กลุ่มของเว่ยซือหงมารวมตัวกันในห้องพิเศษของโรงเตี๊ยมตระกูลหลิว สหายของเว่ยซือเหลียงทั้งหมดอยู่ในห้องนี้เช่นกัน พวกเขาไม่ได้แบ่งแยกชายหญิงแต่อย่างใด เพราะทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณด้วยกันทั้งนั้น
ทว่าแม้คนจะเยอะแต่ในห้องพิเศษกลับเงียบไร้ซึ่งบทสนทนาอย่างที่ควรเป็น เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า เกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
“สั่งอาหารเถอะ” เว่ยซือเหลียงเอ่ยนำร่อง
“นั่นสิ ๆ สั่งอาหารกันดีกว่า” กู้เยว่พยักพเยิดจนทุกคนพากันสั่งอาหาร ไม่นานอาหารน่ากินหลายจานถูกนำมาส่ง ทุกคนนั่งกินกันอย่างเงียบ ๆ จวบจนอาหารบนจานถูกกวาดเรียบนั่นแหละ จึงเริ่มพูดคุยกันบ้าง
“เว่ยซือหง อย่างไรพี่ชายต้องขอบใจเจ้ามากนะ หากเจ้าไม่เข้ามาช่วย บางทีกลุ่มของพวกพี่ชายต้องได้ปะทะกับคนพวกนั้นจนต้องเจ็บตัวไม่น้อยแน่”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อย่างไรก็คนคุ้นเคย ช่วยกันน่ะดีแล้ว” เว่ยซือหงตอบรับยิ้ม ๆ พลางมองสหายของพี่ชายทีละคน ๆ ไม่ว่าจะกู้ฉี หลินฝู หลิวจางหย่ง หลิวซาน ล้วนเป็นเครือญาติกันทั้งนั้น
ขอกล่าวถึงสมาชิกตระกูลใหญ่ทั้งสาม ซึ่งมีความสนิทชิดเชื้อกับตระกูลเว่ยตลอดมาอีกสักครั้งอย่างละเอียด
ตระกูลหลิน ตระกูลเสนาบดีกรมกลาโหมนามหลินปิง ทั้งยังเป็นหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบัน มีระดับการบ่มเพาะถึงจักรพรรดิขั้นต่ำ (อีกฝ่ายเป็นพี่ชายหลินซือเหยา ท่านย่าของเว่ยซือหง) มีภรรยาหนึ่งคนนามฟางซิน ทั้งสองมีบุตรธิดาด้วยกันสองคน บุตรสาวคนเล็กแต่งเข้าวังหลวงเป็นมารดาของแผ่นดิน นามหลินเหมยฮวา ส่วนบุตรชายคนโตหลินซี มีภรรยาชื่อจางเยว่ ทั้งสองมีพยานรักนามหลินฝูและหลินหว่าน ซึ่งคนพี่คบหาเป็นสหายของเว่ยซือเหลียง คนน้องเป็นสหายของเว่ยซือหง
ตระกูลกู้ ตระกูลเสนาบดีกรมพระคลังกู้เฟิง เขาเป็นหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันที่มีระดับการบ่มเพาะระดับจักรพรรดิขั้นต่ำ (อีกฝ่ายเป็นพี่ชายของกู้เยว่ ท่านยายของเว่ยซือหง) ภรรยาคู่กายนามกวนลี่มี่ ทั้งสองมีบุตรชายสืบทอดสกุลเพียงคนเดียวคือกู้ชิงไห่ ปัจจุบันแต่งงานกับเหลียนฮวาและมีลูกชายเป็นโซ่ทองหนึ่งคนนาม กู้ฉี ซึ่งคบหาเป็นสหายกับเว่ยซือเหลียงเช่นกัน
สุดท้ายตระกูลหลิว ตระกูลคหบดีใหญ่ที่มีบุตรหลานมากที่สุด ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันมีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นต่ำนามหลิวห้าว ภรรยานามกู้เยว่ ทั้งสองมีบุตรชายสองคนและบุตรสาวหนึ่งคน บุตรสาวเพียงคนเดียวหลิวลี่หงแต่งเข้าเป็นสะใภ้ตระกูลเว่ย
บุตรชายคนโตแต่งภรรยานามซูปี้ มีบุตรชายสามคนคือหลิวฉี หลิวเมิ่ง ทั้งสองเป็นสหายของเว่ยซือหลาง ส่วนบุตรชายคนเล็กหลิวซานเป็นสหายกับเว่ยซือเหลียง
บุตรชายคนรองของหลิวห้าวนามหลิวเหว่ยแต่งภรรยานามเจียอี มีบุตรชายสามคน สองคนเป็นฝาแฝดชื่อหลิวจางจิ้น หลิวจางหมิ่น ฝาแฝดเป็นสหายกับเว่ยซือหลาง ส่วนบุตรชายคนเล็กนามหลิวจางหย่งเป็นสหายกับเว่ยซือเหลียงเฉกเช่นเดียวกัน
จะเห็นได้ว่าทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันเป็นเครือญาติ ทว่าทายาทรุ่นหลานนี้ไม่ใคร่อยากเรียกขานว่าญาติผู้พี่หรือญาติผู้น้องเท่าใดนัก ตัดสินใจเรียกหากันเป็นสหายแทน เพราะอย่างไรอายุก็ไล่ ๆ กันทั้งนั้น
เห็นจะมีเพียงเว่ยซือหงและหลินหว่านเท่านั้นที่ได้รับเกียรติเรียกว่าญาติผู้น้อง เนื่องจากอายุน้อยที่สุด และเพราะเป็นสตรีเพียงสองคน จึงได้รับการทะนุถนอมและเอ็นดูจากพวกพี่ ๆ อย่างเต็มที่
“ว่าแต่พวกเจ้าเถอะ มาเดินเที่ยวเตร่เช่นนี้ได้เยี่ยงไร ไม่ใช่ว่าถูกท่านย่าเข้มงวดอยู่หรือ” หลินฝูถามน้องสาวตนเองกับญาติผู้น้องเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายบ้างแล้ว
“ก็ต้องพักบ้างสิเจ้าคะ ท่านจะให้ติดแหง็กอยู่แต่ในจวนได้อย่างไร มีหวังขาดอากาศหายใจพอดี” หลินหว่านตอบแทบจะทันทีก่อนจะบึนปากใส่พี่ชาย
“ช่างพูดนักนะ” หลินฝูส่ายหน้า
“เอาเถอะ ออกมาเดินเที่ยวบ้างก็ดี ข้าไม่เห็นพวกเจ้าออกนอกจวนนานแล้ว เพียงแต่ช่วงนี้ต้องระวังให้มากรู้หรือไม่” หลิวจางหย่งกล่าวบ้างทั้งยังไม่ลืมเตือนญาติผู้น้องทั้งสองคน
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วนี่จะไปไหนต่อ จะกลับเลยหรือไม่” หลิวซานที่เพิ่งหาช่องสนทนาได้เอ่ยขึ้นบ้าง สายตามองญาติผู้น้องทั้งสองอย่างต้องการคำตอบ
“ตั้งใจว่าเช่นนั้นเจ้าค่ะ เดิมทีเป้าหมายของพวกเราก็แค่เดินเล่นกับมากินมื้อเที่ยงที่นี่ ไม่คาดว่าจะพบเห็นเหตุการณ์พวกนั้นเข้า”
“เช่นนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ ไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรแล้ว” ไม่มีธุระสำคัญอันใดแล้วกู้ฉีจึงเอ่ยชวนทุกคนกลับ
แน่นอนว่าทุกคนเห็นด้วย จึงได้พากันออกจากห้องพิเศษ ทว่ากลุ่มของเว่ยซือหงยังไม่ทันจะออกไปจากโรงเตี๊ยมตระกูลหลิว ความวุ่นวายทั่วท้องถนนพลันเข้าสู่สายตา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“นั่นสิ เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนั้น”
กลุ่มของเว่ยซือหงมองหน้ากันไปมาแต่ไร้ซึ่งคำตอบ ต่างคนต่างไม่รู้ พอดีมีเสี่ยวเอ้อร์เดินออกมาพอดีจึงได้เรียกตัวไว้เอ่ยถาม
“เสี่ยวเอ้อร์ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดด้านล่างจึงวุ่นวายเช่นนั้น” เว่ยซือเหลียงเป็นคนถาม
เสี่ยวเอ้อร์ชายมองพวกเขาด้วยสีหน้าแปลก ๆ เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “นี่พวกท่านยังไม่รู้ข่าวอีกหรือขอรับ”
“ข่าว? ข่าวอันใด” หลิวจางหย่งถามต่อ
“ก็ข่าวจากสมาคมอักขระน่ะสิขอรับ พวกเขาออกมาประกาศว่าประตูทางเข้าดินแดนลับจะเปิดออกที่ป่าจินหลินชั้นใน”
“ประตูทางเข้าดินแดนลับจะเปิดออกที่ป่าจินหลินชั้นใน?” เว่ยซือเหลียงถามย้ำ
“ขอรับ ตอนนี้คนก็เลยวุ่นวายกันมาก เพราะต้องเตรียมพื้นที่ และเตรียมตัวฝ่าเข้าไปยังป่าจินหลินชั้นในให้ได้ เห็นว่าหลายขุมอำนาจกำลังระดมพลเลยขอรับ พวกเขาต้องการส่งผู้เยาว์เข้าไปในดินแดนลับให้ปลอดภัยมากที่สุด”
“ขอบใจมาก นี่เป็นรางวัลของเจ้า” หลินฝูเอ่ยพร้อมนำเงินหนึ่งตำลึงให้เสี่ยวเอ้อร์ไป
“ขอบคุณคุณชายมากขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์หนุ่มรับมาอย่างยินดีก่อนขอตัวไปทำงานของตนเองต่อ
กลุ่มของเว่ยซือหงส่งสายตาให้กันสักครู่ แล้วแยกย้ายกลับตระกูลอย่างรวดเร็ว เว่ยซือหงและหลินหว่านตามพี่ชายกลับไปเช่นกัน
เห็นดังนั้น เว่ยซือหลิวจึงวางใจ ปล่อยให้นางฝึกฝนด้วยตนเอง ส่วนเขาก็กลับไปตั้งใจบ่มเพาะอย่างจริงจัง ตัวเว่ยซือหลางและเว่ยซือเหลียงเองก็จากไปบ่มเพาะเช่นกันเว่ยซือหงยังคงฝึกทักษะการต่อสู้ต่อไปแม้จะไม่มีคู่ซ้อม นางไม่คิดไปนั่งบ่มเพาะ เพราะพอใจในระดับพลังตอนนี้ของตนแล้ว ขอแค่อยากเลื่อนระดับ แค่หลับตานางก็สามารถเลื่อนไปยังระดับราชันได้ทันที ดังนั้นการบ่มเพาะสำหรับนางแล้วไม่จำเป็นเลยเด็กหญิงตั้งหน้าตั้งตาฝึกยุทธ์ขัดเกลาฝีมือของตนต่อไปไม่หยุดยั้ง กระบวนท่าของนางก็เฉียบคมและดุดันขึ้นเรื่อย ๆทั้งรวดเร็วและอันตรายมั่นใจได้เลยว่า หากได้ประมือกับพี่ชายทั้งสองอีก ต่อให้ไม่อาจเอาชนะ แต่นางก็ไม่แพ้อย่างแน่นอน พอใจในพัฒนาการของตนยิ่งนักเว่ยซือหงจึงสลับไปศึกษาศาสตร์อักขระและปรุงยาบ้าง สลับสับเปลี่ยนไปเช่นนี้อย่างไม่รู้เบื่อ วันเวลาในมิติผลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้ทุกคนจะมีใบหน้าและอายุเท่าเดิม เพราะเวลาในมิติไม่ส่งผลต่อมนุษย์ ทว่าระดับพลังของพวกเขานั้นคนละเรื่องไปเลย มันพัฒนาอย่างมากชนิดที่ว่าหากพวกเขาไม่ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกฝนในมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเขาก็ไม่อาจคิดฝันว่าตนเองจะมาถึงระดับนี้!เว่ย
ความจริงแล้วตระกูลเว่ยไม่ได้อาศัยอยู่ในจวน แต่พวกเขามารวมตัวกันอยู่ภายในมิติพฤกษาสวรรค์เว่ยซือหลินกับหลินซือเหยา แม่สามีลูกสะใภ้พากันเดินชมแปลงสมุนไพรพลังปราณระดับเซียนที่เคยเห็นชื่อแค่ในตำราด้วยความตื่นตาตื่นใจเว่ยซือหลิวกับเว่ยซือซานเองพากันศึกษากลยุทธ์ด้านการศึกสงครามในเรือนตำราส่วนสามพี่น้อง เว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียง และเว่ยซือหง พากันนอนกินผลไม้ปราณนิ่ง ๆ เนื่องจากพวกเขาเที่ยวเล่นในมิติจนพอแล้วกระทั่งได้เวลาอาหารกลางวัน ทุกคนก็มารวมตัวรับประทานอาหารพร้อมกันที่จุดเดียว จากนั้นเว่ยซือหลิวก็เอ่ยแจกแจงสิ่งที่แต่ละคนต้องทำขึ้นว่า“หลังจากนี้ข้าคิดว่าให้ทุกคนตั้งใจทำการบ่มเพาะดีกว่า ด้วยความช่วยเหลือจากมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนน่าจะเลื่อนระดับพลังปราณได้ไม่ยาก”“ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อนะขอรับ แต่นั่งบ่มเพาะนาน ๆ อย่างเดียวอาจเบื่อได้ เช่นนั้นให้ศึกษาอย่างอื่นที่ตนสนใจด้วยดีหรือไม่ขอรับ” เว่ยซือหลิวเสนอแนะ“จริงด้วยขอรับท่านปู่ ทำเช่นนี้จะได้คลายความเบื่อหน่าย การบ่มเพาะของพวกเราอาจจะก้าวหน้าเร็วขึ้น” เว่ยซือเหลียงเห็นด้วยกับความคิดบิดา“เช่นนั้นก็จัดเวลาด้วยตนเอง ศึกษาสิ่งที่สนใจส
“ได้ เริ่มจากข้าเลยแล้วกัน” หวังไท่หยางเป็นคนตรงไปตรงมาเอ่ยรับคำ ก่อนที่จะเอ่ยถึงข้อเสนอที่ตนเตรียมมาให้พ่อลูกตระกูลเว่ยและคนอื่น ๆ ได้ฟังถัดจากเขาคนอื่น ๆ ก็เริ่มนำเสนอข้อเสนอหรือสิ่งแลกเปลี่ยนของตนเองบ้าง การพูดคุยครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ทั้งเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานเองยังต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจยอมรับข้อเสนอหรือแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายหรือไม่การเจรจาเริ่มตั้งแต่ยามซื่อ(09:00-10:59) จนถึงยามซวี(19:00-20:59) โดยมีการหยุดพักรับประทานอาหารหนึ่งครั้งเท่านั้น การพูดคุยตกลงกันถึงได้สิ้นสุดลงโดยที่แต่ละคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า บ่งบอกว่าการเจรจามันผ่านไปได้ด้วยดี“ยินดีที่ได้ร่วมมือนะน้องเว่ย” หรงเทียนฮ่าว “ยินดีที่ได้ร่วมมือเช่นกันน้องเว่ย” หวังไท่หยาง “หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันอีกนะน้องเว่ย” ฉินตงหยาง“หากน้องเว่ยมีของดีอย่าลืมบอกพวกเราด้วยนะ” อิงหลันฮวาจาก ‘นายท่านตระกูลเว่ย’ ปัจจุบันเปลี่ยนคำเรียกขานว่า ‘น้องเว่ย’ ชี้ชัดว่าจากการพูดคุยครั้งนี้ พวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์กันไม่น้อยเลยทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นผลมาจากทุกข้อเสนอได้รับการตอบรับอย่างดีนั่นแหละ หากไม่ใช่เช่นนั้น
โอหยางจิง ตัวแทนจากหอเทพโอสถโอหยางเจี๋ย ตัวแทนจากสมาคมอักขระหรงเทียนฮ่าว ตัวแทนจากนิกายมังกรสวรรค์อิงหลันฮวา ตัวแทนจากนิกายจากบุปผาสวรรค์หวังไท่หยาง ตัวแทนจากนิกายพยัคฆ์สวรรค์ฉินตงหยาง ตัวแทนจากนิกายวิหคสวรรค์ตัวแทนที่มาจากนิกายทั้งสี่ ฟังจากที่โอหยางจิงที่เคยบอกกล่าวล่วงหน้าล้วนแต่เป็นเจ้านิกาย เป็นตัวตนยิ่งใหญ่ที่เขาสองพ่อลูกไม่อาจเสียมารยาทได้ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ศึกษาประวัติดินแดนเบื้องบนหรือที่ถูกกล่าวขานว่าทวีปศักดิ์สิทธิ์มาแล้วอย่างคร่าว ๆ ทวีปศักดิ์สิทธิ์ เป็นทวีปที่ปกครองตนเอง ไม่มีราชวงศ์ แบ่งออกเป็น 4 ดินแดน 4 นิกายหรือสำนักศึกษาอันเป็นขุมอำนาจสำคัญ ได้แก่ ดินแดนมังกร ดินแดนพยัคฆ์ ดินแดนวิหค และดินแดนบุปผาดินแดนมังกร เป็นดินแดนที่มีพื้นที่ใหญ่และเฟื่องฟูมีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุด จึงถูกจัดให้เป็นเมืองหลวงของทวีปศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนมังกรเป็นที่ตั้งของนิกายมังกรสวรรค์ โดยตระกูลหรงจัดเป็นตระกูลใหญ่และเรืองอำนาจมากที่สุดในดินแดนนี้ทิศเหนือของดินแดนมังกรคือดินแดนวิหค ที่อยู่บนเทือกเขาสูงไม่อาจเดินทางด้วยวิธีธรรมดา จำต้องขึ้นเรือเหาะหรือเรือบินเท่านั้น ดินแดนวิหคเป็นที่
เพียงสามวันหลังจากกลุ่มผู้เยาว์กลับออกมาจากการสำรวจดินแดนลับ ข้อเสนอที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และหลุมพรางมากมายก็ถูกยื่นตรงเข้าหาพวกเขา หลายคนมีความคิดตื้นเขินเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยก็สูญเสียบางอย่างที่ล้ำค่าไป ทว่ามีอีกหลายคนที่มีความคิดอ่านลึกซึ้ง จึงอยู่ในช่วงเจรจาต่อรอง ตระกูลเว่ยเป็นหนึ่งในคนกลุ่มหลังนี้เพียงแต่ว่าตระกูลเว่ยมีความแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะพวกเขามีแต้มต่อที่เยอะมาก ทั้งยังไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยยังไม่นับรวมการที่เว่ยซือหลิวมีพลังปราณระดับราชัน จากที่คิดว่าอาจถูกกดดัน กลายเป็นว่าตัวตนของตระกูลเว่ยไปกดดันผู้ที่มาเจรจาต่อรองผลประโยชน์แทนแม้จะเป็นเช่นนั้น ประตูของตระกูลเว่ยก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีคนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีข่าวว่าพวกเขาตกลงปลงใจกับขุมอำนาจใด หมายความว่าพวกเขายังมีหวังต่อตระกูลเว่ยอยู่ทรัพยากรที่เด็ก ๆ ตระกูลเว่ยเก็บเกี่ยวมาได้นั้นหอมหวานเกินไป ต่อให้การเจรจาต่อรองจะเป็นไปได้ยาก พวกเขาก็ไม่อาจตัดใจได้ จนกว่าจะมีข่าวว่าตระกูลเว่ยจับมือตกลงผลประโยชน์กับกลุ่มอำนาจใดไปแล้วนั่นแหละ พวกเขาจึงจะถอยในคนเหล่านั้น บา
“เรื่องที่อาหงสามารถพาทุกคนเข้าไปยังมิติของตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ กล่าวให้ถูกคืออาหงสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองอยู่ในระดับแม่ทัพแล้ว ทว่ามันต้องแลกกับการต้องทำพันธสัญญาเลือดกับทุกคน คล้ายการทำพันธสัญญาทาสที่จะไม่ทรยศหรือหักหลังอาหง”“...”“แต่ทุกคนเป็นครอบครัวของอาหงนะเจ้าคะ อาหงจะทำพันธสัญญาเช่นนั้นกับพวกท่านได้อย่างไร จึงไม่เคยเอ่ยถึงหรือบอกกล่าวความจริงนี้ให้ฟัง ด้วยเหตุนั้นอาหงจึงเริ่มศึกษามิติของตนเองมาเรื่อย ๆ ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะพาทุกคนเข้าไปในมิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญากดขี่เช่นนั้น และอาหงก็ค้นพบ”“...”“นั่นก็คือต้องเพิ่มความเเข็งแกร่งให้ตนเองมาก ๆ อย่างน้อยต้องมีพลังระดับจักรพรรดิเป็นอย่างต่ำ ถึงจะสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญาดังกล่าว เพียงแต่ว่า...” เด็กหญิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยที่จะเอ่ยส่วนที่เหลือออกไป“เด็กดี ไม่ต้องกังวล เอ่ยออกมาเถิด เป็นเช่นไรเดี๋ยวพวกแม่ตัดสินใจกันเอง เจ้าไม่ต้องคิดมาก” หลิวลี่หงปลอบบุตรสาว ไม่อยากให้นางกังวลเกินไปนัก อายุเพียงเท่านี้ก็คิดทำหลายอย่างเพื่อครอบครัวมากเกินไปแล้ว“เฮ้อ มิติของอาหงมันพิเศษเจ