Share

บทที่ 7

"แม่ ผมว่ารอพ่อกลับมาและลองปรึกษาเรื่องนี้กับเขาดูดีไหม" คำพูดของลูกชายทำใหนางจางหันไปมองหน้าของเขาก่อนจะรีบส่ายหัวปฎิเสธ

"ไม่ได้! พ่อแกเป็นประเภทเสียหน้าไม่ได้ หากเขารู้ว่ามีเรื่องใหญ่แบบนี้เกิดขึ้นเขาได้ชังน้ำหน้าของพวกเราแน่ อีกอย่างไม่แน่ว่าอาจจะไปเข้าข้างบ้านรองก็ได้"

"แม่ พูดมาก็มีเหตุผล ว่าแต่ไอ้กาฝากนั่นมาอยู่บ้านเราก็ตั้งหลายปีทำไมเรื่องแค่นี้มันกลับตอบแทนบุญคุณพวกเราไม่ได้กัน" ฟางหลานหันขวับไปมองหน้าสามีอย่างสนใจระคนใคร่รู้หลังได้ยินคำพูดของเขา

"สามี เรื่องนี้คุณหมายความว่ายังไง"

"อาฉี! เรื่องนี้แม่เคยบอกแกไปแล้วว่าให้เงียบ" นางจางแสร้งตำหนิลูกชายแบบไม่จริงไม่จัง

"แม่คะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่" ความมีลับลมคมในของแม่สามียิ่งทวีความอยากรู้ให้ฟางหลานเป็นอย่างมากจนหล่อนไม่อาจทนเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ได้อีก น้ำเสียงของหล่อนเต็มไปด้วยความอยากรู้และรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกกีดกันออกจากเรื่องสำคัญ

จางหลินและเสิ่นฉีสบตากันอย่างรวดเร็ว แววตามีความลังเลและไม่สบายใจฉายชัด จางหลินเม้มปากพยายามจะปั้นหน้าเรียบเฉย "ไม่มีอะไรหรอกน่า เรื่องไร้สาระน่ะ เถียงกันไปก็อารมณ์ขึ้นเป็นธรรมดา" นางพยายามจะปัดเรื่องนี้ทิ้ง

แต่ฟางหลานไม่ยอมรามือ หล่อนขยับเข้าไปใกล้แม่สามีมากขึ้น จ้องมองเข้าไปในดวงตาของหญิงสูงวัยอย่างแน่วแน่

"ไม่ไร้สาระหรอกค่ะแม่! เมื่อกี้พี่ฉีพูดเหมือนกับว่าอาหานไม่ใช่...ไม่ใช่ลูกแม่จริง ๆ อย่างนั้นแหละค่ะ! แถมแม่ยังบอกให้พี่ฉีเงียบอีก มันต้องมีอะไรที่หนูไม่รู้แน่ ๆ!"

หล่อนหันไปมองหน้าเสิ่นฉี "สามีคะ บอกฉันมาเถอะค่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไรตอนนี้เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว มีปัญหาอะไรเราจะได้ช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไขนะคะ หรือคุณจะปล่อยให้พวกบ้านรองมันเหิมเกริมขึ้นแบบวันนี้อีก" ฟางหลานใช้คำพูดกระตุ้นสามีและแสดงตนเป็นพวกเดียวกับแม่สามีอย่างชาญฉลาด

เสิ่นฉีมีท่าทีลังเล เขามองหน้าแม่สลับกับภรรยา ความคับข้องใจที่อัดอั้นเกี่ยวกับน้องชายต่างสายเลือดก็ปะทุขึ้นมาจนแทบจะระเบิดแต่เขาก็ยังคงยำเกรงแม่ของตน

จางหลินถอนหายใจยาวมองลูกสะใภ้ที่จ้องเขม็งมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ นางรู้ว่าฟางหลานฉลาดและช่างสังเกต หากไม่บอกความจริงวันนี้ต่อไปก็คงปิดได้ไม่นาน สู้บอกไปตอนนี้แล้วดึงมาเป็นพวกเดียวกันอย่างสมบูรณ์เลยน่าจะดีกว่า

"ก็ได้..." นางตัดสินใจในที่สุด ลดเสียงลงราวกับกลัวว่าจะมีใครได้ยิน "แต่เรื่องนี้ แกต้องสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายออกไปให้ใครรู้เด็ดขาด! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ห้ามให้พ่อแกรู้ด้วยว่าแกรู้ความลับนี้ เข้าใจไหม!" นางจางกำชับเสียงเข้ม

ฟางหลานตาโตพยักหน้ารับคำอย่างรวดเร็ว "ค่ะแม่ ฉันสัญญา! ฉันจะไม่บอกใครแน่นอนค่ะ!"

จางหลินมองซ้ายมองขวาอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ นางก็โน้มตัวเข้าไปกระซิบกับลูกสะใภ้คนโตด้วยน้ำเสียงที่แฝงทั้งความลับและความขมขื่น

"ความจริงแล้ว...ไอ้เสิ่นหานน่ะ มันไม่ใช่ลูกในไส้ของแม่กับพ่อแกหรอก..."

ฟางหลานอ้าปากค้าง หัวใจเต้นแรงด้วยความตกตะลึง!

"หลายปีก่อน ตอนที่เรายังลำบากอยู่ที่เก่า" จางหลินเล่าต่อเสียงเบา "มีผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มไอ้เสิ่นหานตอนยังเป็นทารกมาหาแม่กับพ่อแก หล่อนบอกว่ามีเหตุจำเป็นต้องไปไกลเลี้ยงลูกไม่ได้ ขอฝากไอ้เสิ่นหานไว้กับพวกเราสักสิบปีแล้วจะกลับมารับคืนโดยให้เงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งมาเป็นค่าเลี้ยงดู..."

ฟางหลานพยักหน้าห่อปากตาโต หลังจากนั้นเสิ่นฉีก็ได้เสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง "แต่ไอ้กาฝากมันกลับไม่สำนึกบุญคุณ แม่กับพ่อเลี้ยงมันมาอย่างยากลำบากแม้ว่าจะมีเงินของแม่มันก็ตามแต่เวลาก็ล่วงเลยมาเกินสิบปีแล้วพ่อแม่ก็ยังเลี้ยงมัน"

ฟางหลานนิ่งอึ้งไป สมองประมวลผลข้อมูลใหม่ด้วยความเร็ว... มิน่าล่ะ! มิน่าแม่สามีถึงลำเอียงรักแต่สามีของเธอ ทำเหมือนเสิ่นหานเป็นอากาศธาตุหรือคนที่ต้องคอยทวงบุญคุณตลอดเวลา ที่แท้ก็ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน เป็นแค่เด็กลูกติดที่คนอื่นเอามาฝากเลี้ยงไว้พร้อมเงินก้อนโตนี่เอง!

ความสงสัยก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้นถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจ...และความรู้สึกเหนือกว่าอย่างประหลาด ไหนจะความคิดที่ว่า...สัญญาคือสิบปี แล้วนี่มันกี่ปีแล้ว? ผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาเมื่อไหร่? หรือถ้าไม่กลับมา...

แววตาของฟางหลานฉายประกายวาววับขึ้นมาทันที ความลับนี้...มันไม่ใช่แค่เรื่องในอดีตแต่มันอาจจะเป็นอาวุธสำคัญในการจัดการกับเสิ่นหานและครอบครัวในปัจจุบันและอนาคตได้เลยทีเดียว!

"อย่างนี้นี่เอง..." ฟางหลานพึมพำออกมาเสียงเบา รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นที่มุมปาก "ฉันเข้าใจแล้วค่ะแม่...ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว" ตอนนี้หล่อนรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อช่วยสามีและรักษาผลประโยชน์ของครอบครัวตนเอง

ทางด้านของเสิ่นเมี่ยว บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความเงียบและความตึงเครียด เสิ่นหานนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สีหน้ายังคงสับสนและเจ็บปวดกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นโดยมีเซี่ยอวิ๋นซือนั่งอยู่ด้านข้างเธอคอยลูบหลังสามีเบา ๆ อย่างปลอบโยน

ทว่าแววตาของหล่อนเองก็เต็มไปด้วยความกังวลแฝงความแน่วแน่บางอย่าง ส่วนเสิ่นหยวนนั่งทำการบ้านอยู่เงียบ ๆ ที่มุมโต๊ะแต่หูก็คอยเงี่ยฟังความเป็นไปรอบตัว

มีเพียงเสิ่นเมี่ยวที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาเหม่อลอยเล็กน้อยแต่ภายในหัวกำลังสื่อสารกับเอไอคู่ใจอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวหม่าว ได้ข้อมูลรึยัง?

เรียบร้อยครับเจ้านาย! จากการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดในเมืองนี้และบริเวณใกล้เคียงปี 1980 พบว่า...โอกาสทางธุรกิจซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้ามีสูงมากครับ! ยุคนี้คนเริ่มมีวิทยุ พัดลม บางบ้านก็เริ่มจะมีโทรทัศน์ขาวดำหรือเครื่องซักผ้าฝาบนรุ่นแรก ๆ บ้างแล้ว แต่ศูนย์ซ่อมมาตรฐานยังแทบไม่มี ช่างฝีมือดีเองก็หายาก ส่วนใหญ่เป็นการซ่อมแบบตามมีตามเกิด ถ้าพ่อของเจ้านายพอมีความรู้ด้านนี้อยู่บ้างและเราสามารถหาเครื่องมือพื้นฐานกับอะไหล่บางอย่างได้ การเปิดร้านซ่อมขนาดเล็กหรือรับซ่อมตามบ้านมีโอกาสทำเงินได้ดีเลยครับ โดยเฉพาะถ้าซ่อมได้ในราคาไม่แพงและงานดีย่อมที่จะมีคนบอกปากต่อปากอย่างแน่นอน เสียงใสแจ๋วของเสี่ยวหม่าวกล่าวรายงานอย่างละเอียด

เสิ่นเมี่ยวพยักหน้าในใจอย่างเงียบ ๆ ตรงกับที่คิดไว้ แล้วเรื่องแยกบ้านล่ะ?

อ้างอิงจากราคาค่าเช่าบ้าน หากอยู่ในลานบ้านเดียวกับคนอื่น ราคาอยู่ประมาณ 100-300 หยวนครับ หากเป็นราคาที่ดินเปล่าชานเมืองที่พอจะสร้างเพิงพักแบบเรียบง่ายได้ในตอนนี้ คาดว่าต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นประมาณ 800-1,000 หยวนเป็นอย่างน้อยครับเจ้านาย ซึ่ง...ดูจากสถานะการเงินปัจจุบันผมคิดว่าครอบครัวเจ้านายน่าจะยังไม่มีเงินเก็บถึงขนาดนั้นนะครับ

เสิ่นเมี่ยวขมวดคิ้ว ตัวเลขนี้สูงกว่าที่เธอคิดไว้เล็กน้อยหากอยากมีที่ดินเป็นของตัวเองตามราคาที่รัฐให้เช่า ยิ่งตอกย้ำว่าการหาเงินเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด

แล้วมีทางอื่นอีกไหม? ทางที่จะหาเงินก้อนแรกได้เร็วมากกว่านี้ ฉันแค่คิดว่าจะอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวจากนั้นเมื่อเก็บเงินได้สักก้อนฉันจะชวนทุกคนย้ายไปยังหมู่บ้านหลงเหมินเมืองหางโจวบ้านเดิมของแม่

เมื่อชาติก่อนเธอจำได้ว่าแม่เสียใจมากที่ไม่ได้กลับไปเยี่ยมตายายเลยจนกระทั่งสองผู้เฒ่าวัยชราที่รักและหวังดีกับลูกสาวคนเดียวมาโดยตลอดจากไปในวัยอันควรอย่างโดดเดี่ยว ทั้งนี้ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะแม่ของเธอมัวแต่เกรงใจย่ามหาประลัยนั่นเอง

ในระหว่างที่เสิ่นเมี่ยวตกอยู่ในภวังค์ เสียงใส ๆ ของเสี่ยวหม่าวก็ดังขึ้นในหัวของเธออย่างเห็นดีเห็นงาม

หนทางนะพอมีครับ เอาไว้ผมจะหาข้อมูลเพิ่มเติมให้ ส่วนอนาคตเจ้านายคิดจะไปอยู่หางโจว...ที่หมู่บ้านหลงเหมิน...นั้นผมคิดว่าเป็นเป้าหมายระยะยาวที่ดีเลยครับ เพราะการย้ายไปอยู่ที่นั่นจะช่วยให้ครอบครัวเจ้านายหลุดพ้นจากอิทธิพลของย่าและลุงได้อย่างถาวร และหางโจวในฐานะเมืองเอกของมณฑลเจ้อเจียงกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญในอนาคตอันใกล้ อีกทั้งที่นั่นยังมีโอกาสทางธุรกิจมากกว่าที่นี่อีกด้วย

คำพูดของเสี่ยวหม่าวเธอเองก็รู้ดีเพราะเธอเองก็มาจากอนาคตเพียงแต่....เสิ่นเมี่ยวถอนหายใจออกมาสั้น ๆ อย่างกลัดกลุ้มหลังได้ยินคำพูดต่อมาของเอไอคู่หู

การย้ายถิ่นฐานไกลขนาดนั้นต้องใช้เงินทุนสูงกว่าการแยกบ้านอยู่ในละแวกนี้มากนะครับ ทั้งค่าเดินทาง ค่าตั้งรกรากใหม่ ค่าเช่าหรือซื้อที่อยู่อาศัย... ตัวเลข 1,000 หยวนที่เราคุยกันเมื่อครู่อาจจะไม่เพียงพอ และที่สำคัญที่สุดคือ เรายังไม่มีเงินก้อนแรกนั้นเลยครับ ดังนั้น แผนเร่งด่วนตอนนี้ยังคงต้องเป็นการหารายได้และสะสมทุนให้ได้ก่อนครับเจ้านาย

ฉันเองก็เข้าใจในเรื่องนี้เหมือนกันนั่นแหละ เสิ่นเมี่ยว ตอบก่อนจะพูดในสิ่งที่คิดออกมาเพิ่มเติม

เป้าหมายคือหางโจวก็จริง แต่ก้าวแรกคือต้องหาเงินให้ได้ก่อนและต้องทำให้พ่อเริ่มมีช่องทางทำกินเป็นของตัวเองนอกเหนือจากงานในโรงงาน...เพราะในอนาคตโรงงานนี้ก็จะปิดตัวลงเหมือนกัน เอาล่ะเสี่ยวหม่าว ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องมาเริ่มแผนขั้นแรกกันแล้ว

เสิ่นเมี่ยวสูดหายใจลึกรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นสบตาพ่อกับแม่ที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ข้างกัน

"พ่อคะ..." เธอเอ่ยเรียก ทำให้เสิ่นหานหลุดจากภวังค์หันมามอง "เรื่องงานของพ่อ หนูคิดว่ายกให้เขาไปเถอะค่ะ" เสิ่นเมี่ยวเอ่ยเข้าเรื่องทันทีอีกทั้งเธอไม่ได้เรียกเสิ่นฉีว่าลุงอย่างแต่ก่อนอีกด้วย
Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 109

    หลังจากแสดงความยินดีและซักถามสารทุกข์สุกดิบกันพอสมควรแล้ว หลี่หยุนก็เข้าเรื่องทันที "คืออย่างนี้ครับ ผู้อำนวยการหวัง ผมเองก็อายุมากแล้ว อยากจะขอเกษียณตัวเองจากตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกซ่อมบำรุงเสียที และผมก็เห็นว่าหลี่หานลูกชายของผมคนนี้เขามีความรู้ความสามารถทางด้านช่างเทคนิคและเครื่องยนต์ก

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 108

    ยามเช้าของวันต่อมา แสงแดดแรกของหางโจวในช่วงต้นฤดูร้อนสาดส่องลงมาอย่างอบอุ่นปลุกชีวิตชีวาให้กับสรรพสิ่ง ณ อาคารที่พักของพนักงานของโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าเฟยเยว่ ซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมือง ที่ซึ่งหลี่หานกำลังจะก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกซ่อมบำรุงต่อจากบิดา

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 107

    เย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่ทุกคนได้กินอาหารมื้อเย็นร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่น หลี่หยุนได้มีโอกาสพูดคุยและทำความรู้จักกับหลาน ๆ ทั้งสองคนอย่างเต็มที่ เขารู้สึกเหมือนความสุขทั้งหมดในชีวิตได้ย้อนกลับคืนมาอ

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 106

    "จริงเหรอครับ/ค่ะ พ่อ" สองพี่น้องร้องออกมาด้วยความดีใจ " "จริงสิลูก แต่ว่าเรื่องตู้เย็นเอาไว้พวกเราค่อย ๆ เก็บเงินซื้อกันนะ ตอนนี้ก็ซื้อน้ำแข็งไปก่อนเพราะโรงงานน้ำแข็งประชาชนอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง พอหน้าหนาวพ่อว่าน้ำแข็งก็ไม่น่าจะเป็นที่ต้องการเท่าไหร่แล้วละ" พูดถึงเรื่องนี้เซี่ยอ

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 105

    เย็นวันนั้นข่าวการเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกซ่อมบำรุงโรงงานเฟยเยว่ของหลี่หาน และความสำเร็จในการซ่อมเครื่องจักรที่แม้แต่ทีมช่างของโรงงานยังจนปัญญาก็ได้สร้างความปลาบปลื้มยินดีให้กับทุกคนในครอบครัวหลี่และครอบครัวเซี่ยเป็นอย่างมาก บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่ำเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและคำชื่นชม เซ

  • เสื่นเมี่ยวย้อนเวลาเปลี่ยนชะตา   บทที่ 104

    (ซึ่งในระหว่างนี้ ทักษะการวิเคราะห์ปัญหาเครื่องจักรระดับสูงสุดที่เสี่ยวหม่าวมอบให้กำลังทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพในหัวของเขา) หลังจากใช้เวลาพิจารณาอยู่ไม่นานนัก ประมาณสิบกว่านาทีเห็นจะได้ หลี่หานก็เงยหน้าขึ้นด้วยแววตาที่มั่นใจ "ผมคิดว่าผมพอจะมองเห็นสาเหตุแล้วครับท่านผู้อำนวยกา

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status