เสียงพิณนั้นยังคงก้องอยู่ในหัว แม้ว่าแสงแดดอ่อนจะส่องลอดม่านหิมะลงมาแทนเงาจันทร์เมื่อคืน แต่ลู่จิ่นซานกลับไม่อาจแยกแยะได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความฝันหรือความจริง
เขาถือบันทึกเก่าเล่มหนึ่งกลับมาที่ห้องของตนในโรงเตี๊ยม หนังสือที่ไม่มีชื่อในสารบบตำราใด หนังสือที่เจ้าของร้านยังกล่าวว่า “ไม่ควรมีผู้ใดเอ่ยถึงอีกต่อไป”
บทเพลงต้องห้ามแห่งหิมะ
นั่นคือชื่อบนหน้าปก ซึ่งหมึกซีดจางลงราวถูกสายลมแห่งกาลเวลาเกาะกัดทีละหยดทีละหยด หากแต่ว่าเพียงแค่แตะปลายนิ้วลงบนปก เสียงพิณในหัวเขาก็กลับมากระเพื่อมทันที
เขานั่งลงข้างหน้าต่าง ห่มผ้าคลุมตัวแน่นหนา ก่อนจะเปิดอ่านหน้าตำราอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษแผ่นแรกปรากฏลายมือหวัดเล็ก ตัวอักษรเขียนด้วยหมึกแดงหม่น ราวกับผสมเลือดเข้าไป
“ผู้ใดได้ยินเพลงนี้ในยามหิมะแรก จงรู้ไว้เถิด ว่าดวงวิญญาณเจ้าเคยข้องแวะกับมันในภพก่อน”
“พิณนี้ มีเจ็ดสาย เจ็ดเสียง เจ็ดชะตา หากใครบรรเลงครบถ้วน หนึ่งชีวิตจะดับ หนึ่งคำสาปจะคลาย”
จิ่นซานขมวดคิ้ว “หนึ่งชีวิตจะดับ...” เขาทวนในใจ
เขาไล่สายตาอ่านต่อ ภายในเป็นเรื่องเล่ารวบรวมจากยุคโบราณ บ้างอ้างว่าเป็นบันทึกจากแม่ทัพคนหนึ่ง บ้างกล่าวว่าเป็นคำบอกเล่าจากพระเถระที่เคยได้ยินเสียงพิณนี้จากยอดเขาหิมะในคืนวิปโยค
“คืนหนึ่ง หิมะแรกตกลงมาท่ามกลางเปลวไฟในเมืองหลวงเก่า นางผู้หนึ่งนั่งดีดพิณใต้ต้นเหมย เพลงนั้นสะกดทุกเสียงสงครามให้หยุดลง แม้เพียงครู่หนึ่งก็ตาม”
“ผู้ใดมองหน้านาง จะลืมชาติตนเอง ผู้ใดฟังเสียงพิณ จะตื่นในอีกภพ หากใครดีดเพลงนั้นจบ จะแลกได้เพียงหนึ่งสิ่ง คือการลืมอีกภพหนึ่งไปตลอดกาล”
นิ้วของจิ่นซานเลื่อนหยุดลงกลางบรรทัดหนึ่ง หัวใจของเขาสะดุดจังหวะคล้ายสายพิณที่หยุดสั่นกระทันหัน
เสียงนั้น...
ผู้ใดฟัง จะตื่นในอีกภพหนึ่ง...
หมายความว่าเขากำลัง “ตื่น” อยู่หรือ?
หากเป็นเช่นนั้น ภพที่แล้วของเขาคือผู้ใด? และหญิงที่ชื่ออวี้หลานเล่า นางเป็นผู้ใดในชาติปางก่อนของเขากันแน่?
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นหน้าห้อง ขัดขวางความคิดของเขาในทันที
“คุณชายลู่” เสียงเจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยขึ้นเบา ๆ “มีคนส่งสิ่งนี้ไว้หน้าห้องของท่าน”
จิ่นซานลุกไปเปิดประตู ก่อนจะเห็นเพียงถุงผ้าเล็ก ๆ สีเทาหม่นวางอยู่หน้าประตู ภายในมีเพียง กลีบดอกเหมย สีขาวจำนวนหนึ่ง และแผ่นกระดาษบาง ๆ พับครึ่ง เขาหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน
“ข้าดีดเพลงให้เจ้าแล้ว อย่าได้ตามหาอีก อย่าเปิดปมที่จะทำให้เจ้าจำข้าได้ หากเจ้ารู้ ข้าจะต้องจากไปตลอดกาล”
ไม่มีลายมือชื่อ ไม่มีชื่อผู้ส่ง แต่เขารู้ดีว่าเป็นใคร
...อวี้หลาน...
“เหตุใดเจ้าจึงกลัวข้าจะจำเจ้าได้?” ลู่จิ่นซานพึมพำ ริมฝีปากเม้มแน่น
“หรือความจริงที่ข้าลืม มันเลวร้ายมากเกินไป?”
เขาหยิบกลีบดอกเหมยในถุงขึ้นมาพินิจ ขาวนวลราวหิมะ แต่หอมอบอวลในแบบที่กลีบดอกสดไม่ควรมีกลิ่นเช่นนี้ กลิ่นที่เจือด้วยเศร้า เจือด้วยคำลา เขาไม่อาจทนเพียงนั่งรออยู่ในโรงเตี๊ยมได้อีกต่อไป
เมื่ออาทิตย์สายเริ่มโรยแรง ลู่จิ่นซานควบม้ากลับขึ้นเขาหมอกอีกครั้ง ที่เดิม ยอดเขาที่หิมะโปรยปรายไม่หยุด และเสียงพิณก้องกังวานในจิต
เส้นทางวันนี้เงียบสงัดยิ่งกว่าวันวาน และเมื่อเขาขึ้นไปถึงจุดเดิม พิณก็หายไปแล้ว
ไม่มีเงา ไม่มีพิณ ไม่มีแม้แต่รอยเท้า มีเพียงต้นเหมยต้นเดิมที่กำลังผลิดอกขาวตัดกับท้องฟ้าสีเงินหม่น และกลีบเหมยบาง ๆ หนึ่งกลีบที่ลอยตกลงใส่บ่าของเขาอย่างแผ่วเบา
“เจ้าจะหนีข้าไปได้นานเพียงใดกัน อวี้หลาน...” เขากระซิบ
“ข้ายิ่งไม่ควรจำ ข้ากลับยิ่งอยากรู้”
ลู่จิ่นซานยืนอยู่ใต้ต้นเหมย รออยู่นานนับกึ่งชั่วยาม แต่สายลมก็ยังเย็นเยียบ เสียงพิณหาไม่ และร่องรอยของนางก็คล้ายถูกกลืนหายไปกับหิมะที่เพิ่งตกใหม่
เขาหลุบตาลง มองกลีบดอกเหมยในมือที่เปียกน้ำหิมะเล็กน้อย นึกถึงข้อความที่ฝากไว้ในถุงผ้าเมื่อเช้า
“อย่าตามหาอีก หากเจ้ารู้ ข้าจะต้องจากไปตลอดกาล”
นางกลัวสิ่งใดกัน?
เหตุใดจึงห้ามเขาจำ?
เขายิ่งไม่เข้าใจ ก็ยิ่งต้องรู้
จิ่นซานถอนใจยาว หันหลังกลับหมายจะลงเขา ทว่าขณะนั้นเอง สายลมพลันเปลี่ยนทิศ สายลมที่พัดมาเย็นจัด และพาเสียงบางอย่างติดมาด้วย
ครืด... ครืด...
เหมือนเสียงลากอะไรบางอย่างบนหิมะ เขาหันขวับไปตามเสียง ในหิมะหนาเบื้องหลังแนวต้นสน มีรอยลากยาวเป็นทาง และเศษผ้าสีหม่นชิ้นหนึ่งติดอยู่กับปลายกิ่งไม้
เขาขยับเข้าไปใกล้ ย่ำหิมะไปตามรอยนั้น และแล้วก็พบ กล่องพิณไม้ดำ กล่องเดียวกับที่เขาเคยเห็นบนภูเขา แต่มิใช่กล่องเดิม กล่องนี้เล็กกว่า และถูกพันไว้ด้วยเชือกสีแดงจางจวนซีด เหนือฝากล่อง เขียนไว้เพียงคำเดียว
“ลืม”
ลู่จิ่นซานยื่นมือไปเปิดกล่องช้า ๆ ภายในมิใช่พิณ หากแต่เป็น “ผ้าคลุมหน้า” ผืนหนึ่งที่พับอย่างประณีต วางอยู่บนผงหิมะแข็งจนเป็นแผ่น
เขาหยิบขึ้นมา ผ้านั้นบางเบา กลิ่นจาง ๆ ของดอกไม้ป่าปะปนกับกลิ่นเครื่องหอมที่คุ้นตา กลิ่นเดียวกับเมื่อค่ำคืนนั้น
เขาจำได้ นางใช้ผ้าแบบนี้คลุมหน้าตนเอง หากทว่าในยามนี้ นางกลับถอดผ้าทิ้งไว้ นี่หมายความว่าอย่างไร?
เขากำลังจะเงยหน้า มองไปตามแนวหิมะเพื่อสืบทางต่อ หากทว่ากลับมีเงาหนึ่งปรากฏขึ้นเสียก่อน
หญิงในชุดขาวยืนอยู่ห่างออกไปเพียงสิบก้าว ผ้าไหมบางเบาคลุมร่างนางไว้ราวหมอก ทว่าไร้ผ้าปิดหน้าและไม่มีใบหน้า ไม่ใช่ไร้หน้าอย่างไร้เค้าโครง หากแต่เป็นเพียงเงา เงาที่เลือนราง มัวหม่นราวกับม่านหมอก เหมือนยังไม่พร้อมให้ใครจดจำ
เขาก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว “ข้าเพียงอยากรู้ว่าเจ้าคือผู้ใด” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
นางยังคงเงียบ “และว่าข้าคือใคร ในเรื่องราวของเจ้า”
“เจ้าคือผู้ที่ฟังข้าเล่นพิณจนตาย”
เสียงของนางดังขึ้นในที่สุด เบา เย็น และราวกับไม่ได้มาจากโลกเดียวกับเขา คำกล่าวนั้นบาดลึกเข้าใจกลางอก ลู่จิ่นซานนิ่งงัน และนางยังคงเอ่ยต่อ
“และยังเป็นผู้ที่ทำให้ข้าต้องดีดมัน จนข้าไม่อาจกลับไปเป็นมนุษย์ได้อีก”
เสียงของนางไร้อารมณ์ แต่ในความราบเรียบนั้นมีความเศร้าแฝงลึก เขาเอ่ยอย่างยากลำบาก
“หากเป็นเช่นนั้น ข้า...ข้าขอโทษ”
“ข้าไม่ได้ต้องการคำขอโทษ” นางส่ายหน้าเบา ๆ
“ข้าต้องการให้เจ้าลืม”
“แต่หากข้าลืม เจ้าจะอยู่เช่นไร?” จิ่นซานถาม ดวงตาเจือแวววูบไหว
“มันไม่เกี่ยวกับเจ้าอีกแล้ว” นางเอ่ยเสียงเย็น “คืนที่เจ้ารอดจากเสียงพิณนั้นไป เจ้าก็พ้นพันธะแล้ว”
“แต่ข้าไม่อยากพ้น!”
เขาเผลอตะโกน เสียงของเขาไหลลอดม่านหิมะ ก้องกังวานไปทั่วหุบเขา หญิงสาวชะงักไปชั่วขณะ เขาเดินเข้าไปใกล้อีกก้าว
“ข้าอยากรู้ อยากจำ และอยากรับผลของมันด้วยตัวเอง”
หญิงสาวไม่ตอบเพียงยืนนิ่ง มือบางของนางยกขึ้นเล็กน้อย คล้ายจะสั่น ก่อนเอ่ยเบา ๆ
“เช่นนั้น ข้าจะรอเจ้าที่สะพานกลางหิมะ” แล้วร่างของนางก็จางหายไปกับหมอกหิมะอีกครั้ง
ลู่จิ่นซานยืนอยู่นิ่ง ๆ กลางพายุสีขาว กล่องพิณยังอยู่ในมือ ผ้าคลุมหน้าปลิวออกจากฝ่ามือเขา ลอยตามลมไปไกลจนมองไม่เห็น แต่ในใจเขา กลับรู้แน่ว่าหนทางข้างหน้าจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
กาลเวลาผันผ่าน โลกหมุนเวียนสู่ยุคใหม่ กลิ่นหอมของดอกเหมยยังไม่จาง แต่ผู้คนมิรู้จักตำนานเดิมอีกต่อไปบนเส้นทางสายหิมะที่ไร้ชื่ออยู่บนแผนที่มีเด็กสาวผู้หนึ่งแบกกล่องพิณเก่าเดินต้านลม นางมิใช่นักเดินทาง มิใช่นักดนตรี แต่เป็นเพียงเด็กสาวจากหมู่บ้านตีนเขาที่ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงหญิงชุดขาวกับชายผู้เงียบงันเขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในหิมะที่ไม่ละลาย และหญิงผู้นั้นดีดเพลงทั้งที่ไม่มีพิณอยู่ในมือนางตื่นทุกเช้าแล้วจดโน้ตเพลงจากในฝันลงบนกระดาษเก่า ใครก็ว่าเป็นความเพ้อฝัน เป็นเด็กสาวเพี้ยน ๆ ที่พูดคนเดียวกับหิมะ แต่ในใจนางรู้ดีว่าเสียงเหล่านั้นไม่ใช่ความฝันธรรมดาในวันหนึ่ง หิมะเริ่มตกช้า ๆ เด็กสาวจึงตัดสินใจ เดินขึ้นเขาตามเสียงในหัวใจ กล่องพิณในมือเป็นกล่องที่เก่าเก็บมาตั้งแต่รุ่นยาย ไม่มีใครรู้ที่มา ไม่มีใครรู้ว่าทำไมในกล่องถึงมีพิณที่ขาดไปหนึ่งสายนางปีนขึ้นเขา ฝ่าหิมะและพายุด้วยแรงใจจากเพลงที่ไม่มีผู้ใดสอน เมื่อถึงยอดเขามีเพียงเงาไม้หนึ่งต้น และร่างเงียบงันของชายชรา เขานั่งหลับตา มือวางบนตัก หิมะเกาะบนไหล่ของเขาแต่ใบหน้ากลับสงบ ราวกับรอฟังบางสิ่ง“ท่านรอฟังข้าใช่หรือไม่” เด็กสาวเอ่ยแผ่วเบาเงียบ..
หากจะย้อนกลับไปยังจุดเริ่มของพันธะกรรมทั้งปวงเราต้องก้าวข้ามกาลเวลา และเดินทางย้อนเข้าสู่ชาติภพแรกในยุคสมัยที่ดินแดนยังไม่มีชื่อ แม่น้ำยังไม่มีสะพานภูเขายังไม่ถูกสลักชื่อโดยนักปราชญ์ มีหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งกลางหุบเขาเหมยซึ่งทุกต้นไม้ผลิดอกตลอดปีแม้ฤดูเหมันต์จะเข้ามาเยือนหมู่บ้านนั้นเรียบง่าย อบอุ่น และไม่มีสงคราม ผู้คนต่างใช้ชีวิตตามจังหวะของฟ้า และในหมู่บ้านนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถทำให้ดอกเหมยร่วงเพียงแค่ดีดพิณหนึ่งสาย“นางคือเทพธิดาแห่งเสียงพิณ” ผู้เฒ่าเล่าขาน“หรืออาจเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่ฟ้าส่งมาเพื่อปลอบใจมนุษย์”นางมีชื่อว่า “หลานเอ๋อร์” ชื่อที่เรียบง่ายเหมือนน้ำใสไหลผ่านก้อนหิน นางเติบโตมากับเสียงสายลมและพิณไม้เก่า นางมิได้ร่ำเรียนวิชาใดจากผู้ใดหากแต่สามารถสร้างท่วงทำนองจากเสียงหัวใจตนเองทุกเย็นหลังเสร็จจากงานในไร่นา นางจะนั่งใต้ต้นเหมยต้นใหญ่กลางหมู่บ้าน ดีดเพลงเพียงเบา ๆ ผู้คนฟังแล้วใจสงบ เด็กน้อยหลับสบาย และชายคนหนึ่งกลับมาตรงเวลาในทุกวันเพื่อฟังเสียงนั้นชายผู้นั้นชื่อ “จิ่นซาน” เขาไม่ใช่ชาวบ้านแต่เป็นนักเดินทางผู้หลงทางจากแดนไกลครั้งแรกที่พบหลานเอ๋อร์ เขาเปรอ
บนโลกนี้มีดินแดนหนึ่งไม่มีผู้ใดบันทึกในแผนที่ ไม่มีชื่อในราชโองการ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเคยมีอยู่จริงดินแดนนั้น อยู่เหนือปลายเขาสูงซึ่งหิมะตกตลอดทั้งปี ไม่มีฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีร้อน ไม่มีฝน มีเพียงเกล็ดขาวโปรยปราย ราวม่านบางที่ซ่อนโลกทั้งใบไว้เบื้องหลังว่ากันว่า หากใครเดินลึกเข้าไปจนถึงใจกลางหุบหิมะจะได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงที่ไม่ใช่ลม ไม่ใช่น้ำตก หากแต่คือเสียงพิณที่ไม่มีสาย เสียงดั่งถ้อยคำของผู้จากไป เสียงของแม่นางคนหนึ่ง แม่นางผู้ที่ไม่มีนามสกุล ไม่มีบ้านเกิด ไม่มีบรรพบุรุษ ไม่มีอนาคต มีเพียงชื่อหนึ่งซึ่งเหลืออยู่แต่ในตำนาน“อวี้หลาน...”ในยามที่โลกยังไม่ลืมนาง อวี้หลานเคยเป็นหญิงสาวจากสำนักดนตรีหลวง ผู้มีมือขวาที่สามารถแต่งเพลง และมือซ้ายที่ดีดพิณได้โดยไม่ต้องมองสาย“แม้มิได้กล่าวคำใด ข้าก็สามารถดีดหัวใจของผู้ฟังให้สั่นสะท้านได้” นางเคยกล่าวไว้แก่ศิษย์ร่วมสำนักอวี้หลานมิใช่นางสนม มิใช่นักรบ มิใช่นักพรต แต่นางคือเสียงในสนามรบ คือเสียงกล่อมทหารผู้ที่จะสละชีพคือเสียงสุดท้ายของวีรบุรุษที่ถูกลืมนางรับราชโองการจากฮ่องเต้ให้ไปยังชายแดนทางใต้เพื่อดีดเพลงสงบจิตให้เหล่าทหารได้หลับตาอย่างไร้ความหว
ห้องเล็ก ๆ ชั้นสองของโรงเตี๊ยมเงียบสงัด แสงโคมตะเกียงวูบไหวราวกับเต้นตามจังหวะลมหายใจของคืนหนาว เด็กสาวนั่งลงตรงข้ามชายชรา วางกล่องพิณเก่าไว้เบื้องหน้าไม้เก่าลอกลาย รอยลวดลายบางส่วนเลือนรางแต่ความรู้สึกกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด“ท่านเคยอยู่ในวังหลวงหรือไม่”นางถามเสียงเบาดวงตาจับจ้องผู้สูงวัยตรงหน้าผู้มีแววตาราวกับผ่านหลายภพชาติชายชราพยักหน้า น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยราวกับบรรเลงผ่านกาลเวลา“ข้าเคยเป็นขุนนางของหอดนตรีฝ่ายพิณ รับใช้ในรัชสมัยก่อน จวบจนค่ำคืนที่โลกทั้งใบเปลี่ยนไป”เด็กสาวเงียบฟังโดยไม่ขัด เมื่อได้ยินคำว่า ค่ำคืนที่โลกเปลี่ยนไป เสียงพิณในหัวใจก็ดังขึ้นอีกวูบคล้ายทำนองที่ถูกกลืนหายไปเริ่มกลับคืน“วันนั้น…” ชายชรากล่าว “ฮ่องเต้รับสั่งให้หญิงนางหนึ่งเข้าไปบรรเลงในท้องพระโรง นางผู้นั้นผิวซีด ดวงตาเรียบสงบ ราวกับมิใช่คนในโลกนี้”เขาหลับตามองย้อนในห้วงเวลา เสียงสายพิณไร้นามยังคงฝังใจเขาแม้ผ่านกว่าครึ่งศตวรรษ“เสียงพิณของนางไม่ใช่เพื่อความรื่นรมย์ แต่คือบทอำลา นางดีดเพียงหกสาย ก่อนหยุดลงโดยไม่กล่าวสิ่งใด”เด็กสาวเผลอยกมือแตะกล่องพิณ ความหนาวเย็นลอดผ่านไม้แต่ใจกลับอุ่นขึ้นแปลกประหลาด“ห
เมืองเล็ก ๆ ริมชายแดน ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นกว่าที่เคย ทว่าท้องฟ้ากลับยังคงโรยด้วยหมอกบาง ราวกับหิมะที่ยังหลงเหลือในความทรงจำของแผ่นดินเสียงระฆังในวัดเก่าดังขึ้นสามครั้ง นักเดินทางผู้หนึ่งปรากฏตัวที่เชิงเขา นางคือเด็กสาววัยสิบห้าปี ผิวขาวซีดจากการเดินทางไกล นัยน์ตาเศร้าเจือความเฉยชา ในอ้อมแขนของนางคือกล่องพิณเก่าเก็บคร่ำคร่า ไม้แห้งแตกตามอายุของมัน แต่หัวใจของกล่องพิณนั้นยังสั่นไหว“ท่านตาเคยบอกข้าว่า กล่องนี้ไม่ใช่ของข้า แต่เสียงของมันอยู่ในตัวข้ามาตลอด”ไม่มีใครรู้ว่านางชื่ออะไรและไม่มีใครถาม เพราะในเมืองนี้เสียงพิณเคยเป็นเรื่องต้องห้ามนางเดินไปยังลานกว้างหน้าศาลเจ้าร้าง กวาดตาผ่านคนเฒ่าคนแก่ที่มุงดูเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ วางกล่องพิณลงบนแท่นหิน“ข้าอยากลองเล่น แม้มันจะไม่มีสาย แต่ข้าอยากรู้ว่า ข้าเคยได้ยินมันจากที่ใด”มือเรียวบางไล้ผ่านกล่องไม้ นิ้วทั้งสิบวางลงบนร่องเดิมของสายพิณที่ไม่หลงเหลือ ไม่มีเสียงใดเปล่งออก แต่นางหลับตาและเงียบ กระทั่งลมแรกของเช้า พัดปลายผมของนางให้ลอยไหว ใบหน้าขาวซีดนั้นสงบเยือกเย็นเหมือนคนที่ฟังเสียงจากอดีตอันไกลโพ้น“เจ้าได้ยินหรือไม่?”ชายชราคนหนึ่งถาม
ฤดูเปลี่ยนผ่านอีกครา ต้นเหมยยังผลิบานทุกปี พิณเก่ายังคงวางอยู่ ณ ที่เดิม แต่มือที่เคยดีดมันไม่มีอีกแล้วไม่มีผู้ใดเห็นลู่จิ่นซานอีกเลย ไม่มีร่าง ไม่มีเสียง ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยว่าเขาเคยจากไปอย่างไรหรือไปที่ใด ผู้คนบางกลุ่มเชื่อว่าเขาสิ้นใจใต้ต้นเหมยในวันนั้น บางคนบอกว่าร่างเขากลายเป็นลมที่พัดผ่านสายพิณ แต่ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันสิ่งใดได้กระท่อมหลังเล็กในหุบเขาตะวันตกมีชายชราไร้นามอาศัยอยู่เงียบ ๆ เขาไม่พูด ไม่หัวเราะ ไม่เล่นพิณ แต่ทุกวันเขาจะนั่งอยู่หน้าประตูมองไปยังผืนฟ้าราวกับกำลังฟังเสียงบางอย่าง“ท่านปู่ ข้าดีดเพลงนี้ได้ไหมเจ้าคะ?”เด็กน้อยคนหนึ่งยื่นพิณมาให้ ชายชราเพียงยิ้มและเอื้อมมือไล้ผ่านสายอย่างนุ่มนวลโดยไม่ดีดเสียงใด แม่ไม่มีเสียงเกิดขึ้นแต่เด็กน้อยกลับนิ่งงันและน้ำตาก็ไหลลงมาช้า ๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ“ข้ารู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังพูดกับข้า…”พิณนั้นไม่มีสาย แต่มือเขายังจำท่วงทำนองได้ แม้เขาจะเป็นใบ้ แม้เสียงมิได้เปล่งออกมาด้วยถ้อยคำ แต่ภายในความเงียบนั้นกลับดังก้องกว่าเสียงใดในโลกในคืนเดือนมืดเด็กน้อยผู้นั้นกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง ในมือมีเพียงกล่องพิณเก่าที่ไม่มีสายใดเหลื