ในหนึ่งวันของม่านทิวาหมดไปกับงานจนไม่มีเวลาหันมาสนใจเรื่องราวของวรรณากับรวิดาเลย เธอรู้เพียงแค่เรื่องเดียวคือหนี้สินที่น้าวรรณาภรรยาใหม่ของบิดาไปก่อเอาไว้หลังจากที่ท่านเสียไป นางติดเงินพนัน แต่ก็ไม่รู้ไปหยิบยืมเอามาจากใครบ้าง เท่าที่ได้ยินกับหูก็มีเสี่ยอู๋อะไรนั่นแหละคนหนึ่ง คนที่ส่งลูกน้องสองคนมาดักทวงหนี้ห้าหมื่นบาทกับเธอนั่น
แล้วถ้าคนของเสี่ยอู๋ย้อนกลับมาทวงหนี้ที่เธออีกล่ะ เธอจะเอาเงินที่ไหนมาคืนให้พวกมันตั้งห้าหมื่น!
พอสองแม่ลูกออกจากบ้านไปแล้ว คนตัวเล็กก็ออกจากบ้านไปจ่ายตลาด เกือบสองชั่วโมงที่หญิงสาวอยู่นอกบ้านเพราะจับจ่ายซื้อของใช้เข้าบ้านยังไม่ครบ ระหว่างที่เลือกซื้อของอยู่นั้นเธอมีลางสังหรณ์แปลก ๆ แวบเข้ามาในใจเหมือนกับว่าที่บ้านกำลังมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น หญิงสาวจึงตัดสินใจกลับจากตลาดทั้ง ๆ ที่ยังซื้อของไม่ครบ
ม่านทิวาแทบจะเป็นลมเมื่อเดินเข้ามาถึงทางเข้าหน้าบ้าน เพราะประตูบ้านที่ล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนาถูกงัดออก อีกทั้งยังได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากด้านใน แต่ผู้หญิงตัวคนเดียวจะเข้าไปในบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าข้างในนั้นเป็นใครมีอาวุธปืนหรือไม่ได้หรือ เธอจึงมองหาสิ่งของเอาไว้ป้องกันตัวเองจากอันตราย พลันดวงตาสวยหวานหันไปเห็นไม้หน้าสามที่วางอยู่ไม่ไกล เธอเดินเข้าไปคว้ามันขึ้นมาถือก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านอย่างระแวงระวัง
“หรือว่ามันจะหนีไปแล้ววะ” เสียงเหี้ยมโหดของใครบางคนดังออกมา
“กูว่าเป็นไปได้”
“แล้วจะกลับไปบอกเสี่ยยังไงดีวะ”
ทันทีที่บทสนทนาสิ้นสุดลง ชายชุดดำสามคนหันมองมายังหญิงสาวที่ถือไม้หน้าสามไว้ในมือทันที เจ้าของบ้านตัวน้อย ๆ หน้าถอดสีเตรียมตัวที่จะวิ่งหนีเอาตัวรอดเพราะรู้ว่าสู้ไม่ได้ ชายสองคนนั้นวิ่งตามมาจับตัวเธอทันที
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย…” หญิงสาวร้องตะโกนขอความช่วยเหลือไม่ขาดปาก ครั้นจะใช้ไม้หน้าสามฟาดมันก็ดันถูกแย้งไปเสียก่อน
“กูว่าเอาอีนี่แหละไปให้เสี่ย ยังไงมันก็เป็นลูกสาวอีคุณนาย…ใช้หนี้แทนกันได้อยู่แล้ว”
“ปล่อยนะ ฉันไม่ใช่ลูกสาวคุณนายอะไรของแกทั้งนั้น”
ร่างเล็กพยายามดิ้นรนขัดขืนไม่ให้พวกชายโฉดพาตัวเธอไป แต่มีหรือที่จะดิ้นรนให้หลุดออกมาจากคนที่มากด้วยกำลังได้ ม่านทิวาร้องเท่าไรก็ไม่มีคนมาช่วย เนื่องด้วยวันนี้คนแถวบ้านไปทำงานกันหมดไม่ใช่วันหยุด
“หุบปากแล้วไปขึ้นรถดี ๆ ” ชายคนหนึ่งพูดข่มขู่เสียงเหี้ยม
“ไม่! ปล่อยฉันนะ”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เสียงตะโกนห้ามของผู้มาใหม่ทำให้ทั้งสามที่ยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่หันมามองเป็นตาเดียว ม่านทิวาใช้ทีเผลอกระทุ้งศอกเข้าที่ท้องของพวกมันแล้ววิ่งไปหาคุณนายสรวงสุดาทันที
“มึงเป็นใครเกี่ยวอะไรด้วย”
“แล้วพวกแกเป็นใคร มาทำอะไรกับคนของฉัน” นางออกโรงปกป้องหญิงสาวทันที ก่อนจะดึงคนตัวเล็กที่ยืนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวมาอยู่ข้างหลัง ข้าง ๆ นางมีคนขับรถคนเดิมยืนขนาบคอยดูแลความปลอดภัยอยู่ไม่ห่าง
“ก็คนของมึงติดหนี้เสี่ยอู๋แล้วไม่มีเงินจ่าย มันก็ต้องจ่ายเป็นอย่างอื่นแทนสิวะ”
คุณนายสรวงสุดาหันมามองหน้าม่านทิวา หญิงสาวส่ายหน้าว่าไม่จริง เธอไม่ได้ติดหนี้พวกมัน
“อย่ามาส่ายหน้า แม่แกติดหนี้เสี่ยอู๋ห้าหมื่น แกต้องเอาเงินมาใช้หนี้แทนแม่แก” ลูกน้องเสี่ยอู๋พูดแทรกขึ้นมากลัวเจ้านายไม่ได้เงินคืน
“ทั้งหมดเท่าไรฉันจะจ่ายให้เอง” บอกกับลูกน้องของเสี่ยอู๋ก่อนจะหันมาพูดปลอบหญิงสาว “ไม่ต้องกลัวลูก เดี๋ยวป้าจัดการให้เอง”
“กูจะเชื่อได้ไงว่ามึงพูดจริง”
“ฉัน สรวงสุดา อนันต์พิทากานต์ ฝากไปบอกเจ้านายของพวกแกด้วย พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปเคลียร์หนี้ทั้งหมดแทนหนูม่าน อย่าได้มายุ่งกับคนของฉันอีก ไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน” นางเตือนลูกน้องของเสี่ยอู๋ด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
ลับหลังที่รถกระบะสี่ประตูคันสีดำแล่นออกไป คุณนายสรวงสุดาหันมากอดปลอบขวัญม่านทิวาผู้เคราะห์ร้ายด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะพาหญิงสาวเข้าไปพักในบ้านที่ถูกรื้อค้นจนข้าวของกระจัดกระจายไปทั่ว
“หนูขอบคุณคุณป้ามาก ๆ นะคะที่เข้ามาช่วยเหลือ ถ้าไม่ได้คุณป้าหนูคงจะ…”
คนที่ตกอยู่ในอาการหวาดกลัวกล่าวขอบคุณไม่ทันจบประโยคก็ต้องเงียบไปเมื่อคุณนายสรวงสุดาพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่ต้องขอบคุณอะไรทั้งนั้น ป้าเต็มใจช่วยหนู...รวมทั้งเรื่องหนี้สินทั้งหมดด้วย”
“แต่ว่ามันเยอะมากเลยนะคะ” ม่านทิวาค้านด้วยความเกรงใจหญิงสูงวัยผู้มีจิตใจดี
“ไม่ต้องคิดมากนะลูกเดี๋ยวป้าจัดการให้...หนูทำใจให้สบายดีกว่า” นางยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเปลี่ยนบทสนทนาไปเป็นเรื่องอื่น “มาหนูม่าน ป้าช่วยเก็บของดีกว่า มันรื้อค้นจนกระจัดกระจายแบบนี้หนูเก็บคนเดียวไม่ไหวแน่”
ม่านทิวามองคุณนายสรวงสุดาด้วยความซาบซึ้งใจ หญิงสาวขอร้องให้นางนั่งรอเฉย ๆ เธอจะจัดการทำความสะอาดบ้านที่โดนรื้อค้นจนกระจัดกระจายนี้เอง แต่นางไม่ยอม...ยืนยันที่จะช่วยหญิงสาวทำความสะอาดให้ได้ เธอห้ามอย่างไรก็ไม่ฟังจึงปล่อยให้นางช่วยทำ แต่ต้องไม่หนักจนเกินไป คุณนายสรวงสุดาช่วยกวาดทางด้านล่าง ส่วนเจ้าของบ้านขึ้นไปสำรวจทางด้านบนว่ามีอะไรสูญหายไปหรือไม่
เธอพบว่ามีบางอย่างผิดปกติไป หญิงสาวทำใจอยู่พักใหญ่ถึงตัดสินใจเดินลงจากชั้นสองด้วยใบหน้าฝืนยิ้มให้กับคุณนายสรวงสุดา
นางรีบตรงเข้ามาหาหญิงสาว จากนั้นก็พากันไปสะสางเรื่องหนี้สินที่แม่เลี้ยงของม่านทิวาได้สร้างเอาไว้ในจำนวนห้าหมื่นบาทตามที่มันบอก เพื่อไม่ให้มันมาวุ่นวายทำร้ายม่านทิวาอีก แต่พอบวกดอกเบี้ยเข้าไปกลับกลายเป็นหลายแสนทั้งที่เวลาก็เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่วันเอง
“หนูขอบคุณคุณป้ามาก ๆ เลยนะคะที่ช่วยเหลือ ถ้าหากมีอะไรที่หนูพอจะช่วยได้คุณป้าบอกมาเลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ หนูยินดีที่จะช่วยเหลือคุณป้าทุกอย่าง”
คุณนายสรวงสุดาส่งยิ้มเป็นคำตอบพร้อมกับลูบเรือนผมนุ่มสลวยของม่านทิวาเบา ๆ มองหน้าตาสะสวยของหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง
“ถ้าหนูอยากตอบแทนป้า หนูช่วยป้าสักเรื่องได้ไหม?”
นับจากวันที่รณพีร์กลับจากต่างประเทศโดยไม่บอกคนในครอบครัวให้รับรู้ล่วงหน้าแม้แต่คนเดียว บ่อยครั้งที่ชายหนุ่มมักจะได้ยินคำถามจากบิดาและมารดาอยู่เสมอว่าเมื่อไรเขาจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเหมือนพี่ชายคนโตเสียที เพราะตอนนี้รณวีร์มีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ แม่ ลูกไปแล้ว นั่นคงเป็นเพราะว่าเขาถูกอดีตคนรักทำร้ายจึงไม่ยอมเปิดใจรับใครเข้ามาในชีวิตอีกตลอดเวลาที่ผ่านมามารดามักจะต่อว่าเขาที่ชอบควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ถ้าหากนางเห็นหรือได้ยินคนอื่นพูดเรื่องที่เขาควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าอีกละก็ นางจะหาผู้หญิงที่เหมาะสมมาแต่งงานกับเขาให้รู้แล้วรู้รอดแต่สมัยนี้มันหมดยุคจับคลุมถุงชนไปแล้ว ปีนี้ก็ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเข้าไปแล้วมารดายังคิดจะทำอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้อยู่ได้“เฮ้อ!”เสียงถอนหายใจหนักหน่วงของรณพีร์ดังขึ้น เมื่อเห็นว่ามารดากำลังเดินเข้ามาภายในบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางดูเบิกบานราวกับว่ามีเรื่องดี ๆ ทำให้เป็นสุขใจ แต่ถ้าหากเป็นเรื่องดี ๆ ของมารดาก็โปรดจงรู้เอาไว้ว่ามันต้องเป็นเรื่องหายนะสำหรับเขาแน่นอน“อะไรกันตาสอง เห็นหน้าแม่แล้วทำไมต้องถอนหายใจแรง ๆ แบบนั้นด้วย” นางว่าด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์
เวลาบ่ายคล้อยรณพีร์กลับลงมาอีกครั้งพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบย่อม เดินตรงไปยังรถยนต์ส่วนตัวโดยไม่สนใจคนในบ้านแม้แต่น้อย แต่ยังไม่ทันก้าวข้ามธรณีประตูก็ต้องชะงัก เมื่อบิดาที่กำลังนั่งดูข่าวอยู่ในห้องนั่งเล่นส่งเสียงเรียกรั้งไว้ ชายหนุ่มจึงต้องหยุดแล้วเดินกลับมาหาบิดา“ครับพ่อ”“จะไปไหน?” คนเป็นพ่อเอ่ยถามพลางลดสายตามองดูกระเป๋าเดินทางที่อยู่ในมือบุตรชายคนเล็กด้วยความสงสัย“ไปรีสอร์ตของไอ้หนึ่งที่กระบี่ครับคุณพ่อ” ร่างสูงตอบไปตามความจริงดังที่ตั้งใจจะไป เหตุผลที่จะไปก็เพื่อหลบหลีกการไปดูตัวตามที่มารดาต้องการ“ผมไปนะครับ” สายตาคมกริบของรณพีร์มองผ่านไปยังด้านหลังของบิดา เขาเห็นมารดาเดินออกมาจากในครัวจึงรีบขอตัวออกไปทันที“เดี๋ยวเจ้าสอง ก่อนไปเอาซองเอกสารนี่ติดมือไปด้วย แม่แกเตรียมเอาไว้ให้น่ะ” พูดจบก็ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้บุตรชายคนเล็ก“อะไรครับพ่อ” ชายหนุ่มรับซองเอกสารจากบิดามาพลิกดูกลับไปกลับมาก่อนเอ่ยถามอย่างงุนงงสงสัย“เอาไปเถอะน่า เปิดดูก็รู้เอง” คุณอนันต์บอกบุตรชายเพียงอ้อม ๆ กลัวว่ารู้ความจริงแล้วจะไม่ยอมเอาไปด้วย“ถ้างั้นผมไปนะครับ” เอ่ยลาแล้วรีบออกจากบ้านไปด้วยความรวดเร็ว ไม่สนใจเ
สายตาคมกริบปะทะเข้ากับร่างเล็กบอบบางในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้น รวบผมไว้กลางศีรษะที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการจัดเตรียมงานบางอย่าง มือเล็กเรียวกำลังจัดของ ริมฝีปากบางกระจับพลางขยับโต้ตอบกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน พลันสายตาของเขาสะดุดเข้ากับรอยยิ้มหวาน ท่าทางน่ารักสดใส แต่เหตุใดดวงตาสวยหวานคู่นั้นถึงแฝงไปด้วยความโศกเศร้า ราวกับว่าเธอกำลังมีเรื่องทุกข์ใจเหลือแสนที่ไม่สามารถบอกกับใครได้ชายหนุ่มสะบัดศีรษะแรง ๆ ขับไล่เรื่องไร้สาระของคนที่ไม่รู้จักออกจากสมองให้หมด ผละออกมาจากระเบียงเข้าไปจัดการอาบน้ำอาบท่า ออกมาสั่งอาหารเช้ารับประทานระหว่างรอลูกน้องคนสนิทเอางานลงมาให้ที่กระบี่ ถึงแม้ว่าจะมาพักผ่อน แต่คนอย่างรณพีร์ก็ขาดงานไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว เพราะเขาไม่ชอบเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงานจนทำให้เกิดความเสียหายกับบริษัทหลายนาทีต่อมาเสียงของเหล่าสาว ๆ ยังคงวุ่นวายและดังไม่หยุด ในบางครั้งก็ออกความเห็น บางครั้งก็ทะเลาะกันเป็นครั้งคราวไป ร่างสูงของรณพีร์เดินออกมายังระเบียงห้องพักอีกครั้งพร้อมกับถ้วยกาแฟหอมกรุ่นรสชาติโปรดปราน จิบไปพลางชื่นชมบรรยากาศท้องทะเล สายลมและแสงแดดตรงหน้าไปเรื่อย ๆ บางครั้ง
ตอนนี้วรรณาและรวิดาขาดการติดต่อไปเลย นับตั้งแต่พากันออกจากบ้านไปคราวก่อน เธอเองก็ไม่รู้ว่าสองคนนั้นพากันไปอยู่ที่ไหนถึงติดต่อไม่ได้ แต่ก็คงใช้ชีวิตกินหรูอยู่สบายตามประสาคนหัวสูง อยากได้อยากมีเกินฐานะของตนจนใช้ชีวิตธรรมดาสามัญอย่างคนอื่นเขาไม่เป็น การที่ม่านทิวาต้องคอยหาเงินทำงานหนักเพื่อเอามาจุนเจือครอบครัวไม่ขาด ก็เพราะว่าสองคนแม่ลูกไม่ยอมทำมาหากินช่วยเธอเลย วัน ๆ เอาแต่เข้าบ่อนเล่นการพนัน กู้หนี้ยืมสินเพื่อที่จะเอาเงินมาต่อทุนเดิมพันในการเล่นครั้งต่อไปส่วนรวิดาลูกสาวของนางวรรณานั้นชอบเที่ยวกลางคืนเป็นชีวิตจิตใจและไม่ค่อยกลับบ้านอยู่บ่อยครั้ง และถ้าหากว่าเธอจำไม่ผิดละก็...เจ้าหล่อนเลิกรากับแฟนหนุ่มที่เคยคบหาดูใจกันตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศหลังจากกลับประเทศไทยเพราะต้องห่างกัน แล้วหันมาคบกับคนใหม่ที่คอยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายซื้อของแบรนด์เนมราคาแพงให้ใช้อยู่เสมอ แต่เธอเองก็ไม่เคยรู้จักหรือแม้แต่จะเคยเห็นหน้าค่าตาผู้ชายทั้งสองคนมาก่อนว่าเป็นใครมาจากไหน เพราะทุกวันของเธอนั้นทำแต่งานตั้งแต่เช้าจรดค่ำไม่มีเวลามาสนใจคนรอบข้าง ทว่าสิ่งที่เธอรู้คร่าว ๆ ก็มาจากปากของแม่เลี้ยงและลูกสาวของนางน
ร่างสูงโปร่งของรณพีร์ออกมายืนยืดเส้นยืดสายให้คลายความเมื่อยขบจากการนั่งทำงานอยู่ในห้องเป็นเวลานาน ชายหนุ่มเดินมาหยุดที่บริเวณริมระเบียงห้องนอนใกล้ทะเล สายตาคู่คมทอดมองไปยังท้องทะเลสีครามยาวสุดลูกหูลูกตาพร้อมกับฟังเสียงคลื่นลมซัดสาดเข้ากับชายหาดเมื่อฟังเสียงคลื่นลมจากท้องทะเลจนรู้สึกผ่อนคลาย ชายหนุ่มเบนสายตาจากท้องทะเลไปยังลานจัดกิจกรรมยามค่ำคืนที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสวยงาม เสียงเพลงดังต่อเนื่องมาร่วมชั่วโมงเห็นจะได้ มันไม่ได้ทำให้เขานั้นรู้สึกความรำคาญแม้แต่น้อย กลับกันเขารู้สึกสนุกสนานเมื่อเห็นผู้คนกำลังปาร์ตีกันอย่างคึกคัก ท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนในงานนับสิบคนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวที่เขาได้ช่วยเหลือเอาไว้เมื่อช่วงเย็นจากการโดนโจรวิ่งราวกระเป๋า รอยยิ้มของเธอนั้นไม่เหมือนคนที่พึ่งผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มาแม้แต่น้อย กิริยาท่าทางของหญิงสาวที่เขาไม่รู้แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามของเธอตกอยู่ในสายตาคู่คมของรณพีร์ครู่หนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินกลับเข้าไปภายในห้องและออกมาอีกครั้งพร้อมกับแล็ปท็อป โทรศัพท์มือถือ เตรียมที่จะนั่งทำงานอีกครั้งพร้อมกับดูผู้คนที่กำลังสนุกกับงานปาร์ตีไปด้วยใ
เธอพาผู้ชายคนนั้นเดินผ่านบ้านพักของเขาเพื่อไปยังบ้านพักถัดไปอีกสองหลัง รณพีร์เดินออกมาจากที่พักตรงไปยังทางเดินคอนกรีตเพื่อดูว่าเธอจะเดินกลับไปยังที่พักของตัวเองหรือไม่ เท่าที่เขามองดูเป็นระยะ ๆ เจ้าของร่างเล็กนั้นดื่มไปหลายแก้วซึ่งเป็นปริมาณที่มาก ใบหน้าสวยหวานจึงแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ และถ้าเขาจำไม่ผิด...ห้องของเธออยู่แถวๆ บริเวณที่จัดงานนี่แหละแต่จนแล้วจนลอดเธอก็ไม่ออกมาจากบ้านพักของผู้ชายคนนั้น ทำให้เขาคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากคิดว่าเธอเข้าไปนอนค้างกับผู้ชายคนนั้น“หึ! ผู้หญิงก็เหมือนกันหมด” ชายหนุ่มถึงกับส่ายหน้า สบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเดินกลับเข้าที่พักด้วยอาการหัวเสียไม่น้อยช่วงเวลาราว ๆ แปดโมงเช้าในวันถัดมา เป็นเวลาที่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวไปเก็บของเคลียร์สถานที่จัดงานเมื่อคืนให้เรียบร้อยก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพในวันพรุ่งนี้ แต่เพื่อนของเธอนั้นยังไม่มีใครตื่นขึ้นมาสักคน เพราะแต่ละคนดื่มกันหนักเอามาก ๆ ขนาดเธอดื่มน้อยกว่านิดหน่อยยังมึนและปวดหัวเอาเรื่องอยู่เหมือนกันใบหน้าสวยหวานที่ยังตื่นไม่เต็มที่สะบัดไปมาให้คลายจากความมึนงง ก่อนลุกไปจัดการอาบน้ำและลง
"ขอโทษนะคะคุณ"พอเสียงหวานของม่านทิวาเอ่ยขึ้น คนที่ยืนเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลกว้างไกลสุดสายตาก็หลุดออกจากภวังค์ หันมามองเธอด้วยสายตาเรียบเฉยยากที่จะคาดเดาว่าเขารู้สึกเช่นไร"มีอะไร!" โทนเสียงราบเรียบเอ่ยถามทำให้ม่านทิวาทำตัวไม่ถูก เขาทำเหมือนไม่อยากพูดกับเธอ"เอ่อ…คือฉันจะมาขอบคุณคุณอีกครั้งน่ะค่ะ...ที่ช่วยฉันเอาไว้เมื่อวันก่อน" เธอบอกพลางส่งยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ"อือ...แค่นี้ใช่ไหม" น้ำเสียงเย็นชากับใบหน้าเรียบเฉยของเขาทำเอาหญิงสาวหน้าเหวอทำตัวไม่ถูกมากกว่าเดิม"เอ่อ...ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ว่าแต่คุณชื่อ..."ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะเอ่ยถามชื่อผู้มีพระคุณเลย ก็ถูกเสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อยดังขึ้นแทรกก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเขา"อาสองขา คุณแม่ให้มาตามไปทานข้าวค่า""ได้ครับ งั้นไปทานข้าวกันเนอะ"ชายหนุ่มย่อตัวลงไปหาร่างน้อยป้อม ๆ แล้วลูบศีรษะเบา ๆ ก่อนเดินจูงมือกันออกไปโดยไม่สนหญิงสาวหน้าหวานนัยน์ตาเศร้าแม้แต่น้อย ราวกับว่าเธอนั้นเป็นอากาศธาตุม่านทิวาเดินกลับมาหาเพื่อนสาวสองคนอย่างงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น"เป็นอะไรยะ โดนผู้เทมาเหรอ?" วีรพลแซวเพื่อนที่เดินหน้าเหี่ยวแห้งกลับมาหา"ไม่รู้สิ ว
“เฮ้อ!”เสียงถอนหายใจอย่างหนักอกหนักใจทำให้คุณอนันต์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้าง ๆ หันมาถามภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากด้วยความเป็นห่วง เพราะท่านได้ยินเสียงถอนหายใจเช่นนี้ราว ๆ สามครั้งเห็นจะได้"เป็นอะไรไปคุณดา ผมได้ยินคุณนั่งถอนหายใจแบบนี้มานานแล้วนะ" คนเป็นสามีถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง"ก็ตาสองนี่สิ เมื่อไรจะเลิกนิสัยแบบนี้สักที ฉันละปวดหัว" นางว่าพร้อมทั้งเอานิ้วมือคลึงขมับของตนเองเบา ๆ"เรื่องที่ลูกไม่ยอมแต่งงาน แถมเปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าใช่ไหม" สามีตอบอย่างรู้ทัน"ก็ใช่น่ะสิคะคุณ อายุก็สามสิบกว่าแล้วยังทำตัวเสเพลไม่เลิก ดูควงผู้หญิงแต่ละคนสิ โอ๊ย! ฉันรับไม่ได้" คุณนายสรวงสุดาส่ายศีรษะเอือมระอาเมื่อนึกถึงคู่ควงของบุตรชายแต่ละคน"อ้าวคุณ! ลูกมันโตแล้วก็แบบนี้แหละ ถ้าคุณไม่อยากให้มันมั่วไม่เลือกก็จับแต่งงานเสียสิ" คนเป็นสามีเสนอทางแก้ไขให้กับภรรยาหน้าตาย"แต่งงาน...กับผู้หญิงพวกนั้นเนี่ยนะ ไม่มีทาง!" นางหันมาเถียงสามีเสียงแข็งก่อนแววตาจะเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์หรี่แคบลง"จริงสิ...ฉันลืมคนนี้ไปได้ยังไง" คุณนายสรวงสุดาพูดขึ้นพร้อมกับแววตาโตเป็นประกายวาววาม เมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนี้มาได้อย่างทันท่วงที
"เปล่าสักหน่อย โจ๊กใครก็กินกับไข่ลวกทั้งนั้นแหละค่ะ" หญิงสาวรีบตอบกลับเสียงนุ่ม ก่อนเอ่ยเร่งเร้า "รีบกินเร็วเข้า ม่านจะได้ไปหาเพื่อนเสียที""ขับรถไปเองหรือให้ฉันไปส่ง""ไปเองค่ะ ม่านว่าจะนั่งแท็กซี่ไป" ตอบพลางตักอาหารเช้าเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย"ทำไมไม่ขับรถไปเอง นั่งแท็กซี่ไปทำไม" ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาค้านทันควัน “ก็ม่านเกรงใจคุณสองนั่นแหละค่ะ มันรถของคุณนี่คะ" หญิงสาวตอบเสียงแผ่วเบาเพราะเกรงใจสามี"ฉันซื้อให้เธอแล้ว มันเป็นของเธอ เอาไปใช้ซะ...ถ้าไม่เอาไปใช้โดนดีแน่" สั่งเสียงเข้มแก้มบังคับทำให้ม่านทิวายอมจำนน เพราะรู้ดีว่าเขาต้องทำโทษจนเธอไม่ได้นอนเป็นแน่เธอพยักหน้ารับโดยไม่โต้เถียงใด ๆ ทำเอารณพีร์พอใจไม่น้อย ไม่นานทั้งสองก็รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วพากันแยกย้ายไปคนละทาง คนเป็นสามีออกไปทำงานเช่นทุกวัน ส่วนตัวของเธอนั้นออกไปตามนัดของเพื่อนที่ได้ตกลงกันไว้ภายในร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งคือสถานที่นัดหมายของม่านทิวากับปอแก้ว…ที่รบเร้าให้เธอมาหาให้ได้ สายตาหวานสอดส่องเข้าไปข้างในร้านพบว่าเพื่อนเธอนั้นมารออยู่ก่อนแล้ว เธอจึงรีบจอดรถแล้วลงไปหาเพื่อน
เสียงนาฬิกาปลุกที่นานครั้งจะตั้งดังจากโทรศัพท์มือถือ ทำให้ม่านทิวาที่กำลังหลับสบายต้องรีบลืมตาตื่นจากความฝันอันแสนหวานที่ไม่เคยมีมาก่อน ร่างเล็กรีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วจัดการปิดเสียงรบกวนทันทีเพราะกลัวว่ารณพีร์ที่กำลังหลับสบายอยู่นั้นจะตื่นก่อนเวลามือเรียวบางพยายามเอาท่อนแขนแกร่งกำยำที่พาดเข้ากับเอวคอดของตนออกอย่างเบามือที่สุดแล้วหันไปคว้าเสื้อคลุมสีขาวขึ้นมาสวมทับ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายของตน หญิงสาวจำได้ว่าวันนี้มีนัดกับปอแก้วเพื่อที่จะคุยธุระเรื่องงาน แต่ถ้าหากไม่ไปเพื่อนสนิทคงต้องงอนเธอเป็นแน่เกือบสามสิบนาทีกับการอาบน้ำสระผมแล้วออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูสีขาวที่พันรอบกายบอบบาง ระหว่างที่หญิงสาวกำลังเดินเช็ดผมอยู่นั้น เธอแอบมองร่างสูงของสามีหลับสบายบนเตียงนุ่มโดยไม่คิดที่จะปลุกและเผลอยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดู แต่แล้วเสียงข้อความจากแอปพลิเคชันไลน์ก็ดังเตือนทำให้เท้าเรียวหยุดชะงักแล้วเดินไปยังโต๊ะหัวเตียงเธอหย่อนสะโพกมนนั่งลงกับขอบเตียงเบา ๆ ไม่ให้สะเทือนไปถึงร่างสูงที่กำลังนอนอยู่ ร่างเล็กที่พันกายด้วยผ้าขนหนูสีขาวหยุดมือที่
หลังจากที่ร่างสูงของเจ้าของห้องออกไป หนูน้อยพาลิกาเปิดกระเป๋าใบน้อยสีชมพูน่ารักที่รณวีร์ซื้อให้ หยิบสมุดภาพระบายสีพร้อมทั้งกล่องสีขึ้นมาระบายเล่น มิหนำซ้ำหนูน้อยยังเรียกม่านทิวามาช่วยกันระบายสีอีกแรง"อาม่านขา...มาระบายสีกันค่ะ" ว่าจบก็ฉีกยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันซี่น้อยๆ เรียงเป็นระเบียบคนที่ถูกเรียกยิ้มให้กับความน่าเอ็นดูของหลานสาวของสามี ก่อนลุกจากที่นั่งของตนมาหาหนูน้อยที่นั่งกับพื้นพรหมสีเทาฝั่งตรงข้าม"ไหนคะ มาให้อาม่านดูหน่อยสิว่าระบายสีอะไร" หญิงสาวถามหลานตัวน้อยเสียงอ่อนเสียงหวาน"คุณครูบอกว่าการบ้านคะ" ตัวเล็กเงยหน้ามองคุณอาสะใภ้คนสวย"ถ้าการบ้านน้องพายต้องทำเองนะคะ ไม่ให้คนอื่นช่วยนะคะ ต้องทำเองจะได้เก่งขึ้นไง" บอกเสียงอ่อนเสียงหวานพลางลูบศีรษะทุยเบา ๆ ก่อนถามประโยคต่อมา "น้องพายอยากเป็นคนเก่งไหมคะ""น้องพายอยากเป็นคนเก่งค่า""ถ้าอยากเป็นคนเก่งก็ต้องทำเอง ถ้าทำไม่ได้ให้ถามอาม่านนะคะ"หนูน้อยพยักหน้ารับและลงมือทำแบบฝึกหัดที่อยู่ตรงหน้า อันไหนหนูน้อยทำไม่ได้ก็หันไปถามคุณอาสะใภ้คนสวยจนกระทั่งทำเสร็จด้วยตัวเองในเวลาไม่นาน ร่างน
“แต่ท่านรองเคยสั่งเอาไว้ อย่าให้คู่ควงพวกนี้เข้ามาก่อกวนในที่ทำงานนี่คะ”"ผู้หญิงคนนี้คือเมียฉัน"สิ้นเสียงเข้มทรงอำนาจทำเอาหลายคนตกใจ ไม่คิดว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นภรรยาของรองประธานบริษัท แต่คนที่ตกใจยิ่งกว่าก็คือผู้ช่วยเลขานุการปากแดงที่หน้าซีดกับความผิดครั้งใหญ่“นะ...นี่ภรรยาของท่านรองจริง ๆ เหรอคะ” สุ้มเสียงของผู้ช่วยเลขานุการอึกอักคล้ายมีอะไรติดคอ“อือ”คำตอบรับเพียงสั้น ๆ ทำเอาเสียวสันหลังไม่น้อย จึงต้องรีบขอโทษขอโพยผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเจ้านายทันที“เลอเน่กราบขอโทษนะคะที่พูดจาไม่ดีกับคุณ”“ไม่เป็นไรค่ะ ก็คุณไม่รู้นี่คะ”ม่านทิวาไม่ได้ถือสาอะไรกับคนที่ไม่รู้ แต่รณพีร์หันไปแนะนำม่านทิวาให้กับทุกคนรู้จักและสั่งการกับพนักงานทุกคน รวมถึงผู้ช่วยเลขานุการที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานที่ประจำการอยู่หน้าห้องด้วย“ทุกคน...ฉันจะแนะนำให้รู้จัก ผู้หญิงคนนี้ชื่อม่านทิวาเป็นภรรยาของฉัน กับน้องพายลูกสาวของคุณรณวีร์พี่ชายของฉัน ต่อไปนี้ถ้าคุณม่านมาให้เข้าไปรอในห้องได้ไม่ต้องรอให้ฉันอนุญาต”พนักงานต่างสว
"น้องพายดูทีวีนานเกินไปแล้วนะคะ ปิดก่อนเนอะเดี๋ยวค่อยดูใหม่" ม่านทิวาเกลี้ยกล่อมด้วยความเอ็นดูระคนหวังดี"ได้ค่า" หนูน้อยเอ่ยตอบอย่างว่าง่ายก่อนหันไปหาคุณปู่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ"คุณปู่ขา น้องพายอยากไปหาอาสอง น้องพายคิดถึงอาสอง" หลานสาวตัวน้อยหันไปอ้อนคุณปู่เสียงหวานใส"อาสองทำงาน ไปกวนไม่ได้นะลูก"คนเป็นปู่ให้เหตุผล แต่คุณย่านั้นเดินกลับมาพร้อมกล่องอาหารที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้"งั้นก็ให้หนูม่านพาน้องพายไปสิ จะได้เอาข้าวกล่องไปให้ลูกเราด้วย ตอนนี้ลูกทำงานหนักจนลืมกินข้าวอยู่บ่อย ๆ น้องพายไปหาอาสองกับอาม่านนะคะ" นางบอกสามีก่อนหันไปคุยกับหลานสาวเสียงอ่อนละมุน"เย่ ๆ ไปหาอาสอง" หนูน้อยน่ารักกระโดดโลดเต้นออกมาอย่างดีใจ"หนูม่านเอาข้าวไปให้พี่เขาที่บริษัททีนะลูก" คุณนายสรวงสุดาบอกกับลูกสะใภ้คนสวย"แต่ว่าม่านจะไปรบกวน..." หญิงสาวกำลังเอ่ยค้านแต่ก็ถูกพูดดักเอาไว้เสียก่อน"ไม่มีแต่นะลูก เราเป็นภรรยาต้องดูแลสามีให้ดี เอาข้าวกลางวันไปให้แค่นี้ไม่ถือว่ารบกวนหรอกจ้ะ""ค่ะคุณแม่" เมื่อแม่สามีเห็นว่าดีเธอก็ไม่อาจคัดค้าน"งั้น
ร่างสูงของเจ้าของบริษัทนำเข้ารถบิ๊กไบค์รายใหญ่ ยืนมองวิวทิวทัศน์ของคอนโดมิเนียมราคาถูกที่ทัศนวิสัยไม่ได้ดีมากมายเท่าที่ตนอยู่ มือหนาค่อย ๆ ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเข้มพลางมองคนที่เพิ่งตื่นจากนิทรา พยายามพยุงกายลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งกระชับผ้าห่มสีชมพูอ่อนให้ปิดบังกายเปลือยเปล่าเอาไว้"คุณนที!" เสียงหวานเอ่ยเรียกเสียงแผ่วผ่านริมฝีปาก"ตื่นแล้วเหรอ" ชายหนุ่มหันมาถามเสียงเข้ม“ค่ะ”ร่างสูงของนทีเดินอ้อมไปอีกฝั่งแล้วคว้ากระเป๋าสตางค์ใบหรูขึ้นมา หยิบธนบัตรสีเทาจำนวนหนึ่งโยนลงบนเตียงของหญิงสาว"อะไรคะ" หญิงสาวถามอย่างไม่เข้าใจ"เงินของเธอ" นทีพูดเสียงเรียบแล้วเอ่ยประโยคต่อมา "ค่าตัวเธอที่นอนกับฉันเมื่อคืนไงธาริกา""บอกแล้วไงคะว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงขายตัว" ธาริกาตวาดว่าเสียงสั่นอย่างไม่พอใจ"หึ! เธอก็ไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงพวกนั้นหรอก" พูดอย่างเหยียดหยามผู้หญิงตรงหน้าธาริกาพอได้ฟังคำพูดของเขาซึ่งเป็นเจ้านายของเธอ มือเรียวก็กำเข้ากับผ้าห่มแน่นเพื่อระบายความเจ็บปวดที่เธอได้รับตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา"อ้อ! อย่าแม้แต่จะคิดลาออกล่
q"ค่ะ แต่ว่าม่านอยู่เฉยไม่ได้หรอกค่ะ ม่านจะไปหางานที่ใหม่ทำ...หรือไม่ก็ไปทำงานกับเพื่อนค่ะ" คนที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการทำงานต้องมาอยู่เฉย ๆ ในบ้านหลังใหญ่ แถมจะหยิบจับทำอะไรหน่อยก็ถูกห้ามไปหมดไม่ได้หรอก"หยุดความคิดไว้แค่นั้นเลย อยู่บ้านเลี้ยงหลานเฉย ๆ หรือไม่ก็รอเลี้ยงลูกของเรา"สิ้นเสียงของรณพีร์ทำเอาม่านทิวาสะดุ้งไม่น้อย เมื่อฝ่ามือใหญ่ยกมาวางทาบกับหน้าท้องแบนราบของตน"ว่าแต่มาหรือยังน้า" ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงอ่อนละมุน ทำเอาคนเป็นพี่ชายต้องเอ่ยแซวในความหวานที่ไม่เคยเห็นมาก่อน"โอ๊ย! จะหวานอะไรเกรงใจกันบ้างสิวะ" รณวีร์โวยขึ้น"นั่นสิคะพี่สอง ไม่ได้อยู่กันสองคนนะคะ" มธุรินเอ่ยเสริมหลังสิ้นประโยคของสามี"นั่นสิ ลูกชายแม่เป็นอะไรนะ พักนี้ดูรักหนูม่านแปลก ๆ""แปลกตรงไหนครับ คนเรามันต้องเปลี่ยนแปลงกันได้จริงไหม" รณพีร์เฉไฉตอบมารดาก่อนหันไปถามคนภรรยา ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย"ดีแล้ว เป็นครอบครัวเดียวกันต้องรักกัน อย่าทะเลาะกัน มีอะไรก็ให้คุยกันด้วยเหตุผลอย่าใช้อารมณ์เข้าใจไหม ตาหนึ่งกับหนูมายด์ด้วยนะ""ครับ”
คำตอบสั้น ๆ ทำให้ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ มือหนาเชยคางมนของม่านทิวาให้เงยหน้าขึ้นมามองกัน"ต่อไปนี้เรียกฉันว่าคุณสอง...หรือพี่สองก็ได้ ไอ้สิ่งที่ฉันพูดไปเมื่อคืนก็อย่าไปใส่ใจมัน เข้าใจไหม?"น้ำเสียงของรณพีร์อ่อนลง แต่ทว่ายังคงแฝงความนัยลึกซึ้งชวนค้นหากับสายตาคู่คมแสนเย็นชากำลังคิดอะไรอยู่ ทำเอาม่านทิวาส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจอีกครั้ง"ฉันไม่กล้าเรียกหรอกค่ะ ฉันกลัวคุณจะโกรธแล้วพาลโมโหใส่เหมือนเมื่อคืน" เสียงหวานตอบอย่างแผ่วเบา เธอกลัวมาก ๆ เวลาเขาโกรธแล้วใส่อารมณ์กับเธอ"ถ้าเธอไม่เรียกสิฉันจะโมโห" น้ำเสียงของเขาอ่อนลง แอบแฝงความนัยบางอย่างในคำพูดที่ดูเหมือนไม่ค่อยจะจริงจังนัก"แต่ว่า..." หญิงสาวกำลังจะเอ่ยค้านแต่ก็ถูกชายหนุ่มชิงพูดไปเสียก่อน "ไม่มีแต่ ไหนลองเรียกสิ...จะเรียกคุณสองหรือพี่สองก็ได้""เอ่อ...ค่ะคุณสอง" ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเรียกหรือไม่เรียกดี สุดท้ายก็เอ่ยออกไปทำเอาคนที่รอฟังยกยิ้มมุมปากบาง ๆ ด้วยความพอใจ"เก่งมากเด็กดีของฉัน เรามาเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ฉันสามีภรรยาเหมือนคู่อื่น ๆ กันจะได้ไหม ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเ
คนเป็นน้องไหวไหล่กวน ๆ ก่อนตอบกลับ..."ปกติเขาก็ตื่นสายอยู่แล้ว" รณพีร์รีบโยนความผิดให้ม่านทิวาหน้าซื่อ ๆ"กูว่าไม่นะ เมียกูบอกว่าม่านไม่เคยตื่นสาย แถมตื่นก่อนคนอื่นในบ้านมาเตรียมอาหารเช้าอีกต่างหาก แต่พอมึงกลับมาอยู่บ้านม่านตื่นสายประจำ ไปทำงานก็สายด้วย กูว่าต้นเหตุมันมาจากมึงแน่ ๆ" คนเป็นพี่พูดยืนยันพลางจับสังเกตที่สีหน้าของน้องชาย"ถ้าต้นเหตุมันมาจากกู มันก็ไม่แปลกไหมวะ ในเมื่อเขาเป็นเมียกู ผัวเมียกันจะเอากันเมื่อไรก็ได้ หรือว่ามึงไม่เอาเมียเลย""เออ กูรู้ว่าผัวเมียจะเอากันเมื่อไรก็ได้ แต่มึงเอาถี่ไปไหม ปล่อยให้เมียมึงพักบ้างเดี๋ยวก็โทรมกันพอดี ระวังแม่จะไม่ปลื้มที่ไปทำลูกสะใภ้สุดที่รักเขาไม่สบาย" รณวีร์เตือนน้องชายด้วยความหวังดี"แล้วไง ก็เมียกูไหมล่ะ กูจะถนอมหรือไม่…มันขึ้นอยู่กับกูเว้ย"รณพีร์ตอบแบบเอาแต่ใจสุด ๆ ทำเอาคนเป็นพี่ชายยกยิ้มมุมปากแล้วเดินเข้ามาใกล้น้องชายเพื่อกล่าวล้อ"ใครวะ...ที่บอกว่าจะไม่สนใจคนที่แม่หามาให้ แต่ไหงตอนนี้เรียกเขาว่าเมียเต็มปาก กลืนน้ำลายตัวเองนี่หว่า" เสียงเย้าหยอกของพี่ชายแทงใจดำคนเป็นน้องเข้าอย่างจ