LOGINปฐมบท 2
ซ่า .....
ผมยืนมองสายฝนตกพรำรุ่งเช้าก่อนไปโรงเรียน สองสามปีมานี้ ผมตัวสูงขึ้นอีกนิดคงราวสิบเซนติเมตรเห็นจะได้ รู้ได้ยังไงน่ะเหรอ ก็เพราะแม่ของผมมักจับผมวัดกับที่วัดส่วนสูงลายยี่ราฟซึ่งแม่ติดไว้กับเสาบ้านทุกเช้าน่ะสิ แต่ผมว่ามันไม่ได้มาตรฐาน เพราะมันเป็นของที่ขายตามตลาดนัด - - ผมคิดเอาว่าผมน่าจะสูงกว่านั้น
“ปืน รถมารับแล้ว”
“ครับแม่”
ผมกระวีกระวาดคว้าเป้สีดำอย่างเด็กมัธยมชั้นปีที่หนึ่ง วิ่งออกไปด้านนอกจึงเห็นรถกระบะคันยาวแบบดัดแปลงใส่หลังคา วางเก้าอี้ไม้ยาวทั้งสองฟากสำหรับนั่ง แล้วผมก็เห็นเธอ เด็กหญิงแก้ม
เฮ้อ...
ไม่น่าเชื่อว่าผมและเธอยังคงต้องเจอกัน โดยเฉพาะต่อไปนี้ไปอีกหกปี เพราะเราทั้งคู่เข้าเรียนโรงเรียนเดียวกัน ไม่ห่างไกลจากหมู่บ้านจัดสรรนี้มากนัก
ผมชำเลืองมองเธอเพียงแวบเดียวแล้วหลุบตาลงมองชื่อ ญาดา แสงทัด ผมแค่นเสียงในใจ ผมว่าชื่อของผมเท่กว่าเป็นไหน ๆ ติณณ์ เตชะ ผมนี่... เวลาเดินไปไหนยืดอกใส่ทุกคนในโรงเรียนด้วยภาคภูมิใจ เหลือบตาขึ้นจากชื่อปะทะสายตากับเด็กนิสัยเสียก่อนจะยกยิ้มมุมปากให้ การยั่วโมโหเธอคงกลายเป็นนิสัยเสียเพียงอย่างเดียวของผม จากนั้นจึงตัดสินใจนั่งชิดด้านนอก เสี่ยงตกรถยังดีกว่านั่งใกล้เธอ
เราสองคนอยู่หมู่บ้านเดียวกัน บ้านห่างกันเพียงสองหลัง บางวันออกมาช่วยแม่รถน้ำต้นไม้ยังอุตส่าห์ออกมาเจอเธอรดน้ำต้นไม้เช่นกัน
บ้านผมเลี้ยงแมว บ้านเธอเลี้ยงหมา แต่แปลก ... แมวผมมักแอบไปตบหน้าหมาเธออยู่เรื่อยจนผมได้ยินเสียงเธอตะโกนด่ากระทบผมอยู่เนือง ๆ - - ต้องโทษไอ้เสือ มันเสือกดุ
ผมลอบถอนหายใจ ถึงโรงเรียนเสียที ร่างที่สูงขึ้นกว่าสองปีที่แล้วรีบกระโดดผลุงออกเดินไม่เหลียวหลังกลับไปมองอีก
โรงเรียนต่างจังหวัดสวมใส่ชุดนักเรียนตามแบบมาตรฐาน ผมสั้นติ่งหูและทรงผมผู้ชายที่เรียกกันว่าทรงรองหวี ยามเช้าแดดเปรี้ยงยังคงให้เด็กยืนตากแดดเหงื่อไหล
ผมตัวเริ่มสูงขึ้นแล้วได้ยืนอยู่ด้านหลังมองไปทางห้องควีนส์ (แน่นอนผมเรียนเก่งได้อยู่ห้องคิงส์) จึงเห็นเด็กแสบ ผมเอียงคอมองอยู่ครู่จึงสังเกตว่าความสูงของยายนั่นเหมือนโดนสต๊าฟไว้เท่าเดิม - - ฮึ ยายเตี้ย
โป๊ก!!
“เหม่ออะไรมึง”
ผมนิ่วหน้ายกเท้าเตะขาเพื่อนพลางลูบหัวปรอย ๆ พลันสังเกตว่ามีเสียงหัวเราะจึงหันกลับไปดู เด็กหญิงแก้มเจ้าเดิมจ้องมองมาทางผมแล้วหัวเราะเสียงดังกับเพื่อนผู้หญิงที่ยืนต่อท้าย ก่อนก้มลงกระซิบอะไรสักอย่างที่ผมคาดว่าไม่ดีแน่ ๆ เพราะพวกเธอยิ่งหัวเราะเสียงดัง
“ปืน มึงรู้จักเหรอ”
“ใคร”
“ก็เด็กห้องควีนส์ไง น่ารักดี กูอยากจีบว่ะ มึงช่วยกูหน่อย”
ผมอึ้งไปสักพักตายังมองยายเตี้ยกวาดสายตาหัวจดเท้า - - น่ารัก ตรงไหน?
“ไม่ มึงอยากจีบก็จีบเอง กูไม่ยุ่ง”
“อะไรว่ะ”
ตอนนี้แดดช่วงแปดนาฬิกากับอีกสามสิบนาทีพอดิบพอดี ส่องเข้าลูกกะตาจึงยกมือป้องตา ใจรู้สึกหงุดหงิดไม่มีสาเหตุ เดาเอาเองว่าคงเพราะเช้านี้ผู้อำนวยการพล่ามนานมากไปหน่อย
“ปืน”
“ครับแม่”
ผมละมือจากการบ้านขยับลุกไปยังห้องครัวด้านหลังชะโงกเพียงหน้าเข้าไป
“เรียกผมเหรอ”
“ใช่ เอาแกงไปให้บ้านน้าจิตรหน่อย”
‘น้าจิตร’ จะใครที่ไหนก็แม่ของยายเตี้ยอยู่บ้านถัดไปสองหลัง
“ไม่อ่ะขี้เกียจ”
ปับ!
บางอย่างลอยออกมาจากมือแม่ผมโดนเข้าที่หัวพอดี แต่ไม่เจ็บเท่าไร - - ยังดีเป็นแค่หัวหอม
“ก็ได้แม่ อย่างเดียวเหรอ”
“อย่างเดียว อ๋อ อีกอันรอเดี๋ยว”
ผมเห็นแม่มุดหน้าเข้าไปในตู้เย็นรื้อ ๆ ค้น ๆ เป็นพักก่อนยืดกายกลับมาแล้วยื่นถุงขนมมาตรงหน้า
“อันนี้ของแก้ม”
คิ้วผมเริ่มขมวดเหลือบตามองแม่ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าแม่แกล้งผม เพราะใคร ๆ ในหมู่บ้านล้วนรู้กันหมดว่าผมกับยายเตี้ยไม่ถูกกัน
“เอ้า! รับไปสิไอ้ลูกคนนี้ รีบไปรีบกลับอย่าเถลไถล จะได้กินข้าวทำการบ้าน”
“คร้าบบบ”
ผมรับถุงขนมแล้วหยิบเถาปิ่นโตใส่แกงเดินไปยังบ้านที่อยู่ถัดไป เดินช้าสักหน่อยพลางนับก้าว จากรั้วบ้านผมสุดรั้วของอีกบ้าน หนึ่งก้าว สองก้าว... มองต้นไม้นกกา ห้าก้าว... มองหมาบ้านโน้น ยี่สิบก้าว ....แวะทักคนบ้านนี้ แล้วถอนหายใจเมื่อครบห้าสิบก้าวพอดีไม่เคยเปลี่ยนและราวสิบกว่านาทีเท่านั้น ในที่สุดก็ถึงบ้านแก้ม - - เฮ้อ....
อ๊อด....
“อ้าว..ปืน”
“น้าจิตรครับ แม่ให้เอาแกงกับขนมมาให้ครับ”
“เออ เข้ามาก่อน รอก่อนนะ น้าจะเอาไปใส่ถ้วยแล้วปืนถือปิ่นโตกลับไปเลย”
ผมชะเง้อหายายเตี้ยก่อนอันดับแรกแต่พอไม่เห็นค่อยยิ้มออกมาแล้วเดินเข้ารั้ว
“วันนี้ไม่มีคนอยู่ เจ้าแก้มพาไอ้ตุ่นไปเดินเล่นที่สนามหญ้าหน้าหมู่บ้าน”
ปืนยิ้มแห้งยกมือลูบท้ายทอยแก้เก้อเพราะโดนจับได้ ก่อนเดินไปนั่งรอตรงโต๊ะม้าหินอ่อน หน้าโต๊ะเป็นตารางหมากฮอสมีคนเล่นค้างไว้ - - กระจอกแท้ว่ะ
แปะ...เดินหมากกินสะเลย
“ปืน นี่ได้แล้ว”
“ครับน้าจิตร ผมกลับเลยครับ”
“เดินดี ๆ เดี๋ยวนี้ถนนหมู่บ้านเรากลายเป็นถนนสาธารณะซะแล้ว ไอ้พวกซิ่งมอไซขับผ่านทุกวัน”
“ครับ”
ปืนรับปิ่นโตกลับมาแล้วเดินออกนอกรั้วมองทางซ้าย บ้านของน้าจิตรอยู่หัวมุมพอดีทำให้รถผ่านหนาตากว่า แม่ก็บ่นเหมือนกันว่าตั้งแต่ยกถนนของหมู่บ้านให้เป็นสาธารณะทำให้พวกมอเตอร์ไซค์หน้าหมู่บ้านใช้เป็นทางลัดทะลุไปท้ายหมู่บ้านเข้าซอยอีกซอย กำลังก้าวเดินพลันได้ยินเสียงรถ
บรื้น.....เอี๊ยด....โครม!!
เสียงชนบางอย่างกระแทกแรงจนรู้สึกได้ถึงพื้นถนนสะเทือน ปืนรีบวิ่งไปยังหัวถนนโค้งจึงค่อยเห็นไอ้ตุ่นนอนนิ่งบนพื้น ส่วนมอเตอร์ไซค์ซิ่งหนีหายไปแล้ว
“ฮื้อออ ไอ้ตุ่น อืออ ไอ้บ้า ไอ้พวกใจร้าย ตุ่น ตุ่น”
ยายเตี้ย!!
ผมยืนลังเลจะเข้าไปช่วยดีหรือเปล่า แต่จะกลับบ้านไปเลยก็ใช่ที่ จึงเดินไปใกล้จนแก้มเงยหน้าขึ้น
“ปืน ฮื้ออ ทำไงดี ปืน ตุ่นโดนรถชน”
“รอนี่เดี๋ยวพาไปหาหมอ”
เอาว่ะ ยังไงก็เพื่อนบ้านกัน ผมวิ่งสับขาถี่กลับบ้าน ขาไปใช้เวลาสิบนาที หนนี้นาทีเดียวก็ถึง
“แม่ ๆ ๆ ไอ้ตุ่นโดนรถชน เดี๋ยวผมเอามอไซคพามันไปหาหมอโต้งหน้าหมู่บ้านนะแม่”
ผมตะโกนเข้าไปในบ้านแล้วคว้าเอามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ใช้ไปตลาดขับออกมา มองตรงกลางถนนยังเห็นยายเตี้ยกอดอไอ้ตุ่นไว้แน่น
“อุ้มมันขึ้นรถ”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงพอจอดรถเทียบผมรีบสั่งยายเตี้ยทันที แต่ด้วยไอ้ตุ่นมันเป็นหมาพันธุ์ทางตัวค่อนข้างใหญ่และหนัก ยายเตี้ยเลยอุ้มมันไม่ไหว - - หน้าที่นี้จึงตกมาเป็นของผมโดยปริยาย
ภาพที่คนในหมู่บ้านเห็นเย็นนี้คือแก้มซิ่งมอเตอร์ไซค์ราวพวกตีนผีโดยมีผมนั่งซ้อนท้ายใบหน้าซีดเผือดกอดไอ้ตุ่นไว้แน่น
“ฮื้อออ อือออ ปืน มันจะเป็นอะไรไหมอือออ”
แก้มยังร้องไห้ไม่หยุดแม้ว่าไอ้ตุ่นมาถึงมือหมอแล้ว ร่างเล็กกว่ากำลังตัวโยนเสียใจ แล้วผมเองก็ไม่รู้จะปลอบยังไงดีนอกจาก ...
“ไม่เป็นอะไรหรอกแก้ม ไอ้ตุ่นมันอึดจะตาย ขนาดโดนไอ้เสือตบหน้ามาหลายปียังไม่เป็นอะไร”
แก้มตวัดตาขึ้นมองและพอผมเห็นน้ำฉ่ำรื้นรินไหลอาบแก้ม ตาแดง หูแดง น้ำมูกไหล ผมจึงถอนหายใจแล้วจึงยกแขนของตัวเองโอบไหล่แก้มไว้ดึงเข้าหา
“พูดเล่นหรอก ไม่อยากให้เสียใจ หมอโต้งเก่ง รับรองเดี๋ยวมันก็เดินออกมา”
ผมรู้ว่ามันเกินไปหน่อยยามมองมือตัวเองบนหัวไหล่เล็กผอม แต่ร่างของแก้มนุ่มนิ่มดีและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแป้งเด็ก
“เอา ๆ ไม่ต้องร้องเด็ก ๆ ไอ้ตุ่นมันไม่เป็นอะไร มันแค่งงจนมึน เดี๋ยวสักพักก็กลับบ้านได้”
เสียงหมอโต้งเดินออกมาจากห้องทำแผลด้านในพร้อมเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนทำให้ผมและแก้มผละออกจากกัน ตอนนี้ผมก็รู้สึกเก้อเขินไม่รู้จะเอามือตัวเองไปวางไว้ตรงไหน เลยนั่งซุกมือเข้าในกางเกงนักเรียนสีมอซอ
“ขอบใจนะปืน”
“อืม..”
นั่นล่ะคือเหตุการณ์สำคัญ จุดเปลี่ยนของเราสองคน
บทที่ 5 วัยมหา’ลัยชีวิตมัธยมปลายอันน่าบัดซบของผมจบลงเพียงเท่านั้น และตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยคะแนนเลิศหรู เพียงแต่ผมไม่ได้เลือกเรียนวิศวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายเลือกคณะสถาปัตยกรรม“ปืน”ยายเตี้ยยังคงตามติดชีวิตผมดั่งเงาเช่นเคย“อืม” ผมเดินนำหน้าไปทางอาคารสำนักวิทยบริการ ชื่อเรียกแสนยากฉะนั้นทุกคนจึงเรียกมันว่าห้องสมุด ตึกแปดชั้นกลางมหาวิทยาลัยรั้วสีอิฐ มอดินแดง สารพัดชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้“นายว่างป่ะ”“ไม่” ผมรีบตอบ“คืนนี้เพื่อนชวนไปหลังมอ”“อืม”ตอนนี้พวกเราเดินเข้าห้องสมุดแล้ว ผมตรงไปยังห้องอ้างอิงทันทีเพราะไม่อยากเสวนาด้วยแต่เหมือนยายเตี้ยคร้านจะสนใจกฎในห้องสมุดว่าห้ามส่งเสียงดัง เธอเดินตามติดและนั่งลงกับพื้นพร้อมผมเมื่อถึงชั้นหนังสือรวมภาพถ่ายทั่วโลก“แต่ฉันอยากให้นายไปด้วย”แก้มส่งเสียงเบาเล็ก ๆ ข้างหูจนผมจักกะจี้ เอามือผลักหน้ามันออกห่างแล้วจ้องหน้า“ทำไม” เห็นไหมในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไป อันนี้จะโทษใครได้นอกจากความใจอ่อนของตัวเอง“วันเกิดไอ้วาด แต่ไอ้ตั้มมันไปด้วย” น้ำเสียงอ่อนลงแล้วเอาหัวมาพิงไหล่ผมไว้มือยื่นออกหยิบหนั
บทที่ 7 ถึงคราวต้องจากพายุเข้าภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างที่กรมอุตุแจ้งเตือนมาได้สองวันแล้ว ฉันนอนหงายบนเตียงยกเท้าซ้ายพาดหัวเข่าขวาแกว่งเท้า มือเลื่อนไถหน้าจอโทรศัพท์อินสตราแกรมแล้วอมยิ้มปืนไม่ได้อัพหน้าฟีคมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ฉันรู้ทุกวินาทีชีวิตของเพื่อนสนิท ไม่สิ อีกสองวันก็ไม่ใช่แล้ว - - ทำไมฉันต้องอมยิ้มด้วยนะร่างเล็กพลิกตัวนอนตะแคงกำลังจะวางโทรศัพท์พลันเสียงข้อความดังขึ้น แก้ม ต้องกลับบ้านด่วนแม่ฉันรีบผุดลุกนั่งขมวดคิ้วจนย่นตรงกลางหน้าผาก ปกติแม่ไม่ใช้คำพูดแบบนี้ ถ้ามีเรื่องด่วนยังไงก็ไม่ห้วนจัด จึงตัดสินใจต่อสายคุยกริ๊ง ...“แม่ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ความเงียบเข้าปกคลุมก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงถอนหายใจ“กลับบ้านแล้วแม่จะเล่าให้ฟัง คืนนี้เลยนะมีรถทัวร์ เก็บเสื้อผ้ามาให้มากหน่อย ข้าวของที่ไม่จำเป็นให้ฝากเพื่อนไว้ ส่วนอะไรสำคัญเก็บมาให้หมด”ฉันยิ่งขมวดคิ้วหนัก แบบนี้เรื่องใหญ่แน่“แม่ไม่เล่าให้หนูฟังสักหน่อยเหรอคะ”“เล่าตรงนี้ไม่ได้แก้ม เชื่อแม่นะกลับบ้าน”ฉันดึงโทรศัพท์ออกห่างเพื่อดูหน้าจอ แม่วางสายไปแล้ว ตอนนี้ใกล้จะบ่ายสาม เร็วสุดคงรถเที่ยวสองทุ่มพอมี แล้วส่งข้อความหาปื
บทที่ 6 ncฟ้าฝนไม่เป็นใจช่วงยามเช้าในอีกสี่วันต่อมาหลังจากการประกาศก้องยอมให้ปืนเชยชมร่างกายอันสวยสดของฉันในเช้าวันนี้ฉันยืนนิ่งมองท้องฟ้าและฝนที่พัดกระหน่ำรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีตามกรมอุตุประกาศเป๊ะ ๆ ในมือยังถือร่มแต่ร่มคงต้านลมและเม็ดฝนได้ไม่ไหวแม่ไม่ได้ส่งรถมอเตอร์ไซค์มาให้ฉันใช้เหมือนบ้านปืน แต่ถึงยังไงการขี่รถฝ่าฝนคงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเท่าไร ฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจกลับขึ้นห้อง แต่ไม่ใช่ห้องของฉันหรอกก๊อก ก๊อก เงียบ ...สาวในชุดนักศึกษารัดรึงอย่างนักศึกษาสาวทั่วไปเริ่มขยับเท้าไปมา ฉันและปืนพักหอนอกมหาวิทยาลัยเดียวกัน เพียงแต่ว่าอยู่คนชั้นแอ๊ด ....“ทำงานดึกเหรอ” ฉันโพล่งคำถามทันทีและผลุบตัวเข้าไปในห้องวางแฟ้มเรียนไว้บนโต๊ะแล้วนั่งที่เก้าอี้ทำงาน มองปืนที่เดินกลับไปนอนต่อแล้ว“อือ เร่งงาน”“ฝนตก”“อือ ได้ยินเสียงแล้ว”“ตกหนักมาก”“อือ”ฉันนั่งมองร่างสูงใหญ่ของปืน เขาไม่สวมเสื้อนอนอีกตามเคย ห่มผ้าปิดเพียงท่อนล่างและนอนคว่ำหันหน้ามาทางฉันตั้งแต่ขึ้นปีสอง ปืนเปลี่ยนการแต่งกายใหม่จนฉันต้องเร่งตามให้ทัน ฉันกวาดตามองผมทำสีน้ำตาลอมทองและต่างหูด้านขวาที่ใส่เพียงข้างเดียว ยิ่งทำให้ปืนดูเ
บทที่ 5 วัยมหา’ลัยชีวิตมัธยมปลายอันน่าบัดซบของผมจบลงเพียงเท่านั้น และตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยคะแนนเลิศหรู เพียงแต่ผมไม่ได้เลือกเรียนวิศวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายเลือกคณะสถาปัตยกรรม“ปืน”ยายเตี้ยยังคงตามติดชีวิตผมดั่งเงาเช่นเคย“อืม” ผมเดินนำหน้าไปทางอาคารสำนักวิทยบริการ ชื่อเรียกแสนยากฉะนั้นทุกคนจึงเรียกมันว่าห้องสมุด ตึกแปดชั้นกลางมหาวิทยาลัยรั้วสีอิฐ มอดินแดง สารพัดชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้“นายว่างป่ะ”“ไม่” ผมรีบตอบ“คืนนี้เพื่อนชวนไปหลังมอ”“อืม”ตอนนี้พวกเราเดินเข้าห้องสมุดแล้ว ผมตรงไปยังห้องอ้างอิงทันทีเพราะไม่อยากเสวนาด้วยแต่เหมือนยายเตี้ยคร้านจะสนใจกฎในห้องสมุดว่าห้ามส่งเสียงดัง เธอเดินตามติดและนั่งลงกับพื้นพร้อมผมเมื่อถึงชั้นหนังสือรวมภาพถ่ายทั่วโลก“แต่ฉันอยากให้นายไปด้วย”แก้มส่งเสียงเบาเล็ก ๆ ข้างหูจนผมจักกะจี้ เอามือผลักหน้ามันออกห่างแล้วจ้องหน้า“ทำไม” เห็นไหมในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไป อันนี้จะโทษใครได้นอกจากความใจอ่อนของตัวเอง“วันเกิดไอ้วาด แต่ไอ้ตั้มมันไปด้วย” น้ำเสียงอ่อนลงแล้วเอาหัวมาพิงไหล่ผมไว้มือยื่นออกหยิบหนั
บทที่ 4 วัยใสมันเป็นเดือนที่แย่ที่สุดในชีวิต ถ้าไม่นับรวมวันที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันหลังจากที่พ่อกลับมาจากต่างจังหวัดได้สองวันฉันแหงนศีรษะมองท้องฟ้าในตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน กระชับเสื้อกันหนาวไหมพรมสีอ่อนขณะยืนรอกำปั่นมารับ ในตอนนี้คนทั้งโรงเรียนรับรู้ว่าฉันและกำปั่นเป็นแฟนกันแปร๋น!!“แก้ม” เสียงกำปั่นสดใสเช่นเคยในทุกเช้าซึ่งเป็นเวลาเกือบเดือนมาแล้วที่มารับส่งฉันถึงบ้าน“กำปั่น”ฉันเพิ่งสังเกตว่ากำปั่นตัวเล็กแค่ไหนเมื่อฉันนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วหน้าฉันโผล่พ้นไหล่จนลมกระแทกทรงผม ซึ่งถ้าฉันนั่งซ้อนไอ้ปืน ฉันไม่เคยโดนลมเลยด้วยซ้ำ - - นี่ฉันเปรียบเทียบกำปั่นกับไอ้ปืนได้ยังไงฉันรับหมวกกันน็อกมาสวมและรัดสายคาดเองก่อนจะขึ้นไปนั่งไพล่ ชำเลืองกลับไปมองในซอยบ้านไอ้ปืนยังปิดเงียบ ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง“วันนี้เย็นไปกินลานนมกันไหม”กำปั่นเอี้ยวหน้ากลับมาตะโกนถาม“ไม่ได้อ่ะ ต้องเรียนพิเศษ”พอพูดจบฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจึงนั่งซ้อนท้ายเงียบ ๆ มองพื้นถนนขณะที่รถมอเตอร์ไซค์พาฉันไปเรื่อย ๆ รู้สึกมือไม้เกะกะจนไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน ถ้าซ้อนไอ้ปืนฉันจะโอบเอวมันได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่กับกำปั่นแล้วฉั
บทที่ 3 วัยพลุ่งพล่านอันที่จริงผมพยายามอย่างเต็มที่แล้วสำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่มีเลือดมีเนื้อ และ ... มีไอ้นั่นกลางหว่างขาผมขยับตัวพลิกตะแคงไปอีกด้านสะกดใจตนเองไม่ให้รับรู้ถึงกลิ่นอันอ่อนหวานและร่างนุ่มนิ่มจากคนข้าง ๆ ที่ยังเอามือพาดเอวผมไว้ - - ผมต้องหันหนีก็เพราะไอ้นั่นมันดันเคารพธงเช้าผมจับมือไอ้แก้มไว้แน่นแล้วเหม่อลอยมองฝาหนัง มือมันพาดเอวทาบกางบนพุงผมพอดี อีกนิด อีกนิดเดียวเท่านั้น หากมันเลื่อนลงสักห้าเซนติเมตรปลายนิ้วก้อยมันจะโดนส่วนหัวพอดิบพอดี - - ถอนหายใจครั้งที่ล้านแล้วกู“มึงตื่นแล้ว” แก้มทำเสียงงัวเงียแล้วพลิกตัวออกไปอีกด้าน“อือ ตื่นแล้ว กูเข้าห้องน้ำก่อน” ผมทำท่าจะลุกขึ้นแล้วพลันรู้สึกว่าคงยังไม่ได้จึงนั่งนิ่งไว้ก่อนเอาผ้าห่มปิดไว้“อ้าว ไหนบอกจะไปเข้าห้องน้ำ” ไอ้แก้มพลิกตัวกลับมานอนตะแคงกอดผ้าห่มยกขาพาดขาผมไว้เขี่ยเล่นเบา ๆสายตาผมมองเท้าเล็กขาวเนียน มันเอานิ้วเท้าคีบผ้าห่มเล่น ผมจึงดึงผ้าห่มออก มันชักเท้ากลับแล้วแหย่มาข้างหน้าต่อหัวเราะในลำคอ ผมรู้สึกได้เลยว่ามันจ้องผมอยู่เพราะแผ่นหลังผมร้อนวูบวาบพิกล เลยแกล้งมันจับข้อเท้าไว้กำแน่นกำลังสะบัดออก มันดันยกขึ้นอย่างแรงผล







