Masuk@บ้านของมินตรา
ร่างบางเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่อย่างอารมณ์ดีพลางกวาดสายตามองไปยังสิ่งของต่างๆ ไปด้วยก่อนที่เสียงเรียกของผู้เป็นแม่จะดังขึ้นทำให้ใบหน้าหวานหันไปมองยังต้นทางของเสียงอัตโนมัติ
"มาแล้วเหรอมิน" มีนาที่กำลังเดินลงมาจากชั้นสองเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นลูกสาวตัวเล็กที่กำลังเดินเข้ามา
"หม่ามี๊~” ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของผู้เป็นแม่ มินตราก็รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดแม่ของตัวเองไว้ทันทีด้วยความคิดถึง จมูกเล็กฝังลงบนแก้มนวลฟอดใหญ่จนมีนาหลุดยิ้มออกมาให้กับความขี้อ้อนของลูกสาว
"อ้อนเก่งเหมือนเดิมนะเรา"
"ก็มินคิดถึงหม่ามี๊นี่นาา แล้วปะป๊าล่ะคะ"
"นั่งรออยู่ที่โต๊ะน่ะ ไปลูก ไปกินข้าวกัน หม่ามี๊ทำอาหารไว้เยอะเลย" แล้วมินตราก็เดินตามผู้เป็นแม่เข้าไปยังห้องรับประทานอาหารทันที โดยมีธันวาผู้เป็นพ่อนั่งรออยู่ และ...
"ปะป๊าา อ๊ะ! น้าเพลง"
“ว่ายังไงตัวเล็ก” เพลงพิณที่นั่งอยู่เอ่ยทักทายคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซึ่งเธอนั้นเป็นเพื่อนสนิทของมีนาตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนอยู่ ทำให้ทั้งสองบ้านจึงไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แต่หลังจากที่ลูกชายของเธอไปอยู่ที่ต่างประเทศเธอก็ไม่ค่อยได้มาที่บ้านหลังนี้เท่าไหร่นัก ดังนั้นครั้งนี้จึงเป็นการมาหาเพื่อนสนิทในรอบหลายเดือนของเธอ
“สะ...สวัสดีค่ะ” มินตรายกมือไหว้หญิงสาววัยกลางคนตรงหน้าอย่างนอบน้อมแม้จะยังคงมีความตกใจอยู่ก็ตาม
“สวัสดีจ้ะ”
“เป็นไงเซอร์ไพรส์ไหม”
“หม่ามี๊ทำไมไม่บอกมินก่อนล่ะคะ มินไม่ได้เตรียมอะไรมาให้คุณน้าเลย”
“มินขอโทษนะคะ...” หญิงสาวหันกลับไปพูดกับเพลงพิณอย่างมีมารยาทพร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆ มีนาไปด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ น้าไม่ถือหรอก”
“แล้วเรียนเป็นไงบ้างเรา อยู่ปีสองแล้วใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ มินอยู่ปีสองแล้ว~”
“ว่าแต่มินไม่สงสัยเหรอลูกว่าน้าเพลงมาทำอะไร” มีนาที่นั่งอยู่หันมาเอ่ยถามลูกสาวอย่างอารมณ์ดี ซึ่งธันวาที่ได้ยินคำถามนั้นก็เค้นหัวเราะในลำคอเล็กน้อยด้วยความรู้ทัน
“หึ”
“เอ๋...มาทำอะไรเหรอคะ” มินตราที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็หันไปถามและมองหน้าทุกคนอย่างสงสัย โดยท่าทางเหล่านั้นทำให้เพลงพิณเผลอยิ้มออกมากับความใสซื่อของเด็กสาวตรงหน้า
“มาสู่ขอลูกสะใภ้น่ะ”
“..!!”
“ฮ่าๆๆ น้าล้อเล่น ไม่ต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น แต่น้าแค่เอาข่าวดีมากบอกน่ะ”
“ข่าวดีอะไรคะ มินงงไปหมดแล้ว” ใบหน้าหวานหันมองทุกคนด้วยความงุนงง เพราะดูเหมือนทุกคนกำลังตั้งใจจะกลั่นแกล้งเธอยังไงอย่างนั้น ตอนนี้มินตราจึงสับสนไปหมดและไม่รู้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงกันแน่
“พี่กล้าเขาจะกลับมาแล้วนะ”
“พะ...พี่กล้า”
“ดีใจไหม น้าเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน พอรู้เรื่องเลยรีบมาบอกหนูมินตราเองเลย”
“อะ...เอ่อ ค่ะ”
“ได้เจอกันสักทีนะลูก” มีนาหันไปลูบศีรษะเล็กของลูกสาวอย่างอ่อนโยนด้วยความดีใจไม่ต่างกัน
“รู้ไหมว่าพี่เขาพูดถึงเราให้น้าฟังทุกวันเลยนะ วันก่อนเห็นบอกว่าจะติดต่อให้เราไปเรียนที่นู่นด้วย น้าเองก็คุยกับปะป๊าของเราแล้วล่ะปะป๊าเขาก็เห็นด้วย”
“ปะป๊าเห็นด้วยเหรอคะ” มินตราหันไปถามผู้เป็นพ่อด้วยแววตาสั่นไหวอย่างปิดไม่มิดที่อีกไม่นานเธอจะต้องไปอยู่ไกลบ้านและเป็นที่ที่ไม่มีคนรู้จักอยู่เลย
“ใช่ ป๊าเคยบอกแล้วไงว่าอยากให้เราไปเรียนต่อที่นู่น แล้วพี่กล้าเขาก็อยู่ด้วยป๊าก็เลยมั่นใจว่ามินจะมีคนดูแล” เพราะกล้าเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเพลงพิณและกล้ากับมินตราเองก็สนิทกันมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ หรือเรียกว่าโตมาด้วยกันก็ได้ ธันวาจึงวางใจหากลูกสาวของตัวเองจะมีคนคนนี้คอยดูแล
“เป็นอะไร อย่าบอกนะว่าจะงอแงไม่ไปเพราะติดเพื่อนอีกแล้วน่ะ” มีนาเอ่ยหยอกล้อเมื่อเห็นลูกสาวเงียบไป จริงๆ เธอกับธันวาอยากให้มินตราไปเรียนต่อที่ต่างประเทศตั้งนานแล้วแต่มินตราก็ไม่ยอมไปเพราะติดเพื่อนที่ไทย ดังนั้นเธอกับธันวาจึงต้องตามใจคนตัวเล็กเพราะเห็นว่าตอนนั้นมินตรายังเด็กอยู่ แต่ก็มีข้อแม้ว่าหากทั้งคู่เห็นสมควรเมื่อไหร่มินตราจะต้องไปตามที่ตกลงกันไว้ทันที
“ปะ...เปล่าค่ะ มินแค่ตกใจนิดหน่อย”
“ไม่ต้องห่วงนะหนูมิน น้าคุยกับพี่กล้าแล้วอยู่ที่นู่นพี่กล้าเขาจะดูแลหนูอย่างดีเลยล่ะ แล้วก็...พร้อมดูแลทั้งชีวิตด้วย”
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกขายลูกตัวเองสักทีเนี่ย” มีนาที่นั่งอยู่บ่นออกมาอย่างไม่จริงจังนักเมื่อเพื่อนของเธอมักจะพูดอย่างนี้กับมินตราอยู่บ่อยครั้งที่มีโอกาส
“คงไม่มีวันนั้นหรอก หนูมินน่ารักขนาดนี้ต้องขายให้บ่อยๆ กลัวจะมีคนอื่นมาแย่งไป ห้ามยกให้ใครนะธันวาคนนี้เพลงจองมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“ฮ่าๆๆ เธอนี่ก็” มีนาหัวเราะออกมาทันทีให้กับความขี้เล่นของเพื่อนสนิท โดยมีมินตรานั่งฟังอยู่อย่างเงียบๆ ทว่าในใจของเธอตอนนี้มันกลับว้าวุ่นเป็นอย่างมากที่จะต้องจากคนที่รู้จักไปไกลขนาดนั้น สำหรับเธอแล้วเธอไม่ชอบการจากลาหรือการที่ต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้จัก ถึงแม้เธอจะสามารถกลับมาหาพวกเขาได้ตามที่ต้องการ แต่สำหรับมินตรามันก็น่าใจหายอยู่ดี
@คอนโดมินตรา
หลังจากกินข้าวเสร็จมินตราก็ขับรถกลับมาที่คอนโดของตัวเองทันที เพราะเธอมีรายงานต้องทำที่คอนโดจึงทำให้ไม่สามารถนอนค้างที่บ้านได้ มือเรียวเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างเหนื่อยล้าจากการเรียนรวมถึงความรู้สึกว้าวุ่นที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หญิงสาววางกระเป๋าแบรนด์เนมใบหรูลงบนโซฟาแล้วเดินไปหยิบตุ๊กตาหมีสีชมพูที่เก็บรักษาไว้อย่างดีออกมาจากตู้โชว์ ตุ๊กตาที่เธอตั้งใจเลือกทำให้นึกถึงคนคนหนึ่ง...คนที่อยู่ในใจของเธอตลอดมา
“พี่ชาร์วี...”
“...มินคิดถึงพี่จังเลยค่ะ” มินตราพูดกับตุ๊กตาที่อยู่ในมือแล้วลูบที่ใบหน้าของมันอย่างอ่อนโยน
กริ๊ง กริ๊ง~
เสียงโทรศัพท์มือถือฉุดรั้งสติของคนตัวเล็กให้กลับมาอีกครั้ง มือบางค่อยๆ วางตุ๊กตาลงอย่างทะนุถนอมแล้วจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายข้างออกมาเพื่อกดรับสาย
“ว่าไงเม็ดทราย”
(นอนหรือยัง ฉันโทรมากวนหรือเปล่า)
“ไม่กวนหรอก เราเพิ่งถึงคอนโดพอดีน่ะ วันนี้ไปกินข้าวที่บ้านมา”
(ว่าแล้วว่าเธอยังไม่เห็น)
“หื้ม?”
(ก็วันนี้เพจวิศวะฯเขาลงรับสมัครคนไปค่ายน่ะสิ มันเป็นค่ายอาสาที่รุ่นพี่ปีสี่จัดขึ้นก่อนเรียนจบน่ะ รุ่นพี่วิศวะฯไปกันหมดเลยนะ พี่ชาร์วีก็ไปด้วย)
“พี่ชาร์วี...” หัวใจดวงน้อยที่เคยสงบกลับมาเต้นแรงอีกครั้งเพียงเพราะได้ยินชื่อของคนคนนั้น คนที่เธอคิดถึงมากที่สุดในตอนนี้
(ใช่ ฉันว่าไหนๆ เธอก็ไม่ยอมสารภาพรักออกไปอยู่แล้ว จะไปเพื่อเก็บเป็นความทรงจำไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนะ เพราะพอพี่เขาเรียนจบก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว)
“...” ประโยคถัดมาของคนปลายสายทำให้มินตราชะงักไปเล็กน้อย ซึ่งมันเป็นความจริงที่ว่าชาร์วีกำลังจะเรียนจบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าและเธอกับเขาก็อาจจะไม่ได้เจอกันอีก
(ว่ายังไงเธอจะไปรึเปล่า) เม็ดทรายถามย้ำเมื่อปลายสายเงียบไป
“อืม...ไป”
(ต้องแบบนี้สิ! ก็เธอออกจะชอบพี่เขาขนาดนั้น ฉันใส่ชื่อของเธอไปแล้วล่ะไม่ต้องห่วง ยังดีนะที่ฉันเห็นตอนลงรับสมัครแรกๆ ไม่งั้นไม่ทันหรอก คนแย่งกันลงจนไม่ถึงสองชั่วโมงก็เต็มหมดแล้ว)
“ขอบคุณนะเม็ดทราย” ประโยคยาวเหยียดที่ปลายสายพูดออกมาไม่มีคำไหนที่มินตราได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะตอนนี้ความรู้สึกของเธอมันกำลังรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูกเมื่อต้องรู้ว่าจะไม่ได้เจอกับคนที่ตัวเองรักอีก มินตราตอบกลับไปแค่คำขอบคุณเท่านั้นก่อนที่เม็ดทรายจะเป็นฝ่ายกดตัดสายไป
(ด้วยความยินดีค่ะ)
ฟุ่บ~
มินตรานั่งลงบนโซฟาอย่างหมดแรงแล้วมองไปตรงหน้าอย่างเหม่อลอย ริมฝีปากเล็กขยับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาตามความคิดของตัวเอง
“อีกไม่กี่เดือนก็จบ...”
“...แล้วจะไม่ได้เจอกันงั้นเหรอ” มันคงเป็นเรื่องที่ยากหากเธอกับชาร์วีจะพบกันอีก ระหว่างเขาที่กำลังจะเรียนจบและเธอที่กำลังจะไปอยู่อีกประเทศหนึ่ง เพียงแค่คิดถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน น้ำตาใสก็เริ่มไหลออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
“ถ้ามินลองเสี่ยง มินจะได้ความรักจากพี่ไหมคะ”
@วันวาเลนไทน์-คอนโดชาร์วี"แน่ใจเหรอว่าจะไม่ไปกินข้าวที่ร้านอาหารจริงๆ" ร่างสูงที่กำลังถือจานอาหารเอ่ยถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงโต๊ะอีกครั้งซึ่งมินตราที่อยู่ในชุดสีชมพูหวานก็วางดอกไม้ในมือลงแล้วตอบกลับแฟนหนุ่มไปอย่างมั่นใจ"ทานที่ห้องนี่แหละค่ะ ที่ร้านอาหารคนเยอะและมินก็อยากอยู่กับพี่วีสองต่อสองมากกว่า""หึ เป็นเด็กติดพี่เหรอ""ติดแฟนค่ะ" ใบหน้าหวานหันกลับมาตอบกลับอย่างทะเล้นก่อนที่ชาร์วีจะวางอาหารที่สั่งมาลงบนโต๊ะกระจกแล้วสวมกอดหญิงสาวจากทางด้านหลังพลางเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้คนฟังต้องหน้าแดงออกมา"กินที่ห้องก็ดีเหมือนกัน จะได้อุ้มขึ้นเตียงง่าย"เพี๊ยะ!"พะ...พอเลยค่ะ ครั้งก่อนก็โดนปะป๊าจับได้ มินอายนะคะ" มือเรียวฟาดที่ต้นแขนแกร่งอย่างแรงแล้วทำหน้ามุ่ยออกมาให้กับความหื่นของรุ่นพี่หนุ่มที่เขาได้ทำเรื่องน่าอายไว้ที่บ้านของเธอเมื่อไม่กี่วันก่อนจนธันวาเดินเข้ามาเห็นภาพที่ชาร์วีกำลังซุกไซ้เธออยู่ในห้องครัว"ครั้งนี้ทำบนเตียง ไม่ได้ทำที่ห้องครัวแล้ว""ชิ มินไม่พูดกับพี่แล้วค่ะ" มินตราแสดงท่าทีกระฟัดกระเฟียดออกมาแล้วหยิบดอกกุหลาบที่เหลืออยู่ขึ้นมาจัดใส่แจกันต่อโดยไม่สนใจร่างสูงที่กำลังคลอเคลียเธออย
"มิน! ฟังพี่ก่อน""มินตรา...มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดนะ" ฝ่ามือแกร่งเลื่อนจับล็อกที่ท่อนแขนเรียวเอาไว้แล้วพยายามอธิบายให้หญิงสาวตรงหน้าฟัง หัวใจแกร่งกระตุกวูบเมื่อเห็นน้ำตาใสของคนตัวเล็กที่กำลังไหลออกมา"ฮึก...""ใจเย็นๆ นะมิน มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดนะ" ชาร์วีรั้งตัวของคนตัวเล็กเขามาสวมกอดไว้แน่นพลางลูบที่เรือนผมของเธอไปด้วยเพื่อให้มินตราใจเย็นลงแต่ว่าทุกอย่างมันกลับไม่ได้ง่ายแบบนั้น"ปล่อยมินค่ะ มินจะกลับบ้าน" มินตราพยายามออกแรงดิ้นเพื่อให้พ้นจากพันธนาการของชายหนุ่มทว่าชาร์วีก็ยังคงไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ"มันไม่มีอะไรจริงๆ นะมิน""แน่ใจเหรอคะว่าไม่มีอะไร" น้ำเสียงที่เยือกเย็นดังออกมาจากคนตัวเล็กอีกครั้ง มินตราผละใบหน้าออกแล้วจ้องมองแฟนหนุ่มเขม็งในขณะที่ชาร์วีซึ่งพอจะรับรู้ถึงสายตาคนตรงหน้าได้ก็รีบบอกความจริงออกมาเพราะเขาไม่มีอะไรจะต้องปิดบังเธออยู่แล้ว"ฉันกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีอะไรด้วยกันมานานแล้ว ตั้งแต่ที่มีเธอเราก็ไม่ได้ยุ่งกันอีก""พี่แน่ใจแล้วเหรอคะว่าไม่เคยยุ่งกันอีก" มินตราเอ่ยถามคนตรงหน้าเสียงสั่นในขณะที่ชาร์วีขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงงเพราะเขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคน
@หลายเดือนต่อมา-มหาวิทยาลัย"คุยกับพี่ชาร์วีอยู่เหรอ" เสียงหวานของเม็ดทรายเอ่ยถามคนด้านข้างที่กำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่หลังจากที่ออกมาจากห้องเรียนแล้วก่อนที่มินตราจะละสายตาจากหน้าจอแล้วหันมาตอบกลับเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มหวาน"ใช่~ พี่วีบอกว่ามารอหน้าตึกแล้ว""เฮ้อ เบื่อคนมีความรักจริงๆ เลย" หญิงสาวลอบถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ให้กับความคลั่งรักของทั้งสองคนที่ไม่ว่าจะเป็นมินตราที่มักพูดถึงแฟนหนุ่มของตัวเองให้เธอฟังอยู่บ่อยๆ หรือแม้แต่ชาร์วีเองก็มารับมินตราทุกวันรวมถึงถ่ายรูปของเธอแล้วบอกรักลงอินสตาแกรมอยู่บ่อยครั้งจนทุกคนต่างอิจฉาให้กับความคลั่งรักของทั้งคู่ที่ดูจะยิ่งมากขึ้นในทุกๆ วัน"แต่ก็เอาเถอะ เห็นว่าผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ จะยอมให้ก็แล้วกัน" เม็ดทรายแสร้งกอดอกแล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่จริงจังนักจนมินตราหลุดเสียงหัวเราะออกมาให้กับท่าทางของเธอ"ฮ่าๆๆ งั้นเธอคงต้องยอมเราทุกวันแล้วล่ะเพราะเรากับพี่วีผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะมากกก" มินตรายิ้มตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต ทุกเหตุการณ์เธอยังคงจดจำมันได้อยู่เพียงแค่มันไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกหรือทำให้เธอต้องเจ็บปวดอีกแล้วเพียง
"แฮ่ก~""พี่รักเรานะครับ" ชาร์วีกดจูบลงบนไหล่มนชุ่มเหงื่อแล้วบอกรักคนที่นอนอยู่ไปด้วยในขณะที่ตัวของเขาเองก็เหนื่อยหอบไม่ต่างกัน ฝ่ามือหนาดึงแก่นกายใหญ่ออกจนน้ำคาวสีขุ่นไหลทะลักออกมาก่อนจะล้มตัวลงนอนราบแล้วจับร่างบางขึ้นมานั่งบนหน้าตักไปด้วย"พี่วี ไม่ทำแล้วนะคะ มินเหนื่อยแล้ว" มินตรางอแงออกมากชุดใหญ่อย่างรับรู้ความต้องการของแฟนหนุ่ม เพียงแค่เห็นความใหญ่โตที่ผงาดขึ้นอีกครั้งตรงหน้าก็พาลทำให้หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ"พี่บอกแล้วไงว่าจะปล่อยเราตอนทุ่มครึ่ง แต่ถ้า..." ปากหนาจงใจเว้นคำในประโยคสุดท้ายแล้วเลื่อนมือไปสัมผัสเอวคอดไปด้วยจนร่างบางขนลุกซู่ไปทั้งตัวก่อนที่ชาร์วีจะเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงร้ายกาจ"ถ้าเราขึ้นให้พี่ พี่จะให้จบแค่น้ำเดียว""ละ...ลามกที่สุดเลย" ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงระเรื่อด้วยความเขินอายให้กับคำพูดลามกของคนด้านล่างแล้วพยายามลุกขึ้นออกจากตรงนั้นทว่ากลับโดนฝ่ามือแกร่งรั้งเอวคอดไว้มั่นจนเธอไม่สามารถหนีไปได้"พี่ให้เวลาเราตัดสินใจนะ ถ้าเราหนีอีกพี่จะจับกระแทกจนถึงเวลาที่บอก" "อึก..." มินตราลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ให้กับท่าทีที่ดูจริงจังเหล่านั้นพลางเม้มปากเข้าหากันแน่
"เลิกร้องได้แล้วครับ" มือหนาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าหวานอย่างอ่อนโยนในขณะที่คนตัวเล็กยังคงสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ อยู่ ชาร์วีอมยิ้มออกมาเล็กน้อยให้กับนิสัยที่ขี้แงของหญิงสาวแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาก็ตกหลุมรักเด็กน้อยคนนี้จากนิสัยนั้นเหมือนกัน"ดีขึ้นหรือยัง""ฮึก! มะ...มันยังอยากร้องอยู่เลยค่ะ อึก มินกลั้นน้ำตาไว้ได้""งั้นไปร้องต่อในห้องก็แล้วกันนะ แต่เป็นร้องคราง""อ๊ะ! ไม่ทำนะคะพีวี" ร่างเล็กออกแรงดิ้นเมื่อถูกคนตัวสูงช้อนตัวเข้าไปในห้องนอนด้วยความรวดเร็วทว่าเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของเธอไม่สามารถสู้ชาร์วีได้ ชายหนุ่มวางแฟนสาวลงบนเตียงด้วยความแผ่วเบาจากนั้นจึงรีบไปคร่อมตัวของเธอเอาไว้แล้วโน้มใบหน้าลงไปซุกไซ้ตามลำคอขาวเนียนด้วยความหื่นกระหาย"อื้ออ~ พี่วีทำเบาๆ หน่อยค่ะ อ๊ะ! มินเจ็บนะคะ ยะ...อย่าทำรอยเดียวปะป๊าเห็น อื้ออ" เรียวปากบางส่งเสียงร้องประท้วงออกมาไม่หยุดเมื่อคนด้านบนเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ชาร์วีสูดดมกลิ่นกายหอมหวานของคนตัวเล็กอย่างหลงใหล ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดถึงร่างบางนุ่นนิ่มนี้มาตลอด"ไม่ไหวแล้วมิน พี่ขอเอาเลยนะ" ชายหนุ่มผละใบหน้าออกมาเอ่ยบอกเสียงแหบพร่าแล้วรีบปลดเปลื้องเส
@วันต่อมา-บ้านมินตรา"พี่วีอย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ เดี๋ยวมินก็ใจอ่อนหรอก" มินตราแสร้งทำหน้ายู่ออกมาแล้วเอ่ยต่อว่าคนตรงหน้าอย่างไม่จริงจังนักให้กับสายตาที่ดูอ้อนวอนของชายหนุ่มเนื่องจากเธอจะไม่ได้กลับไปนอนที่คอนโดด้วยกัน"เพิ่งได้นอนกอดกันแค่คืนเดียวเอง ยังไม่หายคิดถึงเลย" ร่างสูงรั้งคนตัวเล็กเข้าไปสวมกอดไว้แน่นด้วยความโหยหาพลางกดปลายจมูกโด่งลงบนศีรษะทุยเล็กไปด้วยจนมินตราลอบยิ้มออกมาให้กับความออดอ้อนของเขา"มินนอนที่บ้านแค่ไม่กี่วันเองค่ะ เดี๋ยวก็ได้กลับไปอยู่ด้วยกันแล้วนะ""ไม่กี่วันตรงไหน ตั้งสี่วัน แล้วยังได้กลับไปนอนด้วยกันแค่สองวันเอง""ปกติตอนปิดเทอมมินกลับมานอนที่บ้านเป็นเดือนเลยนะคะ ตอนนี้เหลือแค่เป็นวันเอง~ มานอนที่บ้านสี่วันแล้วกลับไปนอนกับพี่สองวันมันก็ไม่น้อยเลยนะคะ""แต่ฉันอยากมีเวลาสัมผัสเธอมากกว่านี้""น้อยๆ หน่อย นี่ยังอยู่ที่บ้านอยู่นะ" ธันวาที่เดินออกมาเอ่ยบอกชายหนุ่มรุ่นลูกที่กำลังกอดหอมลูกสาวของเขาอยู่เสียงดุทำให้ชาร์วีต้องยอมผละตัวออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ในขณะที่มินตราก้มหน้างุดด้วยความเขินอายที่พ่อของตัวเองเข้ามาเห็นในเวลาแบบนี้"ถึงพ่อจะอนุญาตให้คบกันแล้วแต่ก็ไม่ใช่ว







