LOGIN
ปฐมบท 1
“ไม่ ไม่เอา จะเอาอันนี้ อ่ะ อื้ออออ”
เสียงร้องโวยวายของเด็กหญิงพวงแก้มยุ้ยสีชมพูเลือดฝาดระเรื่อ ทำให้เด็กชายที่ยืนอยู่อีกมุมร้านสะดวกซื้อในหมู่บ้านจัดสรรชานเมืองต่างจังหวัดต้องเอี้ยวหน้าไปมองหลายรอบ
“เด็กนั่นร้องทำไมครับแม่”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองมารดาที่แสร้งทำเป็นไม่เห็นเด็กหญิงคนนั้น ทั้งที่เสียงหวีดแหลมเล็กร้องมาสักพักใหญ่แล้ว
“น้องจะเอาของเล่น แล้วแม่เขาไม่ซื้อให้” ผู้เป็นมารดาย่อตัวลง
“ทำไมล่ะครับ มันแพงเหรอครับ”
ผมมองรอยยิ้มอ่อนของมารดาขณะก้มลงกระซิบข้างหูให้ได้ยินกันสองคน
“เปล่า เด็กคนนั้นชื่อแก้ม ชอบมาที่ร้านนี้และร้องจะซื้อของเล่นทุกครั้ง แม่เขาเลยไม่ซื้อให้เพราะมีเยอะแล้ว”
เด็กชายละสายตาจากแม่ไปยังเด็กหญิงคนนั้นอีกครั้ง เธอคงอายุใกล้เคียงกับผมราวเจ็ดขวบ
“ถ้างั้นแสดงว่าเธอต้องเป็นเด็กเอาแต่ใจ ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เธอมาอยู่ใหม่เหรอครับแม่”
“ใช่แล้วปืน ย้ายมาไม่กี่เดือน”
ผมพยักหน้ารับแต่ตายังจ้องไปยังเด็กหญิง ซึ่งตอนนี้หยุดร้องไห้แล้วเมื่อได้ของเล่นที่ตนต้องการ ผมไม่ทันได้หันกลับพลันต้องสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ ๆ ดวงตาฉ่ำน้ำ พวงแก้มยังแดงซ่านเงยหน้าขึ้นจ้องมองผมแน่นิ่ง
“เออ แม่ครับ ผมไม่เอาน้ำแล้วครับ กลับเลยดีกว่า”
ผมรีบบอกมารดาเมื่อยังเห็นเด็กคนนั้นจ้องไม่วางตา มือกุมกระชับมือใหญ่กว่าของแม่ไว้ - - น่ากลัวชะมัด
ขณะที่เดินออกมานอกร้านแล้ว ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมหันกลับไปมองในร้านอีกครั้งแล้วพบว่า เด็กคนนั้น แก้ม กำลังแหกตา แลบลิ้นใส่พร้อมหัวเราะเสียงดังจนหน้าหงาย
หน้าของผมแดงซ่านขึ้นทันทีจนรู้สึกร้อนผ่าวพวงแก้มทั้งสองข้างรวมไปใบหู รีบสะบัดหน้ากลับ จำไว้ให้ขึ้นใจว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเด็กคนนั้นอีกเป็นอันขาด
ทว่า...มันคงเป็นไปได้ยากในเมื่อพวกเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน การปะทะเล็ก ๆ น้อย ๆ มักเกิดขึ้นเสมอ อย่างเช่น - -
แอ๊ด อ๊อด แอ๊ด อ๊อด
ชิงช้าในสนามเด็กเล่นของหมู่บ้านช่วงเย็น สถานที่ซึ่งนับว่าเป็นจักรวาลศูนย์กลางของบรรดาเด็กเล็ก เด็กโต ด้วยจำนวนของเล่นที่มีอยู่น้อยนิด ทำให้เกิดศึกแย่งชิงเล็ก ๆ น้อย ๆ (คำนี้ผมจำมาจากพวกแม่ ๆ) กันอยู่เรื่อย ๆ
ปีนี้แม้ว่าผมอายุแปดขวบแล้ว แต่เพราะเป็นเด็กชายทำให้ตัวโตช้ากว่าเด็กหญิง ซึ่งบัดนี้ดวงตาผมมองตรงไปยังเบื้องหน้า เด็กหญิงชื่อแก้มคนเดิมกำลังยืนกางขาเท้าสะเอว
“ลงมา ฉันจะเล่น”
ผมนิ่งเงียบหันหน้าหนี นับจากวันนั้นแม้เห็นหน้ากันอยู่เนือง ๆ แต่ไม่ได้พูดคุยกัน เพราะผมไม่ต้องการสุงสิงกับเด็กนิสัยไม่ดีอย่างเธอ
“นาย กล้าขัดใจฉันเหรอ”
ผมยังนิ่ง ไกวชิงช้าเบา ๆ แล้วผิวปาก ใช่แล้ว วันนี้นึกครึ้มยังไงบอกไม่ถูก เลยลองผิวปากอย่างผู้ใหญ่แล้วมันกลายเป็นเพลงกระท่อนกระแท่น เรียกรอยยิ้มให้ตัวเองจนเผลอยิ้มออกมา แต่เด็กหญิงข้างหน้าคงคิดเอาเองว่าผม ... กวนตีน จึงกระทืบเท้าทั้งสองข้างอย่างแรงลงพื้นดินจนฝุ่นตลบขึ้น
“จะลงไม่ลง!!”
ผมหยุดชิงช้าจ้องตอบ แล้วผิวปาก ...
ผัวะ ผลัก ตุบ
เพียงเท่านั้นแหล่ะ เท่านั้น แผ่นหลังของผมกระแทกดินด้านหลังจนจุก ตามองเห็นดาวบินอยู่ด้านบนทั้ง ๆ ที่ฟ้ายังไม่มืด ขาชี้โด่และเด็กหญิงตัวแสบยืนเท้าสะเอวค้ำตัวผมอยู่ด้านบน หัวเราะใส่หน้า
“พูดดี ๆ ไม่ชอบ สงสัยชอบให้ใช้กำลัง”
เธอสะบัดหน้ากลับแล้วขึ้นไปนั่งบนชิงช้าไกวเบา ๆ เอี้ยวหน้ามาด้านหลังแยกเขี้ยวใส่ผมหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงไกวแรงขึ้นจนผมเสียวสันหลังต้องรีบคลานออกจากวงโคจรยืนมองห่าง ๆ - - เดี๋ยวตกแน่
ผมคิดได้เพียงเสี้ยววินาที หรืออาจเพราะผมมีมนต์วิเศษอย่างหนังแฮรี่พ็อตเตอร์ที่ชอบดู เพียงแต่ผมไม่ต้องโบกไม้กายสิทธิ์ร่ายคาถาวิงการ์เดียม เลวีโอซ่า เด็กหญิงแก้มที่ร่างสูงกว่าผม รวบมัดหางม้า ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ทีแรกยิ้มร่า บัดนี้หน้าเหวอยามร่างลอยละล่อง - - ไม่ผิด ลอยละล่อง
ปัก แอ่ก
ร่างผอมเกร็งอย่างผมถึงกับสะดุ้งโหย่งแรง ยกมือปิดหน้าไม่ต้องการเห็น แต่ยังสู้กางนิ้วออกเพื่อมองภาพอันน่าหัวร่อตรงหน้าอยู่ดี
เด็กหญิงแก้มบัดนี้เสื้อผ้าเปื้อนฝุ่นจนแดงตลอดทั้งแถบ เปื้อนรวมไปถึงดวงหน้าที่คนในหมู่บ้านชมกันไม่ขาดปากว่าน่ารัก กระโปรงนักเรียนจีบรอบตัวสั้นสีน้ำเงินกลายเป็นสีฝุ่นและถลกจนถึงแก้มก้นมองเห็นกางเกงในลายหมีสีชมพูสุดคิ้วท์
ผมยิ้มแก้มแทบฉีกขณะยืนมอง แต่ผมไม่เสียมารยาทอย่างเธอหรอก ผมไม่หัวเราะ - - ผมคิดว่าเป็นเพราะแม่ของผมสอนมาดี
แต่แก้มคงอายจัด เธอตะเกียกตะกายลุกขึ้นทุลักทุเลเล็กน้อย นั่นเพราะ .. ล้มลงค่อนข้างแรงอยู่นะ ผมก้มมองหัวเข่าขาวมีรอยขีดแดงหลายขีด อาจมีก้อนหินเล็ก ๆ ผมคิ้วขมวด เธอคงต้องแสบแน่ตอนใส่ยา
“นายหัวเราะฉัน”
“เปล่า”
“หัวเราะ เห็นอยู่”
ผมเริ่มใจคอไม่ดี เด็กหญิงแก้มสาวเท้าเข้ามาใกล้ผมและแน่ล่ะ ในวัยนี้ผมย่อมตัวเตี้ยกว่าเธอมากเกือบคืบ จึงถอยหลังออกสองก้าว แต่เธอตามติด
“บอกว่าเปล่า” ผมส่ายหน้าปฏิเสธเสียงแข็ง เรื่องอะไรจะให้เธอรู้ว่าผมแอบหัวเราะจริง
“เห็นอยู่ว่าหัวเราะ นายเจอดีแน่”
นั่นล่ะครับ . . พวกเราไม่เคยเรียกชื่อกันทั้งที่รู้จักชื่อกัน ผมเป็นผู้ชาย เป็นยอดชาย เรื่องอะไรที่จะอยู่ต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิง ฉะนั้นผมจึง - - วิ่งหนีกลับบ้านดีกว่า
บทที่ 5 วัยมหา’ลัยชีวิตมัธยมปลายอันน่าบัดซบของผมจบลงเพียงเท่านั้น และตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยคะแนนเลิศหรู เพียงแต่ผมไม่ได้เลือกเรียนวิศวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายเลือกคณะสถาปัตยกรรม“ปืน”ยายเตี้ยยังคงตามติดชีวิตผมดั่งเงาเช่นเคย“อืม” ผมเดินนำหน้าไปทางอาคารสำนักวิทยบริการ ชื่อเรียกแสนยากฉะนั้นทุกคนจึงเรียกมันว่าห้องสมุด ตึกแปดชั้นกลางมหาวิทยาลัยรั้วสีอิฐ มอดินแดง สารพัดชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้“นายว่างป่ะ”“ไม่” ผมรีบตอบ“คืนนี้เพื่อนชวนไปหลังมอ”“อืม”ตอนนี้พวกเราเดินเข้าห้องสมุดแล้ว ผมตรงไปยังห้องอ้างอิงทันทีเพราะไม่อยากเสวนาด้วยแต่เหมือนยายเตี้ยคร้านจะสนใจกฎในห้องสมุดว่าห้ามส่งเสียงดัง เธอเดินตามติดและนั่งลงกับพื้นพร้อมผมเมื่อถึงชั้นหนังสือรวมภาพถ่ายทั่วโลก“แต่ฉันอยากให้นายไปด้วย”แก้มส่งเสียงเบาเล็ก ๆ ข้างหูจนผมจักกะจี้ เอามือผลักหน้ามันออกห่างแล้วจ้องหน้า“ทำไม” เห็นไหมในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไป อันนี้จะโทษใครได้นอกจากความใจอ่อนของตัวเอง“วันเกิดไอ้วาด แต่ไอ้ตั้มมันไปด้วย” น้ำเสียงอ่อนลงแล้วเอาหัวมาพิงไหล่ผมไว้มือยื่นออกหยิบหนั
บทที่ 7 ถึงคราวต้องจากพายุเข้าภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างที่กรมอุตุแจ้งเตือนมาได้สองวันแล้ว ฉันนอนหงายบนเตียงยกเท้าซ้ายพาดหัวเข่าขวาแกว่งเท้า มือเลื่อนไถหน้าจอโทรศัพท์อินสตราแกรมแล้วอมยิ้มปืนไม่ได้อัพหน้าฟีคมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ฉันรู้ทุกวินาทีชีวิตของเพื่อนสนิท ไม่สิ อีกสองวันก็ไม่ใช่แล้ว - - ทำไมฉันต้องอมยิ้มด้วยนะร่างเล็กพลิกตัวนอนตะแคงกำลังจะวางโทรศัพท์พลันเสียงข้อความดังขึ้น แก้ม ต้องกลับบ้านด่วนแม่ฉันรีบผุดลุกนั่งขมวดคิ้วจนย่นตรงกลางหน้าผาก ปกติแม่ไม่ใช้คำพูดแบบนี้ ถ้ามีเรื่องด่วนยังไงก็ไม่ห้วนจัด จึงตัดสินใจต่อสายคุยกริ๊ง ...“แม่ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ความเงียบเข้าปกคลุมก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงถอนหายใจ“กลับบ้านแล้วแม่จะเล่าให้ฟัง คืนนี้เลยนะมีรถทัวร์ เก็บเสื้อผ้ามาให้มากหน่อย ข้าวของที่ไม่จำเป็นให้ฝากเพื่อนไว้ ส่วนอะไรสำคัญเก็บมาให้หมด”ฉันยิ่งขมวดคิ้วหนัก แบบนี้เรื่องใหญ่แน่“แม่ไม่เล่าให้หนูฟังสักหน่อยเหรอคะ”“เล่าตรงนี้ไม่ได้แก้ม เชื่อแม่นะกลับบ้าน”ฉันดึงโทรศัพท์ออกห่างเพื่อดูหน้าจอ แม่วางสายไปแล้ว ตอนนี้ใกล้จะบ่ายสาม เร็วสุดคงรถเที่ยวสองทุ่มพอมี แล้วส่งข้อความหาปื
บทที่ 6 ncฟ้าฝนไม่เป็นใจช่วงยามเช้าในอีกสี่วันต่อมาหลังจากการประกาศก้องยอมให้ปืนเชยชมร่างกายอันสวยสดของฉันในเช้าวันนี้ฉันยืนนิ่งมองท้องฟ้าและฝนที่พัดกระหน่ำรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีตามกรมอุตุประกาศเป๊ะ ๆ ในมือยังถือร่มแต่ร่มคงต้านลมและเม็ดฝนได้ไม่ไหวแม่ไม่ได้ส่งรถมอเตอร์ไซค์มาให้ฉันใช้เหมือนบ้านปืน แต่ถึงยังไงการขี่รถฝ่าฝนคงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเท่าไร ฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจกลับขึ้นห้อง แต่ไม่ใช่ห้องของฉันหรอกก๊อก ก๊อก เงียบ ...สาวในชุดนักศึกษารัดรึงอย่างนักศึกษาสาวทั่วไปเริ่มขยับเท้าไปมา ฉันและปืนพักหอนอกมหาวิทยาลัยเดียวกัน เพียงแต่ว่าอยู่คนชั้นแอ๊ด ....“ทำงานดึกเหรอ” ฉันโพล่งคำถามทันทีและผลุบตัวเข้าไปในห้องวางแฟ้มเรียนไว้บนโต๊ะแล้วนั่งที่เก้าอี้ทำงาน มองปืนที่เดินกลับไปนอนต่อแล้ว“อือ เร่งงาน”“ฝนตก”“อือ ได้ยินเสียงแล้ว”“ตกหนักมาก”“อือ”ฉันนั่งมองร่างสูงใหญ่ของปืน เขาไม่สวมเสื้อนอนอีกตามเคย ห่มผ้าปิดเพียงท่อนล่างและนอนคว่ำหันหน้ามาทางฉันตั้งแต่ขึ้นปีสอง ปืนเปลี่ยนการแต่งกายใหม่จนฉันต้องเร่งตามให้ทัน ฉันกวาดตามองผมทำสีน้ำตาลอมทองและต่างหูด้านขวาที่ใส่เพียงข้างเดียว ยิ่งทำให้ปืนดูเ
บทที่ 5 วัยมหา’ลัยชีวิตมัธยมปลายอันน่าบัดซบของผมจบลงเพียงเท่านั้น และตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยคะแนนเลิศหรู เพียงแต่ผมไม่ได้เลือกเรียนวิศวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายเลือกคณะสถาปัตยกรรม“ปืน”ยายเตี้ยยังคงตามติดชีวิตผมดั่งเงาเช่นเคย“อืม” ผมเดินนำหน้าไปทางอาคารสำนักวิทยบริการ ชื่อเรียกแสนยากฉะนั้นทุกคนจึงเรียกมันว่าห้องสมุด ตึกแปดชั้นกลางมหาวิทยาลัยรั้วสีอิฐ มอดินแดง สารพัดชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้“นายว่างป่ะ”“ไม่” ผมรีบตอบ“คืนนี้เพื่อนชวนไปหลังมอ”“อืม”ตอนนี้พวกเราเดินเข้าห้องสมุดแล้ว ผมตรงไปยังห้องอ้างอิงทันทีเพราะไม่อยากเสวนาด้วยแต่เหมือนยายเตี้ยคร้านจะสนใจกฎในห้องสมุดว่าห้ามส่งเสียงดัง เธอเดินตามติดและนั่งลงกับพื้นพร้อมผมเมื่อถึงชั้นหนังสือรวมภาพถ่ายทั่วโลก“แต่ฉันอยากให้นายไปด้วย”แก้มส่งเสียงเบาเล็ก ๆ ข้างหูจนผมจักกะจี้ เอามือผลักหน้ามันออกห่างแล้วจ้องหน้า“ทำไม” เห็นไหมในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไป อันนี้จะโทษใครได้นอกจากความใจอ่อนของตัวเอง“วันเกิดไอ้วาด แต่ไอ้ตั้มมันไปด้วย” น้ำเสียงอ่อนลงแล้วเอาหัวมาพิงไหล่ผมไว้มือยื่นออกหยิบหนั
บทที่ 4 วัยใสมันเป็นเดือนที่แย่ที่สุดในชีวิต ถ้าไม่นับรวมวันที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันหลังจากที่พ่อกลับมาจากต่างจังหวัดได้สองวันฉันแหงนศีรษะมองท้องฟ้าในตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน กระชับเสื้อกันหนาวไหมพรมสีอ่อนขณะยืนรอกำปั่นมารับ ในตอนนี้คนทั้งโรงเรียนรับรู้ว่าฉันและกำปั่นเป็นแฟนกันแปร๋น!!“แก้ม” เสียงกำปั่นสดใสเช่นเคยในทุกเช้าซึ่งเป็นเวลาเกือบเดือนมาแล้วที่มารับส่งฉันถึงบ้าน“กำปั่น”ฉันเพิ่งสังเกตว่ากำปั่นตัวเล็กแค่ไหนเมื่อฉันนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วหน้าฉันโผล่พ้นไหล่จนลมกระแทกทรงผม ซึ่งถ้าฉันนั่งซ้อนไอ้ปืน ฉันไม่เคยโดนลมเลยด้วยซ้ำ - - นี่ฉันเปรียบเทียบกำปั่นกับไอ้ปืนได้ยังไงฉันรับหมวกกันน็อกมาสวมและรัดสายคาดเองก่อนจะขึ้นไปนั่งไพล่ ชำเลืองกลับไปมองในซอยบ้านไอ้ปืนยังปิดเงียบ ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง“วันนี้เย็นไปกินลานนมกันไหม”กำปั่นเอี้ยวหน้ากลับมาตะโกนถาม“ไม่ได้อ่ะ ต้องเรียนพิเศษ”พอพูดจบฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจึงนั่งซ้อนท้ายเงียบ ๆ มองพื้นถนนขณะที่รถมอเตอร์ไซค์พาฉันไปเรื่อย ๆ รู้สึกมือไม้เกะกะจนไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน ถ้าซ้อนไอ้ปืนฉันจะโอบเอวมันได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่กับกำปั่นแล้วฉั
บทที่ 3 วัยพลุ่งพล่านอันที่จริงผมพยายามอย่างเต็มที่แล้วสำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่มีเลือดมีเนื้อ และ ... มีไอ้นั่นกลางหว่างขาผมขยับตัวพลิกตะแคงไปอีกด้านสะกดใจตนเองไม่ให้รับรู้ถึงกลิ่นอันอ่อนหวานและร่างนุ่มนิ่มจากคนข้าง ๆ ที่ยังเอามือพาดเอวผมไว้ - - ผมต้องหันหนีก็เพราะไอ้นั่นมันดันเคารพธงเช้าผมจับมือไอ้แก้มไว้แน่นแล้วเหม่อลอยมองฝาหนัง มือมันพาดเอวทาบกางบนพุงผมพอดี อีกนิด อีกนิดเดียวเท่านั้น หากมันเลื่อนลงสักห้าเซนติเมตรปลายนิ้วก้อยมันจะโดนส่วนหัวพอดิบพอดี - - ถอนหายใจครั้งที่ล้านแล้วกู“มึงตื่นแล้ว” แก้มทำเสียงงัวเงียแล้วพลิกตัวออกไปอีกด้าน“อือ ตื่นแล้ว กูเข้าห้องน้ำก่อน” ผมทำท่าจะลุกขึ้นแล้วพลันรู้สึกว่าคงยังไม่ได้จึงนั่งนิ่งไว้ก่อนเอาผ้าห่มปิดไว้“อ้าว ไหนบอกจะไปเข้าห้องน้ำ” ไอ้แก้มพลิกตัวกลับมานอนตะแคงกอดผ้าห่มยกขาพาดขาผมไว้เขี่ยเล่นเบา ๆสายตาผมมองเท้าเล็กขาวเนียน มันเอานิ้วเท้าคีบผ้าห่มเล่น ผมจึงดึงผ้าห่มออก มันชักเท้ากลับแล้วแหย่มาข้างหน้าต่อหัวเราะในลำคอ ผมรู้สึกได้เลยว่ามันจ้องผมอยู่เพราะแผ่นหลังผมร้อนวูบวาบพิกล เลยแกล้งมันจับข้อเท้าไว้กำแน่นกำลังสะบัดออก มันดันยกขึ้นอย่างแรงผล