงจะถอยในคนเหล่านั้น บา
“เรื่องที่อาหงสามารถพาทุกคนเข้าไปยังมิติของตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ กล่าวให้ถูกคืออาหงสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองอยู่ในระดับแม่ทัพแล้ว ทว่ามันต้องแลกกับการต้องทำพันธสัญญาเลือดกับทุกคน คล้ายการทำพันธสัญญาทาสที่จะไม่ทรยศหรือหักหลังอาหง”“...”“แต่ทุกคนเป็นครอบครัวของอาหงนะเจ้าคะ อาหงจะทำพันธสัญญาเช่นนั้นกับพวกท่านได้อย่างไร จึงไม่เคยเอ่ยถึงหรือบอกกล่าวความจริงนี้ให้ฟัง ด้วยเหตุนั้นอาหงจึงเริ่มศึกษามิติของตนเองมาเรื่อย ๆ ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะพาทุกคนเข้าไปในมิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญากดขี่เช่นนั้น และอาหงก็ค้นพบ”“...”“นั่นก็คือต้องเพิ่มความเเข็งแกร่งให้ตนเองมาก ๆ อย่างน้อยต้องมีพลังระดับจักรพรรดิเป็นอย่างต่ำ ถึงจะสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญาดังกล่าว เพียงแต่ว่า...” เด็กหญิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยที่จะเอ่ยส่วนที่เหลือออกไป“เด็กดี ไม่ต้องกังวล เอ่ยออกมาเถิด เป็นเช่นไรเดี๋ยวพวกแม่ตัดสินใจกันเอง เจ้าไม่ต้องคิดมาก” หลิวลี่หงปลอบบุตรสาว ไม่อยากให้นางกังวลเกินไปนัก อายุเพียงเท่านี้ก็คิดทำหลายอย่างเพื่อครอบครัวมากเกินไปแล้ว“เฮ้อ มิติของอาหงมันพิเศษเจ